ตอนที่ 371 แมวน้ำฟันกระบี่ขั้นเจ็ด

พันธกานต์ปราณอัคคี

เรือลำเล็กที่บรรจุผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสิบคนค่อยๆ ลอยผ่านช่องว่างเล็กนั้นไป ทุกครั้งที่ลอยไปข้างหน้าล้วนต้องฝ่าฟันแรงกดดันไร้รูปร่าง ม่านน้ำทั้งสองฝั่งสูงจรดขอบฟ้าตั้งตระหง่านไม่เห็นจุดสิ้นสุด มองเห็นความรุนแรงคลุ้มคลั่งภายในม่านน้ำ ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของสายลม 

 

 

น้ำทะเลที่อยู่ตรงช่องว่างเล็กแคบที่ม่านน้ำหลีกทางไว้ทั้งสองฝั่งเหมือนเกาะตัวกัน ทุกครั้งที่เคลื่อนไปข้างหน้าล้วนยากลำบาก เรือลำน้อยสั่นคลอนเป็นบางครั้งเหมือนว่าจะล่มหายไปในม่านน้ำ ยังโชคดีที่นายท้ายมีประสบการณ์สูงทำให้ในช่วงเวลาที่สำคัญเรือกลับมั่นคงได้ทุกครั้ง 

 

 

ในเวลานี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณบนเรือเหล่านี้ล้วนไม่มีใครกล้าหายใจแรง เพียงแต่หวังให้ผ่านบริเวณนี้ไปโดยเร็ว 

 

 

“ผู้คุมเรือ ข้ารับมือไม่ไหวแล้ว” จู่ๆ นายท้ายก็พูดขึ้น 

 

 

ผู้คุมเรือก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ข้าเอง” แล้วก็เข้ามแทนที่ตำแหน่งนายท้าย ควบคุมทิศทางเรือ 

 

 

มั่วชิงเฉินตั้งใจมองพบว่าเคล็ดวิญญาณที่ใช้ควบคุมการกระทำบนหัวเรือนั้นมีจังหวะอย่างมาก และหลังจากที่นายท้ายเรือผู้นั้นถูกเปลี่ยนสลับเขาก็ตรงไปนั่งสมาธิเข้าสู่การบำเพ็ญตบะ 

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งพิจารณาอยู่นานถึงได้เข้าใจว่าการที่บังคับเรือผ่านเส้นทางนี้ซ้ำไปมาถือเป็นวิธีการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ดีวิธีหนึ่ง 

 

 

เรื่องนี้นางคาดการณ์ถูกแล้ว การลอดผ่านพายุน่านน้ำโกลาหลนั้นต้องทีการควบคุมที่ดี เป็นโอกาสอันดีในการฝึกฝนการควบคุมพลังวิญญาณ อีกทั้งยามที่พลังวิญญาณถูกใช้ไปจนหมดด้วยแรงกดดันเช่นนี้แล้วกลับไปนั่งสมาธิเข้าสู่การบำเพ็ญตบะอีกครั้งในทันทีทำให้รากฐานเดิมที่มีอยู่นิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น 

 

 

เรือโดยสารประเภทนี้แต่ไหนแต่ไรมาจะต้องมีสองคนในการควบคุมเรือ ผู้คุมเรือเป็นผู้อาวุโสมากประสบการณ์ นายท้ายกลับเป็นมือใหม่ที่ถูกปลูกฝังฝึกฝนมา พวกเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักทั่วไป บ้างมาจากสมาพันธ์ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก บ้างมาจากตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร 

 

 

เพียงเพราะการที่ทำงานประเภทนี้ไม่เพียงแต่ได้หินวิญญาณ แล้วยังเป็นการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ดีมาก ทุกครั้งที่เดินทางผ่านพายุน่านน้ำโกลาหลก็ไม่ต่างจากการต่อสู้ที่ถึงเป็นถึงตาย ทั้งจิตวิญญาณและความกล้าถูกขัดเกลาอยู่ตลอดเวลา ฝีมือนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันอยู่ไม่น้อย มีอัตราก่อแก่นปราณมากกว่าอยู่บ้าง 

