ตอนที่ 370 มุ่งหน้าไปยังน่านน้ำโกลาหล

พันธกานต์ปราณอัคคี

เมื่อต้องหลอมโอสถสะกดวิญญาณขึ้นมาจริงๆ นั้นมีความยากอยู่บ้าง ต่อให้ก่อนที่จะเริ่มเปิดเตาหลอมมั่วชิงเฉินเริ่มฝึกซ้อมทำความคุ้นชินการร่ายคาถา โอสถสะกดวิญญาณสามเตาก็ยังพังไปเตาหนึ่ง  

 

 

โอสถสะกดวิญญาณเต็มเตามีทั้งหมดเจ็ดเม็ด สองเตาออกมาสิบเม็ดก็ถือว่าไม่เลวแล้ว  

 

 

เมื่อมั่วชิงเฉินนำยาทั้งสิบเม็ดไปให้จินเป่าเจินเหริน จินเป่าเจินเหรินก็ต้องนิ่งอึ้งไป แต่เมื่อเห็นว่านางมีท่าทีสงบนิ่งในดวงตาถึงได้ปรากฏแววชื่นชมขึ้นมา  

 

 

เขาเตรียมวัตถุดิบโอสถสะกดวิญญาณเอาไว้สามเตา ที่คิดไว้อย่างดีที่สุดคือออกมาแค่สี่ห้าเม็ด เพราะอย่างไรทุกคนก็รู้กันถึงความยากในการหลอมโอสถสะกดวิญญาณ แต่หญิงบำเพ็ญเพียรตรงหน้ากลับส่งมอบให้ตามจำนวนโดยไม่คิดละโมบ หากเป็นเขาก็ใช่ว่าจะทำได้  

 

 

คิดได้เท่านี้ของเล่นที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้าก็ดูจะไม่สมน้ำสมเนื้อ เขาพลิกมือปรากฎเป็นสิ่งของขนาดประมาณหนึ่งนิ้วขึ้นมาให้เห็น 

 

 

สายตาของมั่วชิงเฉินทอดมองไป ดวงตาอดเบิกกว้างขึ้นไม่ได้ นี่เป็นบ้านหลังเล็กงดงามประณีตผิดแผกจากปกติ สายตาของผู้บำเพ็ญเพียรยอดเยี่ยมถึงขั้นที่นางสามารถมองเห็นรูปประดับหลากสีที่ประณีตละเอียดอ่อนงดงาม 

 

 

“แม่หญิง เจ้าคิดเช่นไร” จินเป่าเจินเหรินมอบบ้านหลิงหลงส่งให้  

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือไปรับ พูดอย่างลังเล “นี่คือของวิเศษที่ผู้บำเพ็ญเพียรเอาไว้พักอาศัยยามอยู่ข้างนอกเช่นนั้นหรือ” 

 

 

ในโลกการบำเพ็ญเพียรการที่มีพื้นที่วิเศษเช่นนี้ก็เหมือนกับมีสวนโอสถติดตัว เพียงแต่คนส่วนใหญ่ที่ใช้ของชิ้นนี้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ค่อนข้างพิถีพิถัน อย่างนางที่เป็นคนสบายๆ จึงไม่เคยซื้อมาก่อนมักรู้สึกว่าฟุ่มเฟือยเกินไป 

 

 

จินเป่าเจินเหรินหัวเราะเสียงดัง “ก็เป็นของสิ่งนั้นแหละ นี่คือของที่ข้าประดิษฐ์เมื่อหลายปีก่อน เหมาะกับสตรีอยู่อาศัยพอดี” 

 

 

“เช่นนั้นต้องขอบคุณสหายเต๋าจินเป่าแล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มบางๆ พลางพูดออกมา  

 

 

