เพียงได้ยินว่าได้เล่น ดวงตาของอิงฮวาพลันเปล่งประกาย
หากเทียบตามช่วงวัยของเขา การเล่นสนุกเป็นเรื่องหฤหรรษ์ที่สุดแล้ว
หลินเมิ้งหยาพยายามแสดงท่าทางอ่อนโยนเพื่อมิให้เด็กน้อยจับสังเกตได้
“เช่นนั้นพวกเรามาเริ่มกันเลยเถิด เจ้าช่วยข้าชี้ทางไปยังตำหนักของหมู่เฟยดีหรือไม่?”
อิงฮวาผงกศีรษะลง สายตามุ่งมั่นอยากเอาชนะ
เป็นเด็กฉลาดยิ่งนัก หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองทั่วทั้งบริเวณ ก่อนจะส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ป๋ายซู จากนั้นจึงเดินออกจากมุมอับที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าเด็กทุกคนล้วนเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ ขอถามหน่อยว่าจะมีแม่คนไหนรั้งตัวแม่นมของลูกตนเองไว้ในยามวิกาลเช่นนี้บ้าง?
นางครุ่นคิด คนเป็นแม่ต้องเจ็บปวดใจมากอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอิงฮวาซึ่งอยู่ในวัยกำลังซนเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ประตูทั้งสามแห่งล้วนไร้เงาคน ทั้งหมดนี้ล้วนผิดปกติ!
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงประตูสุดท้าย ที่นี่มีเงาคนอยู่บ้างประปราย
สัญชาตญาณของหลินเมิ้งหยาถูกต้องแล้ว องค์ชายในวัยเยาว์จำนวนไม่น้อยต้องตายไปโดยมิทราบสาเหตุ ฉะนั้นในเมื่อนางอยู่ที่นี่ นางมิอาจปล่อยให้อิงฮวาแบกรับชะตากรรมเช่นนั้นได้
บริเวณนี้มีคนเดินผ่านไปมาท่าทางรีบร้อน ไม่เหมือนกำลังหาคนเลยแม้แต่น้อย อิงฮวายังคงอยู่ในอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา นิ้วของเขาชี้ไปทางนั้น
บางทีอาจเพราะที่นี่อยู่ใกล้กับตำหนักชิงของหมู่เฟย หนูน้อยจึงมีท่าทางอารมณ์ดี เหตุเพราะเขาใกล้จะชนะแล้วนี่นา
อยู่ๆ อิงฮวาก็รีบชี้มือชี้ไม้ไปทางประตูตำหนัก
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูเดินไปถึงหน้าประตูตำหนักเพื่อมองดู ตำหนักหย่งเหอ
ดูเหมือนหมู่เฟยของเด็กคนนี้จะเป็นคนมีอำนาจ
เหตุเพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางคืน ประตูทุกบานจึงถูกปิดสนิท ป๋ายซูเดินไปเคาะประตู ไม่นานก็มีคนเปิดประตูออก
ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่งดงามโผล่ออกมาให้เห็น แต่เมื่อนางได้เห็นอิงฮวาซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
“นายน้อยของข้า ท่านหายไปไหนมา หนู่ปี้ตามหาท่านไม่เจอเลย หากท่านหายไป เหนียงเหนียงจะต้องถลกหนังหนู่ปี้ออกมาอย่างแน่นอน”
เมื่อกลับมาถึงตำหนักของหมู่เฟยอย่างปลอดภัย อิงฮวาแสดงท่าทางมีความสุขสนุกสนาน
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ โชคดีที่มาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย
ท่าทีของอิงฮวาเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้านางใน เขามิได้มีท่าทางขี้เล่นเหมือนตอนอยู่กับหลินเมิ้งหยา แต่กลับเคร่งขรึมหยิ่งผยองขึ้นมา