 

 

ในท้ายที่สุดก็ไม่ได้เกิดเหตุสุดวิสัยอะไร เรือลำน้อยล่องผ่านช่องว่างมาได้อย่างปลอดภัย มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจออกมาน้อยๆ 

 

 

เมื่อเห็นว่าคนอื่นไม่ได้มีท่าทีกระโตกกระตากก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ หรือว่าตนเองและถังมู่เฉินจะพบเจอโชคร้ายมากเกินไปจู่ๆ เจอเรื่องปกติกลับรู้สึกโชคดีขึ้นมา 

 

 

เมื่อเรือลำเล็กเดินทางผ่านพายุน่านน้ำโกลาหลก็เร่งความเร็วเพิ่มขึ้น ประหนึ่งลูกธนูที่พุ่งทะลุผ่านน่านน้ำ ก่อให้เกิดคลื่นขาวจำนวนนับไม่ถ้วน 

 

 

เดินทางต่อไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืนก็มาถึงเกาะเล็กทรงกลมขนาดไม่เกินสิบลี้ บนเกาะนั้นมีคนทั้งนั่งและยืนอยู่ประมาณเจ็ดแปดคน เมื่อเห็นเรือลำเล็กมาถึงก็ปรากฎรอยความดีใจขึ้นมาบนใบหน้า 

 

 

พวกมั่วชิงเฉินเพิ่งจะลงเรือ คนเรานั้นก็รีบขึ้นไปบนเรืออย่างกระวีกระวาดร้อนใจ ผู้คุมเหลือเอ่ยบอกกล่าวกับทุกคนที่ลงเหลือไปจากนั้นเรือลำน้อยก็หมุนลำจากไป 

 

 

มั่วชิงเฉินเพิ่งจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เกาะทีหนึ่งก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่เพิ่งขึ้นเหยียบเกาะเล็กพากันบังคับของวิเศษเหาะเหินไปบนท้องฟ้าไล่ตามกันไป แสงประกายหลากสีสันสะท้อนบนฟ้าทั่วสารทิศ 

 

 

มั่วชิงเฉินเคยสอบถามมาก่อนแล้ว ที่แห่งนี้เรียกว่า ‘เกาะสามต้องห้าม’ ชื่อแปลกอย่างมากโดยชื่อนี้มาจากเมื่อพันปีก่อนมีผู้บำเพ็ญเพียรมากความสามารถหลายคนได้ร่วมมือวาดม่านพลัง ดึงความหมายมาจากห้ามโกรธ ห้ามละโมบและห้ามทำตามใจ 

 

 

เกาะสามต้องห้ามเป็นพื้นที่พักเท้าของผู้บำเพ็ญเพียรที่มาถึงน่านน้ำโกลาหลและเป็นสถานที่พักรอของผู้บำเพ็ญเพียรที่จะกลับไปเกาะหมายเลขสามสิบห้า บนเกาะนี้ถูกม่านพลังจำกัดไม่ให้ต่อสู้ และไม่รู้ว่าขัดขวางการฆ่าล้างไปมากมายเท่าไรแล้ว 

 

 

ทั่วทั้งเกาะใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ หลังจากที่ความตื่นเต้นในตอนแรกของมั่วชิงเฉินได้หมดไปก็ตัดสินใจจากไป 

 

 

หยิบแผนที่น่านน้ำโกลาหลมาดู เกาะสามต้องห้ามใช้สีแดงทำเป็นสัญลักษณ์เอาไว้โดยตั้งอยู่บริเวณริมนอกสุด ตรงไปข้างหน้าอีกหน่อยเป็นหมู่เกาะ กลุ่มหินโสโครกใต้น้ำ และสัตว์อสูรนานาชนิดที่พักอาศัยจำนวนนับไม่ถ้วน 

 

 

พื้นที่เหล่านี้ล้วนอันตรายอย่างไม่มีที่เปรียบ ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายเท่าไรที่มาดับสูญที่นี่ แต่ที่นี่ก็เป็นสวนสนุกในการหาหินวิญญาณที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเซิงโจว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ดึงดูดบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรรับก่อแก่นปราณให้มารวมตัวกันที่นี่ 