เห็นท่าทีนิ่งเฉยของมั่วชิงเฉิน ตาของจินเป่าเจินเหรินหรี่เล็กลง เป็นประกายสะท้อนสว่าง “แม่หญิงอย่าคิดว่านี่เป็นเพียงที่พักอาศัยทั่วไป วัสดุหลักของบ้านหลังเล็กนี้เป็นถึงหยกวิญญาณอายุหมื่นปี แม้จะมีปริมาณน้อย แต่ปราณวิญญาณที่รวบรวมไว้ก็สามารถเทียบได้กับที่พักเซียนระดับสามเชียว”  

 

 

  ใจของมั่วชิงเฉินกระตุก ที่ตั้งของสำผู้บำเพ็ญเพียรและตระกูลใหญ่ล้วนตั้งอยู่บนชีพจรวิญญาณ ชีพจรวิญญาณแบ่งออกเป็นขนาดจุลภาค ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่และขนาดมหัพภาค และพื้นที่พักอาศัยที่สามารถพกติดตัวเช่นนี้แบ่งออกเป็นระดับหนึ่งถึงระดับห้า แล้วยังมีแบบธรรมดาที่สุดคือไม่เข้าระดับ 

 

 

  ในตลาดทั่วไปส่วนใหญ่แล้วจะเห็นเพียงที่พักเซียนแบบไม่เข้าระดับ ระดับหนึ่งและสองพบได้น้อย ระดับสามเช่นนี้ถือว่าเป็นของมีค่าสมควรแก่การเก็บไว้ หากเข้าไปฝึกบำเพ็ญในนั้นปราณพลังวิญญาณอัดแน่นไม่ต่างอะไรปจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้น 

 

 

  แน่นอนว่าการใช้เรือนเซียนเช่นนี้จะต้องใช้หินวิญญาณรักษาบำรุงไว้ แต่ยังมีผลดีและคุ้มกว่าการดูดซับหินวิญญาณโดยตรงตอนฝึกซ้อมกว่ามาก 

 

 

  มั่วชิงเฉินจำได้ว่าเคยเห็นจากม้วนคัมภีร์หยกที่หนึ่ง เรือนเซียนที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปใช้ฝึกฝนนั้นไม่ถือว่าพิเศษอะไร มีเรือนเซียนบางที่ที่ตกทอดมาจากผู้บำเพ็ญเพียรมากความสามารถแต่โบราณนั้นไม่จำเป็นต้องใช้กำลังจากภายนอกสนับสนุน เพียงดูดพลังจากอาทิตย์และแสงจันทร์ก็สามารถไหลเวียนด้วยตนเอง และความแน่นหนาของปราณวิญญาณในนั้นสูงจนน่าตกใจ 

 

 

  แล้วยังมีเรือนเซียนที่หายากล้ำค่าที่ได้กลายเป็นผืนดินขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ดั่งสรวงสวรรค์ 

 

 

  แต่ทั่วทั้งดินแดนทวีปแห่งเทพในตอนนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้อาวุโสท่านไหนมีสมบัติล้ำค่านี้มาก่อน ในม้วนคัมภีร์หยกเองก็บันทึกข้อมูลเอาไว้น้อยเพียงแค่ทำให้คนคิดปรารถนาเท่านั้น 

 

 

  เก็บงำความคิดจินตนาการของตนลงไป มองดูบ้านพักประณีตวิจิตรในมือ มั่วชิงเฉินยังคงรู้สึกยินดีจากใจจริง “ขอบคุณสหายเต๋าจินเป่ามาก” 

 

 

  เอ่ยลากับจินเป่าเจินเหรินเสร็จก็หมุนตัวเตรียมจากไป กลับเห็นชายหนุ่มชุดดำสีหน้าเย็นชาเดินตรงมา คิดว่าคงจะมาเอาของวิเศษที่ให้จินเป่าเจินเหรินทำเป็นแน่ 

 

 

  มั่วชิงเฉินเบะปาก แสร้งทำเป็นไม่เห็นเดินสวนผ่านไป 

 

 

