ตอนที่ 372 มุกผูกมัด

พันธกานต์ปราณอัคคี

หลังจากนั้นหนึ่งเดือนมั่วชิงเฉินที่คุ้นชินกับนิสัยและวิธีการต่อสู้ของแมวน้ำฟันกระบี่อย่างสมบูรณ์แล้วก็ยิ่งใช้คาถาและของวิเศษร่วมกันได้อย่างลื่นมือมากยิ่งขึ้น และจนถึงตอนนี้นางเองก็มีร่างของแมวน้ำฟันกระบี่หกตัวบรรจุอยู่ในกำไลเก็บวัตถุแล้ว 

 

 

อสูรปีศาจขั้นเจ็ดทั่วไปสามารถนำมุกปีศาจไปขายได้แปดพันก้อนหินวิญญาณ บวกกับวัตุดิบจากบริเวณต่างๆ ในร่างกาย ขายรวมกันแล้วได้หนึ่งหมื่นหินวิญญาณย่อมไม่มีปัญหา พอคิดเช่นนี้กลับหาหินวิญญาณได้เร็วกว่านางหลอมโอสถอยู่มาก 

 

 

อยากร่ำรวยต้องกล้าเสี่ยงอันตราย สามารถหาเก็บหินวิญญาณได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ในน่านน้ำโกลาหลสามารถเทียบได้กับความเร็วการซับทองชองนักหลอมโอสถมากฝีมือ ไม่แปลกที่สถานที่แห่งนี้ดึงดูดผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจากทั่วทุกสารทิศให้มารวมตัวกัน 

 

 

มั่วชิงเฉินเปิดแผนที่นิ้วมือละไปตามหมู่เกาะน้อยๆ ใหญ่ๆ เหล่านั้น ตัดสินใจไปจุดหมายต่อไป 

 

 

พื้นที่บริเวณนั้นอยู่เข้าไปลึกกว่าจุดที่อยู่ปัจจุบันอีกเล็กน้อย เป็นทะเลสาบกลางเกาะ ใต้ทะเลสาบมีอสูรปีศาจประเภทหนึ่งที่เรียกว่าหอยผูกมัด อสูรปีศาจประเภทนี้มีเปลือกหอยติดกัน ปรากฏกายแบบเป็นคู่เพศเมียเพศผู้ แม้จะเป็นอสูรปีศาจขั้นหกแต่การโจมตีนั้นเป็นแบบระวังหน้าระวังหลังห้กัน เวลาที่ต่อสู้กับมันก็เหมือนสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่รู้ใจเป็นอย่างดี สิ่งที่มั่วชิงเฉินถูกใจก็คือเรื่องนี้นั่นเอง 

 

 

สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือในหอยผูกมัดจะต้องมีไข่มุกผูกมัดคู่หนึ่ง ไข่มุกผูกมัดเป็นที่นิยมอย่างมาก ขายให้คู่ผู้บำเพ็ญแบบคู่เท่านั้น ชายหญิงที่ครอบครองไข่มุกผูกมัดเพียงแต่หยดเลือดบริสุทธิ์หนึ่งหยดลงไปบนไข่มุกสองลูกพร้อมกัน แล้วนำไปติดตัวเอาไว้จะสามารถรับรู้ได้ถึงตำแหน่งและสถานการณ์คร่าวๆ ของฝ่ายตรงข้าม จนได้รับชื่อว่าไข่มุกใจเดียว 

 

 

หากผู้บำเพ็ญเพียรที่ใส่ประดับไข่มุกใจเดียวอยู่ห่างกันไม่ถึงร้อยลี้ ในทุกวันจะสามารถใช้พลังเรียกได้หนึ่งครั้ง เพียงแค่ขับเคลื่อนไข่มุก อีกคนก็จะถูกเรียกมาอยู่ข้างกายในชั่วพริบตา 

 

 

ระยะทางร้อยลี้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วถือว่าใช้เวลาเพียงน้อยนิด แต่ความสามารถเช่นนี้กลับน่าสนใจเป็นอย่างมากจึงทำให้มุกผูกมัดใจเดียวมีไม่มากพอความต้องการ ได้รับความนิยมโดยเฉพาะหญิงบำเพ็ญเพียร 

 

 