 

 

เกาะเล็กในน่านน้ำโกลาหลมีมากมายดุจดวงดารา ทุกเกาะต่างมีสัตว์อสูรที่เป็นเอกลักษณ์ พื้นที่เกาะบริเวณหนึ่งบนแผนที่ได้เขียนระบุเอาไว้ว่าที่แห่งนั้นมีสัตว์อสูรประเภทใดเป็นหลัก แล้วยังมีหมู่เกาะบริเวณกว้างที่เว้นว่างไว้ พูดต่อกันมาว่าเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยมีใครไปสืบเสาะมาก่อน หรือบางทีอาจจะมีคนไปเสาะหาแต่ไม่อาจกลับมาได้จึงย่อมไม่มีข้อมูลใดๆ 

 

 

หากมีผู้บำเพ็ญวิญญาณไปยังหมู่เกาะที่ไม่อยู่ในแผนที่ได้รับข้อมูลใหม่มา เมื่อนำกลับมาแล้วยังสามารถได้รับหินวิญญาณจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว 

 

 

มั่วชิงเฉินมาเพียงลำพัง เห็นชัดว่าไม่เหมาะที่จะไปยังพื้นที่ที่มีสัตว์อสูรรวมตัวกันเป็นหมู่ สำหรับพื้นที่เว้นว่างที่ไม่เคยมีคนไปเสาะหานั้นย่อมไม่อยู่ในตัวเลือกเช่นเดียวกัน นางคิดไปมาสุดท้ายสายตาก็มองทอดไปยังจุดหนึ่ง 

 

 

หมู่เกาะแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ พื้นที่ตั้งอยู่ที่จุดลึกของน่านน้ำโกลาหล ตรงไปข้างหน้าอีกหน่อยจะเป็นพื้นที่เว้นว่าง ตรงนั้นมีแมวน้ำฟันกระบี่ซึ่งเป็นสัตว์อสูรประเภทครึ่งบกครึ่งน้ำอาศัยอยู่ 

 

 

แมวน้ำฟันกระบี่ชอบอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง มีขอบเขตพื้นที่ที่ชัดเจน โดยเฉพาะแมวน้ำเพศผู้ที่มีสัญชาตญาณเรื่องเขตแดนอย่างยอดเยี่ยม หากมีแมวน้ำฟันกระบี่ตัวอื่นบุกเข้ามาลุกล้ำจะเกิดดุร้ายคลุ้มคลั่ง สู้อย่างเอาเป็นเอาตาย 

 

 

ฉะนั้นหากไม่ใช่ในยามที่แมวน้ำฟันกระบี่เกิดมีอารมณ์ในพื้นที่เดียวกันย่อมไม่อาจปรากฎสองตัวพร้อมกัน 

 

 

สิ่งที่ทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกพึงใจก็คือแมวน้ำฟันกระบี่เป็นสัตว์อสูรขั้นเจ็ด เท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายของมนุษย์ แต่ก็ยังอ่อนแอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันอยู่เล็กน้อย 

 

 

แม้มั่วชิงเฉินจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นแต่กลับมั่นใจในตนเองว่าสามารถสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางได้ ต้องปะทะกับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นกลาง อ่อนแอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นสูงย่อมต้องเหมาะสมอย่างมาก 

 

 

อย่างไรที่นางมาที่นี่ไม่ใช่เพียงเพราะหาหินวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นนางสามารถเลือกหมู่เกาะที่มีนกนางนวลสามหางสัตว์อสูรขั้นห้าก็ย่อมได้ คาดว่าไม่ต้องใช้เวลานานก็สามารถหาหินวิญญาณได้ไปจำนวนหนึ่งแล้ว 

 

 

ที่นางมาน่านน้ำโกลาหลจุดประสงค์สำคัญก็คือการฝึกฝนตนเอง 

 

 

เมื่อมีความตั้งใจนี่แล้วนางมองแผนที่อีกครั้งหนึ่ง มั่วชิงเฉินนำเอาไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาบินตรงไปยังเกาะแห่งนั้น 