  เมื่อกลับมาถึงบ้านนางถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไปในเรือนเซียนที่เพิ่งได้มาใหม่ ทันใดนั้นก็กลายเป็นห้องขนาดเล็กห้องหนึ่ง 

 

 

  บอกว่าเป็นห้องขนาดเล็กนั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะมีเพียงห้องเดียวเท่านั้น แต่เครื่องใช้ภายในบ้านและอุปกรณ์กลับมีพร้อมครบครัน ความหนาแน่นของปราณวิญญาณนั้นเทียบได้กับยอดลั่วเถา เพียงเท่านี้มั่วชิงเฉินก็พอใจมากแล้ว 

 

 

  ห่างจากเวลาที่เฉิงหรูยวนนัดเอาไว้อีกสามเดือนกว่า ไม่ว่าถึงเวลานั้นนางจะรับปากหรือไม่นางก็ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่เกาะหมายเลขสามสิบห้าอีกต่อไป ฉะนั้นในช่วงเวลานี้จึงวางแผนไปน่านน้ำโกลาหลเพื่อดูลาดเลาสักครั้ง 

 

 

  นางใช้เวลาอีกครึ่งเดือนในการหลอมโอสถวิเศษจำนวนหนึ่ง ใช้หญ้าวิญญาณภายในสวนโอสถติดตัวมาหลอมเผื่อให้ตนเองใช้ โอสถที่หลอมโดยใช้มุกปีศาจก็นำออกไปขายเพื่อแลกเป็นหินวิญญาณ หลังจากที่เตรียมพร้อมสรรพแล้วมั่วชิงเฉินก็ตัดสินใจออกทะเล 

 

 

  ปิดประตูเรือนเหลือบหันไปมองประตูแดงฝั่งตรงข้ามที่ปิดสนิท มั่วชิงเฉินจากไปเงียบๆ ไม่นานก็มาถึงท่าเรือ 

 

 

  ท่าเรือยังคงมีเรือวิ่งไปมาครึกครื้นอย่างมาก คนธรรมดาทั่วไปที่ร่างกายกำยำจำนวนมากกำลังขนของลงจากเรืออย่างขยันขันแข็ง แผ่นหลังเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อแต่การกระทำก็ไม่ได้ช้าลง 

 

 

  มั่วชิวเฉินนึกแปลกใจ คนธรรมดาที่นี่ยังมีร่างกายเช่นนี้ หากว่าทะเลาะต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์และผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังขึ้นมาจะมีความรู้สึกเช่นไร คิดเท่านี้ก็เกิดความรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา 

 

 

  นางเคยได้ยินมานานแล้วว่าการที่จะไปน่านน้ำโกลาหลจะต้องนั่งเรือโดยสารพิเศษถึงจะสามารถผ่านเขตที่อันตรายที่สุดไปได้ และเรือโดยสารนั้นมีเพียงหนึ่งรอบในเวลาสามวัน นางกลัวว่าจะไม่มีที่ว่างจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินไปยังเรือโดยสาร 

 

 

  “ท่านอาวุโส จะขึ้นเรือหรือไม่” ผู้บังคับเรือยืนอยู่ตรงหัวเรือเงยหน้าขึ้นถาม 

 

 

  มั่วชิงเฉินกวาดตามองทีหนึ่ง เรือโดยสารไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับเรือสำเภาที่นั่งมายังเกาะหมายเลขสามสิบห้าแล้วเล็กกว่าเยอะ นอกจากผู้คุมเรือและนายท้ายอีกหนึ่งคนก็มีที่นั่งเพียงสิบที่เท่านั้น แม้แต่กันสาดก็ยังไม่มี 

 

 

  เมื่อเห็นว่ายังมีที่ว่างอีกสองที่ มั่วชิงเฉินจึงพยักหน้าส่งหินวิญญาณไปให้ จากนั้นก็เลือกที่นั่งที่หนึ่งตามใจชอบ 