กระโดดขึ้นไหมเกล็ดน้ำแข็งมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของน่านน้ำโกลาหลต่อไป ลมทะเลที่พัดพาความเค็มปะทะเข้าใบหน้า มีความเย็นชื้นติดมาด้วยเล็กน้อย 

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วพลางลดความเร็วลง จนสุดท้ายก็เก็บไหมเกล็ดน้ำแข็งลงไป อาศัยเพียงความสามารถในการเหาะกลางอากาศเดินทางต่อไป 

 

 

กลิ่นนั้นยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นางยิ่งมีท่าทีเคร่งขรึมมากกว่าเดิม 

 

 

นั่นคือกลิ่นคาวเลือด 

 

 

การเหาะเหินเช่นนี้เพราะอาศัยความสามารถอันน่ามหัศจรรย์ของผลเซียนบินทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นในตอนนี้มั่วชิงเฉินสามารถกักเก็บลมหายใจของตนเองยามหยุดนิ่งไม่ขยับเหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรปกติทั่วไป บวกกับวิชาซ่อนเร้นของนางก็อยู่ขั้นสูง ในสถานการณ์ปกติยากที่จะสัมผัสได้ 

 

 

เกาะกลางทะเลยิ่งดูใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของมั่วชิงเฉิน ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นางค่อยๆ ร่อนลง เพียงแต่ลอยต่ำอยู่เหนือผิวน้ำเท่านั้น ไม่นานก็มาถึงชายฝั่งอย่างไร้ซุ่มเสียง 

 

 

เวลาเช่นนี้การปล่อยกระแสจิตไปทั่วจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น การฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาจะเกิดประโยชน์ขึ้นมา 

 

 

นางมัดกระแสจิตรวมกันเป็นหนึ่งกระแสค่อยๆ ปล่อยออกมาด้วยความระมัดระวังยิงออกไปทางบริเวณที่มีกลิ่นคาวเลือดรุนแรงที่สุด แต่ท่าทีกลับตะลึงไป 

 

 

พื้นที่เกาะแห่งนี้แม้จะใหญ่ เป็นหมู่เกาะที่มีทะเลสาบอยู่กลางเกาะ และทะเลสาบกลางเกาะนั้นกินพื้นที่ไปกว่าครึ่ง 

 

 

บริเวณริมขอบทะเลสาบมีร่างไร้ชีวิตของชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่ ข้างๆ มีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งคุกเข่า สีหน้าซีดเผือด บนร่างกายมีรอยเลือดเปรอะเปื้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเงยขึ้นมาข้างหน้า 

 

 

มองตามสายตาของนางไปมีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว 

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก หญิงและชายผู้นี้นางรู้จัก 

 

 

ชายผู้นั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังที่อยู่บนเรือ และหญิงสาวก็เป็นคนที่หัวเราะเขินอายยามที่ผู้ฝึกกายคนนั้นพูดคุย 

 

 

บทสนทนาของทั้งสองคนดังมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน 

 

 

“หญิงน่าสมเพช กล้าตลบหลังข้าเช่นนั้นหรือ” 

 

 

สีหน้าของหญิงบำเพ็ญซีดขาว ส่ายหน้าอย่างสุดกำลัง “ไม่ๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าน้อย…” 

 

 

ดวงตาของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังประกายเย้ยหยัน “ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรือ เห็นชัดว่าพวกเจ้าสองสองคนวางแผนกันมาแล้ว เป็นพวกเดียวกันบนเรือแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก พอลงเรือมาก็ตามตูดข้ามาถึงเกาะนี้ และไม่ไปจัดการฆ่าหอยผูกมัด กลับมาหลบรอของสำเร็จรูป! หากไม่ใช่ว่าข้ายังฉลาด ตอนนี้คนที่นอนอยู่ตรงนี้ก็คงจะเป็นข้ากระมัง” 

 

 

สายตาของหญิงสาวปรากฏแววเคียดแค้นขึ้นมา เสียงยิ่งดูหวาดกลัวอ่อนกลัวอ่อนแอมากขึ้น “สหายเต๋า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าและศิษย์พี่เพิ่งมาที่นี่ ไม่ได้มาหลบรออยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก ศิษย์พี่เห็นว่าสหายเต๋าไปจัดการฆ่าหอยผูกมัดถึงได้เกิดความคิดละโมบ ฮือๆ น่าเสียดายที่ข้าน้อยไม่อาจขัดขวาง ทำให้สหายเต๋าโกรธา แล้วยังต้องสูญเสียชีวิตของศิษย์พี่” 