 

 

พื้นที่น้ำทะเลนั้นไม่เหมือนกับดินแดนเทียนหยวน หมู่เกาะน้อยๆ ใหญ่ๆอยู่กระจัดกระจายห่างไกล หากไม่ได้ตั้งใจเดินทางไปที่เดียวกันการเหาะเหินบนผืนน้ำก็ยากที่จะบังเอิญพบคน 

 

 

มั่วชิงเฉินปล่อยกระแสจิตออกไปตลอดการเดินทางกลับไม่พบว่ามีคนอยู่ใกล้ นางบินอีกสองวันกว่าจะถึงหมู่เกาะแห่งนั้น 

 

 

นางปล่อยกระแสจิตออกไปสำรวจอย่างระแวดระวัง สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รุนแรงหลายสาย มั่วชิงเฉินเก็บกระแสจิตค่อยๆ ขยับเข้าไปบริเวณพื้นที่ใกล้ที่สุดอย่างช้าๆ 

 

 

บนหาดทรายมีสัตว์อสูรร่างยาวประมาณหนึ่งจั้ง รูปรางอวบอ้วนแข็งแรงตัวหนึ่งนอนหงายท้อง ท่าทางขี้เกียจอาบแดดอยู่ 

 

 

ส่วนหัวของมันเหมือนกับเสือดาว ตรงมุมปากยังมีหนวดยาวบางๆ แต่ตรงปากมีฟันคู่ยาวโค้งงอนขึ้นไป แลดูดุร้ายป่าเถื่อนอยู่เล็กน้อย 

 

 

ร่างกายของมันยิ่งแปลก ส่วนบนมีขาสองข้าง แต่ส่วนล่างกลับเป็นหางกลมหางหนึ่ง 

 

 

มั่วชิงเฉินพลิกมือปรากฏเป็นธนูเขียวซ่อนเร้นขึ้นมา นางตั้งสมาธิกำหนดลมหายใจ ศรทองคำเล็งเป้าไปที่ตำแหน่งหัวใจของแมวน้ำฟันกระบี่แล้วจึงปล่อยออกไป 

 

 

แมวน้ำฟันกระบี่เป็นสัตว์อสูรที่อาศัยโดยลำพัง มีความตระหนักเรื่องเขตแดนอย่างยอดเยี่ยม สัญชาตญาณแหลมคมตั้งแต่เกิด แม้มั่วชิงเฉินจะตั้งใจเก็บไอกระบี่และลมหายใจไปไม่ให้พบ แต่ไอพลังวิญญาณที่ศรทองคำนำพาไปนั้นกลับไม่อาจปกปิดได้ ในเสี้ยววินาทีที่ยิงออกไปก็ถูกแมวน้ำฟันกระบี่จับได้ มันกระโจนพลิกตัวกลับมาทั้งร่าง จากนั้นก็สะบัดหน้า เสียงตีกระทบดังสนั่น ฟันกระบี่ชนเข้ากับศรแหลมคม ศรแหลมคมสั่นสะท้านก่อนกระเด็นลอยออกไป 

 

 

มั่วชิงเฉินตกใจ แมวน้ำฟันกระบี่ปราดเปรียวถึงเช่นนี้เชียว! 

 

 

ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจ แต่ท่าทางการกระทำกลับไม่หยุดลง ศรน้ำแข็งเหมันต์ลอยตามออกไป 

 

 

แมวน้ำฟันกระบี่ก็ตกใจโมโหอย่างมากเช่นเดียวกัน ฟันของมันคู่นี้แหลมคมแข็งแรงอย่างไม่มีที่เปรียบ ไม่รู้ว่ารับมือสู้กับของวิเศษของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นมามากมายเพียงใด แต่ลูกศรเล็กๆ เหล่านั้นกับกระทบจนฟันของมันรู้สึกเจ็บอยู่หน่อยๆ ยากจะจินตนาการถึง 

 

 

เมื่อรู้เช่นนี้แมวน้ำฟันกระบี่ก็เกิดระแวงมั่วชิงเฉินขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามีลูกธนูลอยมาอีกมันจึงไม่กล้าปะทะโดยตรง กลับหลบหลีกอย่างคล่องแคล่วแล้วพุ่งตรงเข้าหา 

 

 

ฝั่งมั่วชิงเฉินหลังจากที่ปล่อยลูกศรออกไปก็เริ่มร่ายบทเคล็ดวิชา นิ้วมือสะบัดพลิก การกระทำรวดเร็วทำให้เกิดเงาติดตากลางอากาศหลายสาย 

 

 

“ความชั่วร้ายทั้งปวงบังเกิด!” 