 

 

  พูดตามจริงแล้วนางยังนึกแปลกใจว่าเหตุใดจะต้องใช้เวลาสามวันถึงจะมีเรือโดยสารไปน่านน้ำโกลาหลครั้งหนึ่ง อีกทั้งเรือก็ยังเล็กขนาดนี้ แต่ข้างๆ มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแปดคนนั่งอยู่ เห็นนางเพิ่งขึ้นมาใหม่ก็เหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจทีหนึ่ง เพื่อที่จะไม่ดึงดูดความสนใจนางย่อมไม่เอ่ยปากพูด 

 

 

  “ท่านอาวุโสทุกท่านนั่งให้ดีจะเดินเรือแล้ว” รออีกครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีคนมาผู้คุมเรือก็ตะโกนขึ้น 

 

 

  ผู้คุมเรือประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เริ่มร่ายคาถา บริเวณที่มือสองข้างประกบกันค่อยๆ มีแสงวิญญาณรวมตัวเป็นกลุ่ม 

 

 

  “รอ…รอก่อน…” 

 

 

  สองเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นก็เห็นคนสองคนวิ่งมาจากทิศเหนือคนทิศใต้คน มาถึงบริเวณเรือพร้อมกันก้าวเท้าเดินขึ้นมา 

 

 

  “ท่านอาวุโสทั้งสอง มีเพียงที่ว่างเดียวแล้ว” ผู้คุมเรือเอ่ยเตือนด้วยท่าทีเฉยเมยไม่แปรเปลี่ยน 

 

 

  “สหายเต๋า ข้าน้อยมาถึงก่อน” หนึ่งในนั้นมีคนที่สวมใส่ชุดผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์รัดรูปได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาบนกาบเรือแล้ว 

 

 

  อีกคนหนึ่งร่างกายสูงใหญ่กำยำ กล้ามเนื้อนูนเด่นทรงพลัง พูดเสียงดังว่า “เจ้ามาก่อนอะไรกัน ข้ามาถึงก่อนต่างหาก!” 

 

 

  เมื่อเห็นว่าคนอื่นบนเรือไม่แยแสเพียงแต่ทอดสายตามองมายังทั้งสองคน มั่วชิงเฉินเกิดนึกสนใจขึ้นมา ดูจากสถานการณ์นี้หรือว่าทุกคนจะเห็นจนเคยชินแล้ว ที่นั่งตรงนี้สุดท้ายแล้วจะตกเป็นของใครกันแน่ 

 

 

  ไม่นานนางก็ได้รู้ว่าจะตกเป็นของใคร ทั้งสองคนเกิดต่อสู้กันขึ้นมาในฉับพลัน ฝุ่นควันตลบอบอวลไปทั่วแสดงถึงความดุเดือด 

 

 

  นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์และผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังปะมือกัน 

 

 

  ผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ผู้นั้นร่างกายคล่องแคล่วว่องไว้ ทั้งฝีเท้าและร่างกายล้วนคำนึงถึง เวลาโจมตีก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคาถาเหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า แต่ใช้ของวิเศษในมือโจมตีประชิดตัว 

 

 

  ของวิเศษในมือเขาเป็นกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง แสงวิญญาณที่ส่องประกายไม่ได้สาดแสงออกมาข้างนอก แตกต่างจากวิธีการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรสายเต๋า 

 

 

  ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังยิ่งไม่เหมือนเข้าไปใหญ่ ในมือของเขาไม่ได้มีอาวุธ เพียงใช้หมัดพุ่งโจมตีฝ่ายตรงข้าม บนหมัดนั้นมีแสงวิญญาณสะท้อนให้เห็น ผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ฝ่ายตรงข้ามและดูหวาดกลัวหมัดที่พุ่งมาอยู่เล็กน้อย ทุดครั้งล้วนหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว ไม่กล้าขัดขืน 

 

 