ยื่นลูกตะกร้อใส่มือหลินเมิ้งหยา มือเล็กยกขึ้นไพล่หลัง ก่อนจะชำเลืองมองนางในคนนั้น
“พวกเจ้ามันไม่ได้เรื่อง ทุกครั้งที่เปิ่นฮวงจื่อหายไปแต่กลับไม่มีใครหาเจอ เอาล่ะ ข้าจะไปหาหมู่เฟย พี่สะใภ้สาม เอาไว้วันหน้าพวกเราค่อยมาเล่นกันใหม่นะ”
พูดจบ เขาไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง แต่กลับสาวเท้ายาวๆ ไปทางประตูตำหนักหย่งเหอ
นางในคนนั้นทำตัวไม่ถูก รีบหยักยิ้มเชิงขอโทษให้หลินเมิ้งหยา ก่อนจะถวายคำนับ
“ขอบพระทัยพระชายาที่พาองค์ชายสิบมาส่งเพคะ ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว คงไม่สะดวกที่จะให้พระชายาเข้าไปรบกวนเหนียงเหนียง พระชายาได้โปรดอภัยด้วย”
คำพูดของนางไร้มารยาทอยู่เล็กน้อย
โชคดีที่หลินเมิ้งหยาหาใช่คนคิดมาก บางทีการหายตัวไปของอิงฮวาคงทำให้พวกนางในร้อนใจเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมิใช่เวลาอันเหมาะสมในการเข้าเฝ้า
ซ้ำตอนนี้ตัวนางเองยังมิต่างอันใดจากเผือกนึ่งร้อนๆ ที่ไม่มีใครอยากเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย
“ไม่เป็นไร เจ้ารีบตามองค์ชายสิบไปเถิด ข้ากลับก่อนล่ะ”
หลินเมิ้งหยายกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้กับนางในคนนั้นแล้วเตรียมตัวจากไป
ทว่าเมื่อก้มหน้าลงก็ได้เห็นกำไลข้อมือหยกสีเขียวมรกตอันแสนงดงาม เวลาเพียงชั่วพริบตา นางในคนนั้นก็ปิดประตูลง
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ขณะที่คิดจะเดินจากไปพร้อมกับป๋ายซู แต่นางกลับเห็นตะกร้อของอิงฮวา
เหตุใดเด็กคนนี้จึงรีบร้อนกระทั่งลืมของรักของหวงของตนเองไปได้?
อยู่ๆ ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้
ไม่สิ กำไลหยกเป็นของมีราคา ทั้งของกินของใช้ของพวกนางในล้วนถูกจำกัดอย่างเข้มงวด ยกเว้นเสียแต่ว่านางจะเป็นเพ่ยเจี้ยของพระสนม
แต่เพ่ยเจี้ยส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนสนิทของพระสนม เหตุใดจึงปฏิบัติตัวเสมือนไม่ใส่ใจความรู้สึกผู้อื่นเช่นนี้ ราวกับว่านางอยากจะรีบไล่ตนเองให้ออกไปอย่างไรอย่างนั้น
“ป๋ายซู เร็วเข้า เคาะประตู!”
หลินเมิ้งหยาไม่อาจทำใจมองข้ามเรื่องนี้ไปได้ อิงฮวาอาจตกอยู่ในอันตราย!
ป๋ายซูที่ได้รับคำสั่งรีบเคาะประตู “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แม้จะผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
หลินเมิ้งหยาไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป นางรีบเข้าไปเคาะประตูกับป๋ายซู ราวสิบนาทีต่อมา เสียงด้านหลังประตูจึงดังขึ้น
“ใคร! เหตุใดจึงไม่รู้จักกฎระเบียบของวังหลวง? บังอาจส่งเสียงดังครึกโครม พวกเจ้าไม่กลัวเหนียงเหนียงจะเอาชีวิตพวกเจ้ากระนั้นหรือ”
เสียงตะคอกของขันทีดังขึ้น
ประตูถูกกระชากเปิดออก หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูรีบพุ่งตัวเข้าไปภายใน
“ไอหยา ไอหยา ไอหยา พวกเจ้าเป็นคนของตำหนักไหน? เหตุใดจึงไร้มารยาทเช่นนี้?”