 

 

หญิงสาวมีรูปลักษณ์เย้ายวนออดอ้อน เมื่อร้องไห้ก็ยังดูงดงาม แลดูอ่อนแอบอบบางมากกว่าเดิม 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากหยวนโจว เห็นหญิงบำเพ็ญร่างหนาเอวใหญ่เหล่านั้นจนเคยชิน เมื่อมาถึงเซิงโจวสิ่งที่ชอบที่สุดคือหญิงบำเพ็ญที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงว่าหญิงสาวที่อ่อนช้อยนุ่มนวลเช่นนี้ ทันใดนั้นก็ยิ้มกว้างเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “เอาเถิด เจ้าก็อย่าร้องไห้ไปเลย ข้าเองไม่โง่ ไม่สนใจว่าพวกเจ้าวางแผนกันมานานแล้วหรือเพิ่งเกิดความคิดนี้ขึ้น อย่างไรก็ถือว่าตลบหลังข้าก่อนอยู่ดี เจ้าทุเรศนี้ตายไปก็ถือว่าแล้วกัน สำหรับเจ้า…” 

 

 

“สหายเต๋า เจ้า…” หญิงบำเพ็ญพอจะคาดเดาจุดประสงค์ที่อยู่ในคำพูดของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังได้ แต่กลับไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลงตกใจ เพียงแต่ดวงตาเบิกโตขึ้นเล็ดน้อยเห็นชัดว่าร่องรอยไร้ที่พึ่งมากกว่าเดิม 

 

 

“อย่าพิรี้พิไรอยู่เลย ข้าขี้เกียจสิ้นเปลืองความคิดมากมายเช่นนี้ พูดออกมาตรงๆ ก็แล้วกัน หากเจ้ายอมให้ข้าได้สบายสักครั้ง ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า หลังจากเสร็จกิจแล้วย่อมปล่อยเจ้าไป หากไม่ยอม…เช่นนั้นก็ตายไปพร้อมกับศิษย์พี่ของเจ้าเถิด” ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังพูดอย่างไม่ปิดบัง 

 

 

หญิงบำเพ็ญหน้าซีดเผือด จากนั้นก็ขึ้นไอแดงระเรื่อ ก้มหน้าไม่พูดอะไรออกมา 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังขมวดคิ้ว รู้สึกรำคาญอยู่เล็กน้อย “อืดอาดชักช้าอยู่ไย สุดท้ายแล้วเจ้ายินยอมหรือไม่ ข้าไม่ได้พูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับเจ้า ไม่มีเวลามากขนาดนั้นมารอเจ้าหรอกนะ!” 

 

 

หญิงบำเพ็ญกัดริมฝีปากน้อยๆ แอบคิดว่าเสียแผนการ ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังผู้นี้ดูเรียบง่ายและซื่อสัตย์ แต่จริงแล้วกลับมีความละเอียดอ่อนในความหยาบกร้าน เขาไม่ได้มีความหลงใหลในตนเอง เกรงว่าคงเป็นการแลกเปลี่ยนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับเขาแล้วก็เท่ากับ…ฟรี 

 

 

คิดถึงตรงนี้นางก็ไม่กล้าคิดต่อไป ใช่ว่านางจะไม่เคยหลับนอนกับชายอื่นมาก่อน แต่นั่นต่างฝ่ายต่างยินยอม แต่สถานการณ์ตอนนี้กลับอัปยศอดสูไปเสียหน่อย 

 

 

แต่ก็จนปัญญาทำได้เพียงแค่ก้มหน้าต่ำลง ปิดบังซ่อนเร้นความโกรธแค้นในดวงตา เห็นคอเรียวระหงขาวใสพลางพูดเสียงเบาว่า “ได้ ได้อยู่สหายเต๋า ข้าน้อยย่อมต้องยินยอม หวังว่าสหายเต๋าจะสงสาร…” 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังหัวเราะกรุ้มกริ่มแต่กลับไม่พูดอะไร นิ้วมือสะกิดยิงผงสีขาวจำนวนหนึ่งออกไปบนร่างไร้ชีวิตของชายบำเพ็ญ ร่างกายสลายหายไปเป็นควันขาวลอยหายไปกับสายลมในพริบตา ไม่ได้กลิ่นคาวเลือดอีกแม้แต่น้อย 