  เสียงดังกระทบเกิดขึ้นกระบี่สั้นของผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์นั้นแทงเข้าไปในซี่โครงซ้ายของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง เกิดเป็นเสียงโลหะดังกระทบกันขึ้น แต่ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนั้นกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย เขารีบฉวยโอกาสนี้ยื่นหมัดออกไปต่อยท้องของผู้ผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์อย่างไม่ลังเล 

 

 

  ผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ร้องเสียงอนาถ กระเด็นถอยหลังออกไปไกลกว่าหนึ่งจั้งแล้วตกลงบนพื้น กระอักเลือดสดๆ ออกมาแล้วเงยหน้าถลึงมองผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ทีหนึ่ง เดินหันกลับไปโดยไม่พูดอะไรออกมา 

 

 

  เสื้อผ้าบริเวณซี่โครงซ้ายของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังถูกแทงจนขาดวิ่น ปรากฏเป็นเนื้อสีทองแดงให้เห็น แต่ตรงนั้นไม่ต้องพูดว่าไม่มีรอยแผล แม้แต่รอยแดงเพียงเล็กน้อยก็ยังไม่มี 

 

 

  มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง นี่เป็นวิชาเช่นไรกันถึงสามารถฝึกฝนจนร่างกายแข็งแกร่งถึงขั้นฟันแทงไม่เข้า 

 

 

  ‘ไม่รู้ว่าถ้าต้องสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังจะมีความรู้สึกทางกายที่ต่างออกไปเช่นไร’ คิดถึงเท่านี้สายตาที่มองตรงไปยังผู้ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังที่สืบฝีเท้ายาวเดินตรงมาที่นี่ก็เปล่งเป็นกระกาย 

 

 

  ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนั้นสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาของมั่วชิงเฉิน ริมฝีปากยกยิ้มให้เห็นฟันขาว โบกแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อไปมา 

 

 

  มั่วชิงเฉินรู้สึกลำบากใจ ค่อยๆ หันหน้าหนีไปอีกทาง 

 

 

 “เดินเรือแล้ว” ครั้งนี้เรือเริ่มขยับตามเสียงตะโกนของผู้คุมเรือ ความเร็วนั้นถือว่าเร็วมากเทียบได้กับใช้ของวิเศษบินลอยแล้ว ต้องรู้ว่าความเร็วนี้ในการเดินทางโดยเรือทางทะเลถือว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว 

 

 

  ทุกคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ความเร็วเช่นนี้ย่อมไม่ส่งผลกระทบถึงการเคลื่อนไหวของพวกเขา 

 

 

  พอผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนั้นนั่งลงก็เริ่มบ่นพึมพำ “ข้าว่านะผู้คุมเรือเหตุใดถึงไม่เปลี่ยนเรือให้มันใหญ่กว่านี้อีกหน่อยเล่า ทำให้ข้าต้องทะเลาะต่อสู้แย่งที่นั่งไปเสียทุกครั้ง ถึงจะบอกว่าได้คลายเส้นบ้างก็ดีแต่อย่างไรก็มีหญิงสาวอยู่ อย่าทำให้พวกนางต้องตกใจ! 

 

 

  บนเรือนอกจากมั่วชิงเฉินแล้วยังมีหญิงบำเพ็ญอีกสองคน หนึ่งในนั้นพอได้ยินแล้วก็หลุดขำออกมา รอยยิ้มสดใสดุจดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง แต่หญิงสาวอีกคนหนึ่งกลับขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

  สีหน้ามั่วชิงเฉินไม่เปลี่ยน จ้องมองผิวทะเลเงียบๆ นางได้ยินเสียงผู้คุมเรือพูดว่า “เปลี่ยนไม่ได้นะซิ พายุในน่านน้ำโกลาหลน่ากลัวเกินไป ขนาดเรือใหญ่ขึ้นอีกหน่อยแรงปะทะที่ต้องเจอจะเพิ่มเป็นเท่าตัว ปริมาณกาวพยุงเรือก็ต้องมากขึ้นเป็นเท่าตัว เรือเล็กบรรจุสิบคนนี่ถือว่าสุดขีดจำกัดแล้ว” 