หลินเมิ้งหยาไม่สนใจทั้งสิ้น เข้าไปกระชาคอเสื้อของขันที ก่อนจะถามด้วยความร้อนใจ
“อิงฮวาเล่า? องค์ชายสิบของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
ขันทีมิเคยเจอคนใจร้อนเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าของหลินเมิ้งหยายังเคร่งขรึม เขาตกใจจนตัวโยน แต่ถึงกระนั้นก็รีบตอบกลับทันที
“ไม่รู้ว่าองค์ชายไปเล่นซนอยู่ที่ใด ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย คนทั้งตำหนักตามหาตัวเขาไม่เจอ เจ้า…พวกเจ้าเป็นใครกัน?”
เขาไม่เคยเห็นหญิงสาวตรงหน้ามาก่อน แต่เพราะขันทีทำงานอยู่ในวังหลวงมานาน เพียงเห็นชุดที่นางสวมใส่ปราดเดียวก็รู้ได้ว่านางหาใช่คนธรรมดาและจะต้องเป็นเจ้านายจากตำหนักไหนสักตำหนักอย่างแน่นอน
“ไม่ อิงฮวากลับมาแล้ว เมื่อกี้เขาถูกนางในสวมกำไลหยกพาตัวไป ข้าเป็นคนส่งเขามาที่นี่เอง จงไปตามคนออกตามหาเดี๋ยวนี้ จะต้องหาเขาให้เจอ จำเอาไว้ว่าจะต้องออกตามหาทุกซอกทุกมุม มิเช่นนั้นอิงฮวาอาจตกอยู่ในอันตราย”
หลินเมิ้งหยาออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว ขันที่เหลือบมองเห็นลูกตะกร้อในมือของหลินเมิ้งหยา เขาจำได้ทันทีว่ามันคือของรักของหวงของนายน้อยตนเอง
เข้าใจสถานการณ์โดยพลัน เขารีบส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนกและไม่ขวางหน้าหลินเมิ้งหยาอีก
“ช่วยด้วย! นายน้อยตกอยู่ในอันตราย! ช่วยด้วย!”
อย่าว่าแต่ตำหนักแห่งนี้เลย เกรงว่าคนทุกตำหนักจะต้องได้ยินเสียงแผดร้องเสียงนี้แล้วอย่างแน่นอน
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูรีบออกตามหาทีละห้อง
แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องร้อนรุ่มใจก็คือ แม้จะออกค้นหาทุกซอกทุกมุม พวกนางก็ยังไม่ได้ยินเสียงเล็กๆ อันคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย
ขณะเดียวก่อน เหตุเพราะเสียงร้องของขันที คนจำนวนมากจึงช่วยกันออกตามหา
ท้องฟ้ามืดสนิท ทว่าตำหนักหย่งเหอกลับลุกเป็นไฟ
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูมุ่งหน้าไปยังสวนด้านหลัง พวกนางในต่างถือโคมไฟออกตามหาทั่วทุกหย่อมหญ้า
“ไอหยา! นี่มันรองเท้าของนายน้อยนี่นา”
อยู่ๆ เสียงหวาดกลัวเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น หลินเมิ้งหยารีบวิ่งเข้าไปหา แต่ได้พบกับสระน้ำซึ่งผิวน้ำกลายเป็นน้ำแข็งและมีรอยแตก
ในมือของนางในคนนั้นคือรองเท้าเล็กๆ ของอิงฮวา
“นายน้อยตกน้ำอย่างนั้นหรือ?”