 

 

คำนี้เหมือนกับไข่มุกที่ตกลงบนถาดหยก รอบกายแมวน้ำฟันกระบี่ปรากฏเถาวัลย์หนามแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาในฉับพลัน ล้อมรอบมันเอาไว้เสียมิด 

 

 

เถาวัลย์เหล่านี้มีไม่น้อยกว่าร้อยชนิด มีทั้งการโจมตีแบบหยุดยั้งพลังวิญญาณ พันพัว และทิ่มแทงต่างๆ นานา และกลุ่มหนามแหลมเหล่านั้นยังมีสีสันสวยงามหลากหลาย ทุกสีล้วนเป็นตัวแทนพิษแต่ละชนิด 

 

 

เท้าหน้าของแมวน้ำฟันกระบี่ตะปบลงไปที่หนามแหลมสีแดงที่มีพิษไฟอยู่ ในเสี้ยววินาทีที่หนามทิ่มลงไปนั้นมันก็รู้สึกได้ถึงความปวดแสบปวดร้อน แล้วยังมีความรู้สึกด้านชาอีกด้วย 

 

 

แมวน้ำฟันกระบี่กรีดร้องน่าเวทนา ร่างของมันกระเด็นลอยไปด้านบน 

 

 

มิ่งเฉินพลิกมือปล่อยแสงวิญญาณกระแสหนึ่งออกไป มวลเถาวัลย์ที่แต่เดิมเลื้อยพันอยู่บนพื้นจู่ๆ ก็ตั้งขึ้นในทันใด แล้วโตยาวตามความสูงที่แมวน้ำฟันกระบี่ลอยขึ้น ความเร็วในการเติบโตนั้นยังเร็วกว่ามันเสียด้วยซ้ำ ทำให้มวลเถาวัลย์รวมตัวกลายเป็นแหขนาดใหญ่อยู่บนหัว แล้วปล่อยตัวลงข้างล่างในฉับพลัน 

 

 

ได้ยินเสียงร้องดังขึ้น แมวน้ำฟันกระบี่ที่ถูกแหใหญ่คลุมตัวเอาไว้ตกลงมา มันเริ่มดึงกระชากแหถาวัลย์อย่างบ้าคลั่ง 

 

 

มั่วชิงเฉินควบคุมมวลเถาวัลย์ แหเถาวัลย์เริ่มบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ และกำลังการขัดขืนของแมวน้ำฟันกระบี่ในนั้นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

เสียงกระทบพื้นดังปัง แหเถาวัลย์แตกออกสี่ด้าน สัตว์อสูรที่มีหนามแหลมประหนึ่งฟันคมเต็มทั่วร่างกายปรากฏขึ้นตรงหน้า พุ่งเข้ามาหามั่วชิงเฉินด้วยพละกำลังที่น่าตกใจ 

 

 

มั่วชิงเฉินลอบถอนหายใจเบาๆ อย่างไม่ทันจับสังเกต สมกับเป็นสัตว์อสูรขั้นเจ็ด ใช้ ‘ความชั่วร้ายทั้งปวงบังเกิด’ ที่เป็นคาถาควบคุมธาตุไม้ก็ยังไม่อาจคุมมันไว้ได้ 

 

 

เพียงพริบตาเดียวแมวน้ำฟันกระบี่ก็มาถึงตรงหน้า หนามแหลมคมที่อัดแน่นประกายเยือกเย็นพุ่งตรงมายังมั่วชิงเฉิน 

 

 

มือทั้งสองข้างมีกริชคู่ฟันปลาปรากฏขึ้น บนตัวแมวน้ำฟันกระบี่ไม่มีที่ให้ลงมือได้อีก เสียงทิ่มดังขึ้นกริชปักไปบนหนามคมแท่งหนึ่ง 

 

 

เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ในเสี้ยววินาทีที่สัมผัสกันนั้นกระวิญญาณบางๆ กระแสหนึ่งได้ถ่ายทอดมาจากหนามแหลมผ่านตัวกริช 

 

 

แมวน้ำฟันกระบี่มีพละกำลังแข็งแรง การที่มั่วชิงเฉินใช้กริชฟันปลาด้ามหนึ่งรับมือกับหนามไม่ใช่เพราะปะทะต่อหน้า แต่เป็นการยยืมแรงกำลังนั้นในการโยนตัวให้ลอยขึ้นไปอยู่บนส่วนหัวของแมวน้ำฟันกระบี่ และกริชฟันปลาอีกด้ามหนึ่งก็พุ่งแทงไปยังส่วนสมองของแมวน้ำ 

 

 

แมวน้ำฟันกระบี่เงยหัวขึ้น กริชฟันปลาคู่ก็แทงลงไป 

 

 

ในตอนนี้แมวน้ำฟันกระบี่ก็เหมือนกับเม่น จะหาพื้นที่ลงมือจะต้องแม่นยำอย่างมาก 

 

 

มือทั้งสองข้างของมั่วชิงเฉินกวัดแกว่งกริชไปมา เลือกหาส่วนที่เห็นเนื้อชัดเจนแทงลงไป แม้ทุกครั้งจะถูกแมวน้ำฟันกระบี่ปัดป้องแต่ก็ไม่หยุด ความเร็วที่ลงมือทุกครั้งเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

นี่คือประโยชน์ของม่านพลังเพิ่มความเร็วนี่เอง! 

 

 

เวลาเดินไปเรื่อยๆ แมวน้ำฟันกระบี่ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น การกระทำตั้งรับการโจมตีเริ่มช้าลงเรื่อยๆ กลับเป็นมั่วชิงเฉินที่ยิ่งสู้ยิ่งอาจหาญ กระบี่ฟันปลาในมือปราดเปรียวว่องไว้ ทิ่มแทงไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ในเวลานี้นี่เองหลังจากบุกโจมตีประหนึ่งพายุคลั่งในที่สุดแมวน้ำฟันกระบี่ก็เผยจุดอ่อนขึ้นมา มั่วชิงเฉินพุ่งกริชด้ามหนึ่งเข้าไปรบกวนจิตใจของฝ่ายตรงข้าม กริชในมืออีกข้างกลับไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อใด สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือเปลวไฟสีฟ้าน้ำแข็งที่แข็งตัวเป็นกระบี่คมเล่มหนึ่ง 

 

 

เสียงดังขึ้นเปลวน้ำแข็งเหมันต์ผลุบหายเข้าตรงท้องของแมวน้ำฟันกระบี่ ยึดบริเวณนั้นเป็นศูนย์กลางเริ่มผนึกแข็งรอบข้างในฉับพลัน 

 

 

ไม่นานแมวน้ำฟันกระบี่ก็กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งสีขาวโปร่งใสร่างหนึ่ง มั่วชิงเฉินทาบฝ่ามือลงไปขับพลังวิญญาณเรียกเปลวน้ำแข็งเหมันต์กลับมา จากนั้นก็ร่ายม่านพลังเริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณกลับมา 

 

 

หลังจากที่พลังวิญญาณฟื้นฟูกลับมาแล้วร่างของแมวน้ำฟันกระบี่ก็เริ่มอ่อนนิ่มขึ้นมา ทั่วทั้งร่างมีเพียงบริเวณหน้าท้องเท่านั้นที่มีบาดแผลขนาดเล็ก เพียงแค่จุดนี้ถึงเวลานำไปขายคุณภาพย่อมสูงขึ้นไประดับหนึ่ง 

 

 

จัดการกับรางวัลจากการล่าแล้ว มั่วชิงเฉินก็เดินทางไปยังจุดมุ่งหมายต่อไป