 

 

  ผู้ฝึกกายคนนั้นถึงได้หันไปนอกเรือถ่มน้ำลายลงอย่างไม่ใส่ใจ ไม่พูดอะไรออกมาอีก  

 

 

  ทุกคนที่อยู่บนเรือเหมือนจะไม่รู้จักกัน ตลอดระยะเวลาหนึ่งวันในการเดินเรือล้วนไม่มีใครพูดคุยกัน 

 

 

  กลับเป็นผู้คุมเรือที่จู่ๆ ก็ชี้ตรงไปข้างหน้า “ผู้อาวุโสทุกท่านโปรดระวัง ข้างหน้าคือพายุน่านน้ำโกลาหลแล้ว” 

 

 

  มั่วชิงเฉินแต่เดิมหลับตาเข้าสู่สมาธิพอได้ยินเช่นนั้นก็ลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้าในฉับพลัน 

 

 

  นางเห็นพื้นที่ตัดผ่านระหว่างขอบฟ้าและท้องทะเลนั้นมีกำแพงน้ำด้านหนึ่งตั้งขึ้นกั้นขวาง แต่กำแพงกั้นนี้เหมือนจะตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กีดขวางเส้นทางโดยสาร 

 

 

  ‘ไม่สามารถเลือกเส้นทางที่อ้อมหลบมันได้หรืออย่างไร’ มั่วชิงเฉินรู้ว่าหากมีวิธีการหลบหลีกเอาตัวรอดผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ย่อมไม่พุ่งชน ในเมื่อพวกเขาไม่มีความเห็นต่างก็ถือเป็นการอธิบายว่าที่นี่ไม่มีทางอื่นให้หลบเลี่ยงแล้ว 

 

 

  ไม่นานก็มามาถึงด้านหน้ากำแพงน้ำ แต่เรือกลับหยุดลง 

 

 

  ในตอนนี้เองที่มั่วชิงเฉินยิ่งรู้สึกได้ถึงกำลังที่ทำให้คนนึกหวาดกลัวที่ส่งมาจากกำแพงน้ำ เหมือนว่าหากเข้าไปใกล้อีกสักก้าวจะถูกกลืนกิน ร่างกายแหลกเหลว 

 

 

  “ผู้คุมเรือ เหตุใดไม่ไปต่อเหล่า” ในที่สุดก็มีผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งพูดออกมา 

 

 

  ไม่รอให้ผู้คุมเรือตอบกลับผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนั้นหลุดหัวเราะพูดว่า “ท่าทางเจ้าจะเพิ่งเคยมากระมัง แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่รู้ กำแพงน้ำนี้แม้จะดูนิ่งสงบแต่ภายในกลับเป็นพายุโหมกระหน่ำ แม้แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งปานเหล็กกล้าเมื่อเข้าไปแล้วล้วนถูกแกว่งไกวจนร่างแหลกเหลว มีเพียงเวลากลางวันถึงจะปรากฏช่องว่างขึ้นมาช่องหนึ่งให้เรือได้เดินต่อไป” 

 

 

  ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นแม้จะพูดฉีกหน้า แต่เพราะคำอธิบายของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนั้นกลับทำให้เขาไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก 

 

 

  ทุกคนรอคอยอย่างสงบเงียบ เมื่อมาถึงเวลากลางวันจู่ๆ ก็มีเสียงลมกรีดร้องมาให้ได้ยิน จากนั้นกลางกำแพงน้ำค่อยๆ หมุนวนจนกลายเป็นม่านน้ำ เกิดเป็นช่องว่างใหญ่หนึ่งจั้งให้เห็น