เสียงเป็นกังวลดังขึ้น ก่อนที่ขันทีและเหล่าองครักษ์จะรีบกระโจนลงน้ำดัง “ตูม” “ตูม”
อากาศยามนี้หนาวเหน็บทิ่มแทงถึงกระดูก แม้จะดำน้ำค้นหาอยู่นานแต่กลับยังไม่เจอร่างของอิงฮวา หลินเมิ้งหยาตื่นตระหนก
มองดูรองเท้าในมือของนางใน หลินเมิ้งหยาหยิบมาตรวจสอบอย่างละเอียด
รองเท้าไม่เปียกน้ำ ไม่มีกระทั่งเศษโคลน ขนาดพวกนางที่เป็นผู้ใหญ่ยังมีเศษโคลนติดเปื้อนรองเท้า
เช่นนั้นนี่จะต้องเป็นหลักฐานเท็จที่ถูกสร้างขึ้นอย่างแน่นอน คนร้ายจึงจงใจสร้างรอยแตกบนผิวน้ำแข็งและรอยโคลนบริเวณรอบๆ
หากถูกผลักลงน้ำ ต่อให้ร่างกายของเด็กจะอ่อนแอมากขนาดไหน แต่เขาก็ต้องตะเกียกตะกายอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน
นอกเสียจากว่าอิงฮวาจะถูกฆ่าตายแล้วโยนลงน้ำ ตอนนี้ยังไม่มีใครหาร่างของอิงฮวาเจอ นั่นหมายความว่าแผนการยังดำเนินไปได้เพียงครึ่งเดียว บางทีอิงฮวาอาจถูกจับขังไว้ที่ใดสักที่หนึ่ง
หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองไปรอบๆ
ก่อนจะพบเรือนเล็กที่มีไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์ทำสวน
“ทุกคนจงออกตามหาให้ทั่ว คนที่อยู่ในน้ำอย่าอยู่นานนัก มิเช่นนั้นจะแข็งตายเอาได้ ใครก็ได้ไปเอาน้ำต้มขิงมาให้พวกเขาดื่มเดี๋ยวนี้”
แม้จะไม่รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นใคร แต่พวกเขาก็ล้วนฟังคำสั่ง
หลินเมิ้งหยาจัดการแบ่งงานให้ทุกคน พวกเขาจึงรีบขยับเขยื้อน
ถกชายกระโปรงขึ้น หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูรีบวิ่งออกไปยังบริเวณด้านหน้าสุด
ห้องเก็บอุปกรณ์ในเรือนเล็กถูกกุญแจล็อคเอาไว้ เหตุเพราะมิได้ใช้งานเป็นเวลานาน กุญแจเหล่านั้นล้วนขึ้นสนิมเขรอะ หลินเมิ้งหยาจับดูทีละอัน ก่อนจะได้เห็นกุญแจอันหนึ่งซึ่งมีสนิมเพียงน้อยนิด
เห็นได้ชัดว่ามีเพิ่งคนใช้งานมันไม่นานมานี้
“ใครมีกุญแจไขบ้าง เร็วเข้า อิงฮวาอาจอยู่ที่นี่”
เพียงได้ยินว่าอาจจะเจอนายน้อยแล้ว พวกขันทีและนางในต่างวิ่งกรูกันเข้ามา แต่ไม่มีใครมีกุญแจเลยแม้แต่คนเดียว
เวลาไม่คอยท่า หลินเมิ้งหยาจึงมิได้คิดสิ่งใดมากมายนัก
กระโดดหลบ ก่อนจะสั่งให้ป๋ายซูพังประตู
บานประตูร่วงหล่นลงกับพื้น หลินเมิ้งหยาพุ่งตัวเข้าไป ก่อนจะได้เห็นเครื่องมือซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่น แม้จะกวาดสายตามองจนทั่ว แต่ยังไม่พบร่างของอิงฮวา
หลินเมิ้งหยายังคงไม่ตัดใจ ยืมโคมไฟมาถือไว้ ก่อนจะเข้าไปในเรือนเล็กเพื่อตรวจดูให้ละเอียด
นอกจากรอยเท้ามากมายแล้ว หลินเมิ้งหยายังไม่พบสิ่งใด
ความผิดหวังเริ่มถาโถมเข้ามา หลินเมิ้งหยาคิดว่าตนเองจะได้เจอเด็กน้อยที่ยังมีชีวิต แต่ก่อนจะกลับออกไป นางกลับเห็นลังสองสามลังที่ดูผิดปกติ