บทที่ 62 ฐานทัพทะเลมาร

Your Talent Is Mine ระบบคัดลอกพรสวรรค์

ขบวนรถมาถึงประตูทิศเหนือ อวจงขึ้นไปเจรจากับนักรบผู้เชี่ยวชาญในกองคาราวานสินค้าเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาการชําระเงิน

สินค้าเหล่านี้ถูกขนส่งจากฐานใหญ่และส่งมายังฐานหลินไห่เพื่อขายและแลกเปลี่ยนเป็นเงินหรือแลกเปลี่ยนกับวัตถุดิบชนิดอื่นๆ

ทรัพยากรเหล่านี้ เป็นที่ขาดแคลนในฐานขนาดใหญ่ เช่น วัตถุดิบทํายาบางชนิด หรือชิ้นส่วนสัตว์อสูร ฯลฯ

แต่กลับกันฐานขนาดใหญ่สามารถจัดหาสินค้าสําเร็จรูปจํานวนมากเช่น ยารักษาบาดแผลหรือยาชนิดอื่นๆที่จําเป็น

การแลกเปลี่ยนสินค้าจากทั้งสองฐานทัพเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย และหอยุทธก็ทํากําไรจากการค้าในรูปแบบนี้ได้มากมาย

อวจงส่งคนไปจัดการสินค้าและกระบวนการนี้ใช้เวลา 1 หรือ 2 ชั่วโมง

ผู้อาวุโสหลี่และคนอื่นๆรู้ว่ากระบวนการนี้ใช้เวลานาน ดังนั้นพวกเขาจึงปิดตาและพักผ่อนในขณะที่เย่เทียนมองไปที่พวกที่สัตว์อสูรด้วยความสงสัย

สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนเป็นอสูรชนิดเดียวกัน พวกมันคล้ายช้างแต่มีขนาดใหญ่กว่าช้างหลายเท่าและบนร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดหนา

สัตว์อสูรพวกนี้อยู่ไม่ไกลจากเย่เทียนมากนัก ดังนั้นเย่เทียนจึงสามารถมองเห็นข้อมูลต่างๆของพวกมันได้อย่างง่ายดาย

[ประเภท : ช้างเกราะ

พรสวรรค์ทางสายเลือด :ปานกลาง

สวรรค์ป้องกัน : ระดับเริ่มต้น

พรสวรรค์ด้านพละกําลัง : ระดับเริ่มต้น]

“พรสวรรค์ของพวกมันดีมาก!”

เย่เทียนประหลาดใจ

ช้างป่าพวกนี้กลับมีพรสวรรค์พิเศษอยู่ถึง 2 อย่าง แม้จะเป็นพรสวรรค์ระดับเริ่มต้นแต่ในบรรดาสัตว์อสูรพวกมันก็พิเศษ น่าเสียดายที่พรสวรรค์ทางสายเลือดของมันมีระดับปานกลางเท่านั้น ยากที่จะแข็งแกร่งขึ้นไปกว่านี้

“แม้ว่ามันจะมีผลสวรรค์ทางสายเลือดระดับปานกลาง แต่ดูจากกลิ่นอายของพวกมันแล้ว พวกมันได้เติบโตจนถึงขีดสุดกลายมาเป็นสัตว์อสูรระดับสูงขั้นต้น แต่ด้วยพวกมันยังมีพรสวรรค์ด้านการป้องกันและพรสวรรค์ด้านพละกําลังคอยสนับสนุนพวกมันสามารถต่อกรกับสัตว์อสูรระดับสูงขั้นกลางได้โดยไม่เสียเปรียบ!” เย่เทียนตัดสิน

ช้างเกราะมีร่างกายที่ใหญ่โต ด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่สูงและไม่ต่ําจนเกินไป มันจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะเพาะเลี้ยงให้กลายเป็นสัตว์อสูรสําหรับการลากสินค้าและการขนส่ง
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

เมื่ออวจงและกองคาราวานได้ส่งมอบสินค้าเสร็จเรียบร้อย และเตรียมตัวเดินทางกลับไปที่ฐานทัพของทะเลมาร