 

 

ภายใต้สายตาและท่าทีสับสนของหญิงบำเพ็ญเพียรที่มองมา เขาก้มลงเก็บถุงเก็บวัตถุที่อยู่บนพื้น จากนั้นก็ถอดกระชากเสื้อที่อยู่บนร่างโยนทิ้งไปข้างๆ อย่างคล่องแคล่วว่องไว เดินไปคร่อมทับไว้ 

 

 

“อ๋า” หญิงบำเพ็ญร้องด้วยความตกใจ หลังจากนั้นมือทั้งสองข้างกลับวางทับไว้บนไหล่ของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง 

 

 

มั่วชิงเฉินทนดูต่อไม่ไหว เก็บกระแสจิตกลับมาหมุนตัวเตรียมเดินออกไป 

 

 

บทสนทนาของทั้งสองคนทำให้นางพอรู้อะไรบ้าง ก็เหมือนกับที่ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังพูด จะต้องเป็นศิษย์พี่น้องคู่นั้นที่คิดจะฆ่าคนขโมยของ แต่ผลสุดท้ายกลับถูกผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคุมตัวไว้ 

 

 

หญิงบำเพ็ญเพียรในตอนนี้กลับตกเป็นเชลย จำต้องพึ่งพาขายร่างตนเองเพื่อแลกกับโอกาสมีชีวิตต่อ ว่าแล้วก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัว 

 

 

หากว่าบังเอิญพบหญิงบำเพ็ญไร้เดียงสาโดยชายบำเพ็ญรังแก ในสถานการณ์ที่มีความสามารถนางก็จะลงไปช่วย แต่เรื่องสุนัขลอบกัดกันเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองสกปรกไปด้วย 

 

 

เส้นทางการบำเพ็ญเพียรยากลำบากเพียงใด ในยามที่ตัดสินใจทำอะไรไปแล้วก็ควรจะต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมา 

 

 

แต่ในตอนที่มั่วชิงเฉินหมุนตัวกลับไปจำต้องตะลึงงัน คลื่นพลังวิญญาณกระแสหนึ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อสีเขียวอมฟ้าก็ย่อตัวกระโดดลงมาจากของวิเศษที่บินอยู่บนฟ้า 

 

 

การกระทำนี้ย่อมกระทบดังไปถึงทั้งสองคนข้างทะเลสาบที่กำลังมัวเมาในกามารมณ์ ได้ยินเสียงแฝงความหงุดหงิดตะโกนดัง “ใคร!” 

 

 

ชายหนุ่มที่ปล่อยกระแสจิตทำท่าเรียกกลับคืนมา สายตากลับจ้องเขม็งไปที่มั่วชิงเฉิน หัวเราะทุ้ม “แท้จริงก็เป็นนกเป็ดน้ำป่านี่เอง มิน่าเล่าแม่นางเพิ่งมาถึงเกาะแล้วจึงได้แยกตัวไป” 

 

 

เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำแต่ชัดเจน น่าฟังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะน้ำเสียงที่แผงความขบขันเอาไว้เบาๆ เหมือนกับได้ฟังเสียงดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่ง 

 

 

ล้วนพูดกันว่าเพียงชม้ายชายตาก็ยวนยล สุดท้ายมั่วชิงเฉินก็ได้เรียนรู้ในวันนี้ว่าบุรุษอาศัยเพียงเสียงก็สามารถทำให้คนรู้สึกเช่นนี้ได้ 

 

 

คนผู้นี้คือปีศาจ จบการพิสูจน์ 

 

 

สำหรับบุคคลระดับปีศาจมั่วชิงเฉินล้วนหลบเลี่ยงไม่รับไว้ตลอดมา ในตอนนั้นนางก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ฉีกริมฝีปากแสดงท่าถือว่าทักทายแล้ว แต่ฝีเท้ากลับไม่ได้ก้าวไปไหน 

 

 

นางรู้ว่าตอนนี้คิดจะจากไปก็ไม่สำเร็จแล้ว 

 

 

ไม่ต่างจากที่คาดไว้ไม่นานไอลมหายใจสองกระแสก็ใกล้เข้ามา ใช้เวลาไม่นานชายและหญิงคนหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าคนทั้งสอง 

 

 

สีหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังดำคล้ำเหมือนก้นหม้อ เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินก็พบว่าเป็นคนจากเรือลำเดียวกันสีหน้ายิ่งดำมากขึ้น จากนั้นสายตาก็ทอดมองไปยังชายผู้มาใหม่ “สหายเต๋าทั้งสองช่างสุนทรีย์เสียจริง!” 

 

 

คำพูดนี้กำลังทิ่มแทงทั้งสองคนว่าแอบดู 

 

 

ชายหนุ่มที่มาใหม่ยิ้มน้อยๆ “ข้าน้อยรบกวนเวลาสุนทรีย์ของสหายเต๋าแล้ว” 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังขมวดคิ้วมุ่นจนเป็นร่องลึก แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา อารมณ์กำลังถึงจุดกิจยังไม่เสร็จกลับถูกคนรบกวน ไม่ว่าเป็นชายคนไหนล้วนเข้าใจว่าหงุดหงิดเพียงใด เขาไม่ใช่คนอารมณ์ดี หากว่าคนที่มาเป็นคนที่มีตบะบำเพ็ญไม่ได้เรื่องเขาใช้หมัดกำลังจัดการไปนานแล้ว แต่ชายผู้นี้อยู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย ถึงเขาจะหัวร้อนแต่ก็ไม่ผลีผลาม 

 

 

ปกติไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ชอบใช้หมัดจัดการปัญหา นั่นเพราะว่าหมัดทั้งประหยัดเวลาและเห็นผล ไม่ได้หมายความว่าเขาโง่จริง! 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังไม่พูดจา คิดไม่ถึงว่าหญิงคนนั้นกลับร้องด้วยความตกใจ “เจ้า เจ้าคือคุณชายเผยสิบสาม!” 

 

 

ชายผู้มาใหม่หัวเราะเรียบๆ “ที่จริงแล้วแม่นางก็รู้จักข้าน้อย ใช่แล้ว ข้าน้อยคือเผยสิบสามจริง” พูดจบสายตาก็กวาดมองมั่วชิงเฉินและผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง 

 

 

‘เผยสิบสาม?’ ไม่เคยได้ยินมาก่อน 

 

 

มั่วชิงเฉินยืนอยู่ที่เดิมด้วยการนิ่งเฉยไม่พูดจา แต่สีหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท่าทางที่มองไปยังชายหนุ่มผู้นั้นมีความเกรงใจขึ้นมา “ที่จริงแล้วก็เป็นคุณชายเผยสิบสามนี่เอง ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว” 

 

 

“สหายเต๋าทั้งสองเกรงใจไปแล้ว เรียกข้าว่าเผยสิบสามก็ได้ ข้าน้อยมาที่นี่เพื่อมุกผูกมัด สหายเต๋าทั้งสามทำตัวตามสบาย” เผยสิบสามพูดจาไม่เร่งรีบ แฝงความสง่างามดั่งคุณชายในตระกูลใหญ่ ก้มหัวให้ทั้งสามคนน้อยๆ แล้วเดินไปยังทะเลสาบกลางเกาะ 

 

 

คนเยอะขึ้นสถานการณ์ก็กลายเป็นน่าประหลาด 

 

 

มั่วชิงเฉินแต่เดิมมุ่งมาเพราะหอยผูกมัด สถานการณ์ตอนนี้เข้าสู่ความสมดุลบางอย่างจึงล้มเลิกความคิดที่จะจากไป นางพยักหน้าให้ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังและหญิงบำเพ็ญเล็กน้อยแล้วจึงเดินเข้าไปข้างใน 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังกัดฟันแน่นสืบฝีเท้าก้าวตามไป เห็นว่าข้างหลังไม่มีเสียงเคลื่อนไหวจึงหันหน้าไปและพูดว่า “แม่นาง เรื่องระหว่างพวกเรายังไม่เสร็จสิ้น ไปเถิด” 

 

 

หญิงบำเพ็ญกัดริมฝีปากเดินตามไป