ถ้าเขาต้องการที่จะกลับมาอีกครั้ง เขาต้องรออีกหนึ่งปีก่อนที่จะออกจากฐานทะเลมาร การเดินทางไปยังฐานทัพทะเลมารนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายหากอาศัยกองคาราวาน แต่หากเดินทางเพียงล่าพังนั้นเป็นเรื่องยาก

หลินว่านหลี่และคนอื่นๆวางแผนที่จะอยู่ในฐานทะเลมารเป็นเวลา 1-2 เดือน เพื่อซื้อของที่ต้องการและกลับมายังฐานหลินไห่ การเดินทางกลับด้วยตนเองของพวกเขาหากไม่ระวังก็ต้องพบเจอกับอันตราย

“ตามกฎของกองคาราวาน จะมีค่าธรรมเนียมในการเดินทางสิบล้านหยวนโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการทําบัตรรับรอง!”

นักรบผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งจากกองคาราวานเดินเข้ามาหาเย่เทียนและคนอื่นๆ

“นําเงินออกมา!”

หลินว่านหลี่หยิบบัตรทองออกมาสิบใบและส่งให้นักรบผู้เชี่ยวชาญของกองคาราวาน

แม้ว่าผู้อาวุโสหลจะเป็นปรมาจารย์แต่เขาก็ไม่สามารถทําลายกฎได้ เพราะเขาเองก็เป็นเพียงปรมาจารย์ธรรมดาๆ ไม่มีทางฝ่าฝืนกฎที่หอยุทธตั้งขึ้นได้ ที่สําคัญก็คือยังมีปรมาจารย์คนหนึ่งในขบวนรถสินค้าที่คอยควบคุมดูแลบนรถที่ช่างเกราะลากอยู่โดยไม่ได้ลงมา ดังนั้นผู้อาวุโสหลี่จึงไม่กล้าทําอะไรเพื่อสร้างปัญหา

“เจ้าต้องจ่าย 30 ล้านเหรียญ เพราะต้องรวมสัตว์เลี้ยงของเจ้าด้วย!”

นักรบผู้เชี่ยวชาญชี้ไปที่เสี่ยวจนและกล่าว

30 ล้าน หยวน เป็นเพียงเงินเล็กๆน้อยๆสําหรับเย่เทียน เขาควักเงินออกมาจ่ายไปตรงๆโดยไม่ได้บ่นอะไร

ไม่นานกองคาราวานก็เริ่มออกเดินทาง

ผู้อาวุโสหลี่และคนอื่นๆไม่มีฐานะสูงพอที่จะได้นั่งบนรถที่ช้างเกราะลากอยู่ พวกเขาทําได้เพียงวิ่งตามไปในขณะที่เย่เทียนและเย่หยรู้สึกสบายกว่ามากพวกเขานั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวจินโดยไม่ต้องออกแรงอะไร

ช้างเกราะไม่ได้มีความเร็วมากนัก มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 100 เมตรต่อวินาทีถึงแม้จะช้ามากสําหรับเย่เทียนแต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะระหว่างฐานหลินไห่และฐานทะเลมารมีสัตว์อสูรมากมายนับไม่ถ้วนตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยป่าทึบและต้นไม้ขนาดใหญ่แน่นอนว่าเส้นทางเหล่านี้ไม่ใช่เส้นทางสัญจรที่คนปกติจะสามารถเดินทางได้

ถ้าหากเคลื่อนไหวเร็วไป สินค้าที่คนมาด้วยอาจจะได้รับความเสียหาย ทั้งยังชนเข้ากับสัตว์ร้ายตัวอื่นได้ง่าย เมื่อถึงเวลานั้นปัญหาก็จะยิ่งมากขึ้น

ด้วยความเร็วของช้างเกราะ ระยะทางกว่า 3,000 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8-9 ชั่วโมงซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก

ตลอดเส้นทาง

เย่เทียนพบสัตว์อสูรจํานวนมาก แต่สัตว์อสูรส่วนใหญ่ที่สัมผัสถึงกลิ่นอายของช้างเกราะพวกมันก็วิ่งหนีไปเนื่องจากฝูงสัตว์อสูรระดับสูงมีแรงกดดันที่แข็งแกร่งสัตว์อสูรทั่วไปจึงไม่กล้าเข้าใกล้กองคาราวานกองคาราวานไม่ได้กลัวสัตว์อสูรระดับสูงแต่ก็เกรงว่าจะมีสัตว์อสูรฉันยอดปรากฏตัวขึ้น

อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะได้พบกับสัตว์อสูรชั้นยอดนนั้นมีไม่มากนัก เนื่องจากเส้นทางที่ขบวนสินค้าใช้เป็นเส้นทางที่พวกเขาคิดว่าปลอดภัย พวกเขาเคยสํารวจมานานแล้วและใช้เส้นทางที่หลีกเลี่ยงอาณาเขตของสัตว์อสูรชั้นยอดตราบใดที่ไม่โชคร้ายเกินไป ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เก้าชั่วโมงผ่านไป

เย่เทียนนั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวจิน และมองออกไปในระยะไกล เขามองเห็นเมืองขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว

เมืองนี้มีขนาดใหญ่กว่าฐานหลินไห่ไม่รู้กี่เท่า แต่ก็ไม่ได้ปกป้องกําแพงเมือง มีเพียงแสงจางๆเท่านั้นตลอดทาง

เย่เทียนพบสัตว์อสูรมากกว่า1 ตัวแต่สัตว์อสูรเหล่านั้นรู้สึกถึงกลิ่นอายของช้างเกราะเถื่อนและวิ่งหนีไปเทียนเป็นฝูงสัตว์อสูรดูร้ายระดับสูง การข่มขู่นั้นแข็งแกร่งมากสัตว์ร้ายทั่วไปไม่กล้าเข้าใกล้กองเรือ

กองเรือไม่กลัวสัตว์ร้ายระดับสูงแต่กลัวสัตว์ร้ายชั้นยอด

โอกาสที่จะไม่เจอสัตว์ร้ายชั้นยอดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะเส้นทางที่คาพาสซีนใช้นั้นเทียบกันได้ เส้นทางที่ปลอดภัยกว่าหลีกเลี่ยงอาณาเขตของสัตว์ร้ายชั้นยอดมากมายตราบใดที่ไม่โชคร้ายเกินไปก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น

เก้าชั่วโมงผ่านไป

เย่เทียนนั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวจิน และมองออกไปไกลเขา เขามองเห็นเมืองขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว

เมืองนี้มีขนาดใหญ่กว่าฐานหลินไห่ไม่รู้กี่เท่า แต่ก็ไม่ได้มีกําแพงขนาดใหญ่คอยปกป้องเมืองเหนือจินตนาการของเขามีเพียงม่านแสงจางๆเท่านั้น

ม่านครอบคลุมทั้งเมือง

“ฐานทัพทะเลมาร!”

เย่เทียนพึมพํา

เมื่อเทียบกับฐานทะเลมารแล้ว ฐานหลินไห่เป็นสถานที่เล็ก ๆ ที่ล้าหลังอย่างไม่ต้องสงสัยเปรียบความแตกต่างได้กับเมืองสมัยใหม่กับเมืองสมัยโบราณ

สิ่งที่ทําให้เย่เทียนรู้สึกสนใจมากที่สุดก็คือม่านแสงขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทั่วฐานทัพทะเลมารว่ากันว่ามันเป็นค่ายกลแต่ไม่รู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร

หนึ่งนาทีต่อมา “เรามาถึงแล้ว!”

ผู้นําของกองคาราวานตะโกนเสียงดัง

“พวกเจ้าถือบัตรยืนยันตัวตนแล้วเข้าเมืองไปซะ!”

นักรบชั้นยอดคนหนึ่งของกองคาราวานส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เย่เทียนและคนอื่นๆ และไล่เย่เทียนออกไป

ฐานทะเลมารมีทางเข้ามากมาย ทางเข้าเหล่านี้ไม่มีม่านแสงปกคลุม สามารถเข้าไปได้ แต่ต้องใช้บัตรยืนยันตัวตนหรือบัตรเวทย์แสดงตัวตนมิฉะนั้นหากถูกพบว่าบุกรุกเข้าไปในฐานทัพทะเล มารโดยพละการแล้วล่ะก็แม้แต่ปรมาจารย์ก็ต้องตาย

เย่เทียนถือบัตรยืนยันยันสามใบ และเดินผ่านทางเข้าและเข้าไปในฐานทะเลมาร จากนั้นเขาก็แยกตัวออกจากตาเฒ่าหลีและคนอื่น ๆ

เห็นได้ชัดว่าตาเฒ่าหลี่และคนอื่นๆ มีธุระที่ต้องรีบจัดการ นอกจากนี้หลังจากที่เย่เทียนแยกกับตาเฒ่าหลี่และคนอื่นๆ แล้วในอนาคตพวกเขาอาจจะไม่ได้พบเจอกันอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่จําเป็นต้องสนใจ

ถนนของฐานทะเลมารนั้นกว้างมาก แม้แต่เสี่ยวจินก็เดินอยู่บนดูตัวเล็กไปเลยเมื่อเทีย บกับถนนนี่เป็นสิ่งที่ฐานทะเลมารสร้างขึ้นเพื่อสัตว์เลี้ยงและสัตว์อสูร

เย่เทียนซักถามชาวเมืองและในที่สุดก็พบสถานที่สําหรับขึ้นทะเบียนสถานะผู้อยู่อาศัยของฐานทะเลมาร

สํานักงานผู้อยู่อาศัยในฐานทะเลมาร

เมื่อยืนอยู่หน้าตึกระฟ้าซึ่งเป็นสํานักงานจัดการเรื่องผู้อยู่อาศัย เย่เทียนก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในชาติที่แล้ว อันที่จริงความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เขามาถึงฐานทัพทะเลมาร

เนื่องจากฐานทะเลมารนั้นคล้ายคลึงกับเมืองที่ทันสมัยในชาติที่แล้วของเขามาก แตกต่างกันตรงที่พลังงานที่ใช่ในเมืองนี้คือพลังปราณ มันจึงทําให้พลังปราณของที่นี่เข้มข้นกว่าในฐานหลินไห่มาก

การฝึกฝนในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ความเร็วในการฝึกฝนย่อมก้าวหน้าได้เร็วกว่าฐานหลินไห่มาก

ขณะที่เย่เทียนกําลังจะเข้าไปในหน่วยพักอาศัยของทะเลมาร นักรบในชุดยามก็หยุดเย่เทียนไว้
“สหาย เจ้าไม่สามารถเข้าไปด้านในได้!”

เย่เทียนมองไปที่นักรบที่อยู่ตรงหน้าเขา และมองไปที่ประตูของสํานักงานที่พักอาศัยของทะเลมาร และเปรียบเทียบกับรูปร่างของเสี่ยวจิน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทิ้งเสี่ยวจินไว้ข้างนอกถ้าเสี่ยวจินเข้าไปมันเขาอาจจะสร้างความเสียหายได้

“เสียวจิน เจ้ารอข้าอยู่ข้างนอก ข้าจะรีบกลับมา!” เย่เทียนกําชับ

“นายท่าน ต้องรีบออกมา!”

เสี่ยวจินกังวลและประหม่าเล็กน้อย

มีมนุษย์จํานวนมากในบริเวณใกล้เคียง และพวกมันยังเป็นมนุษย์ที่ทรงพลังมาก มันสัมผัสได้ว่ามีมนุษย์จํานวนมากที่แข็งแกร่งกว่ามันอยู่ในฐานทะเลมารแห่งนี้

ในฐานะสัตว์อสูร มันรู้สึกกดดันมากเมื่อมาถึงที่นี่

หากมีเย่เทียนอยู่ด้วย มันก็ไม่กังวลมากนัก แต่พอเย่เทียนจากไป มันก็เป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง