ลังใหญ่หนักๆ ถูกวางทับซ้อนกัน แม้เรือนเล็กแห่งนี้จะไม่ใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ
หากวางเช่นนี้จะหยิบของสะดวกได้อย่างไร?
หลินเมิ้งหยารีบวิ่งเข้าไป ก่อนจะพบว่าแรงของนางเพียงคนเดียวมิอาจยกลังเหล่านั้นออกมาได้
รีบมีคนเข้ามาช่วยทันที ลังทั้งสามถูกยกออกไป
กล่องทั้งสามถูกล็อคเอาไว้ด้วยแม่กุญแจ มีเพียงกล่องสุดท้ายเท่านั้นที่เป็นแม่กุญแจใหม่ หลินเมิ้งหยารีบตามคนมาเปิดออก องครักษ์สองสามคนรีบเข้ามาทำลายแม่กุญแจทิ้ง
หลินเมิ้งหยารีบเปิดกล่องออก ผลปรากฏว่าอิงฮวาปิดตาสนิทอยู่ในนั้น
อุ้มเด็กน้อยออกจากกล่อง แต่กลับไร้เสียงของเขา ใบหน้าเริ่มแข็งทื่อ บริเวณคอมีรอยช้ำสีม่วง
เหล่าขันทีและนางในต่างพากันร้องห่มร้องไห้
นายน้อยไร้ซึ่งลมหายใจ สิ่งที่กำลังรอพวกเขาอยู่คือโทษทัณฑ์สูงสุดจากเหนียงเหนียง
“อย่าเข้ามามุง ออกไปให้หมด ข้าจะช่วยชีวิตนายน้อยของพวกเจ้า! เอาแรงที่กำลังร้องไห้ไปเตรียมเสื้อผ้าสะอาดและห้องอุ่นๆ ให้ข้า”
หลินเมิ้งหยารีบเปิดระบบเซินหนง อิงฮวายังไม่ตาย แต่เพราะเขาขาดอากาศเป็นเวลานานจึงสลบไป
จะต้องเป็นเพราะทุกคนส่งเสียงร้องออกตามหา ดังนั้นคนร้ายจึงตื่นตระหนก
คนร้ายจะต้องคิดว่าอิงฮวาตายแล้วอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงใส่ไว้ในลังแล้ววางทับซ้อนกันไว้หลายชั้น
ถอดชุดของตนเองออกแผ่ลงบนพื้น หลินเมิ้งหยาเริ่มช่วยชีวิตหลงอิงฮวา
ลงมือปั๊มหัวใจและผายปอด ระบบเซินหนงประมวลผลร่างกายของหลงอิงฮวาตลอดเวลา ไม่นานร่างกายที่เคยแข็งทื่อก็กลับมาอ่อนอีกครั้ง
ปาดเหงื่อบนหน้าผาก หลินเมิ้งหยาโอบอุ้มร่างเล็กๆ ของอิงฮวาเอาไว้ในอ้อมกอดเบาๆ อย่างทะนุถนอม โชคดีที่นางมาทันเวลา โชคดีเหลือเกินที่ช่วยชีวิตอิงฮวาเอาไว้ได้
ทุกคนมองสีหน้าซึ่งกลับมาแดงระเรื่อของนายน้อย ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ชีวิตของพวกเขาปลอดภัยแล้ว
หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากเสื้อคลุมที่ถูกคลุมลงบนร่างของตนเอง ราวกับว่าเพิ่งถูกถอดออกมาจากร่างของใครบางคน
หันหน้าไปมองก่อนจะเห็นเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยนของป๋ายซู
ครุ่นคิด บางทีป๋ายซูเองก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับนาง
“เหนียงเหนียง! เหนียงเหนียงช้าหน่อยเพคะ! ระวังล้มเพคะ”
ด้านนอก อยู่ๆ เสียงร้องด้วยความตกใจพลันดังขึ้น ก่อนที่ผู้หญิงสวมใส่ชุดสีม่วงอ่อนจะปรากฏขึ้นในสายตาของหลินเมิ้งหยา
ผู้หญิงคนนี้มีท่วงท่าสง่างามไม่แพ้พระสนมเต๋อเฟย แต่เพราะอายุยังน้อย ดังนั้นนางจึงดูงดงามอ่อนเยาว์กว่ามาก
ผมถูกจัดทรงสูง บางทีอาจเพราะรีบร้อนวิ่งออกมา ดังนั้นผมจึงยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับหลินเมิ้งหยาที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นในเวลานี้แล้ว นางดูดีกว่ามาก
ใบหน้านวลงดงามเผยให้เห็นความเจ็บปวด แต่เมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของคนในอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา ดวงตาของนางพลันแดงก่ำ
“ฮวาเอ๋อร์ของข้า ฮวาเอ๋อร์ของข้า”
นางคิดจะเข้ามารับตัวอิงฮวาไป แต่หลินเมิ้งหยาขยับตัวหลบ
“เขาเพิ่งจะกลับมาหายใจอีกครั้ง จำเป็นต้องให้ลมหายใจเป็นปกติคงที่ก่อนเพคะ”
หลินเมิ้งหยามองออกว่าผู้หญิงตรงหน้าคือมารดาของหลงอิงฮวา แต่เพราะร่างกายของเขายังคงอ่อนแอมาก ดังนั้นนางจึงมิอาจปล่อยให้ใครทำลายการฟื้นฟูร่างกายของเขาได้
อีกฝ่ายมองออกว่าหลินเมิ้งหยากำลังโอบกอดร่างของอิงฮวาเอาไว้อย่างทะนุถนอม นางจึงรีบพยักหน้าเพราะเข้าใจแล้วว่าลูกชายของตนเองยังไม่พ้นขีดอันตราย
“พวกเจ้ามัวยืนทำอะไรอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงไม่รีบไปตามหมอหลวง!”
นางในสองคนทางด้านหลังของเหนียงเหนียงตรงหน้ารีบจัดแจงแบ่งงาน บางทีพวกนางอาจเป็นคนสนิทของเหนียงเหนียง
หลินเมิ้งหยาอุ้มอิงฮวาไปยังห้องกว้างขวางด้วยความระมัดระวัง อากาศภายในค่อนข้างอบอุ่น
หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ ให้กับเด็กน้อยแล้ว นางกำชับมิให้ใครเข้าใกล้อิงฮวาเพื่อให้หมอหลวงรักษาอาการองค์ชาย
หลินเมิ้งหยาถูกนางในคนสนิทเชิญไปยังตำหนักด้านข้างเพื่อพักผ่อน เหตุเพราะนางเป็นผู้ช่วยชีวิตองค์ชาย ดังนั้นทุกคนจึงให้ความเคารพนางเป็นอย่างดี
“นายหญิง หนู่ปี้เห็นท่านสวมใส่เพียงชุดบางๆ จึงนำชุดที่ตัดใหม่ของเหนียงเหนียงมาให้ หากท่านไม่รังเกียจ ได้โปรดสวมใส่เถิดเจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยาถอดเสื้อคลุมให้ป๋ายซูนานแล้ว
แต่เพราะสาวใช้ของนางไม่ยอมใส่ ดังนั้นขณะที่พวกนางสองนายบ่าวกำลังเกี่ยงกันอยู่นั้น นางในคนสนิทจึงนำชุดสีชมพูประดับลายดอกไม้มามอบให้
“ขอบคุณมาก”
หลินเมิ้งหยาไม่ปฏิเสธ หากนางไม่รับเอาไว้แล้วล่ะก็ เกรงว่าป๋ายซูจะไม่มีวันยอมใส่เสื้อคลุมของตนเองอย่างแน่นอน
นางในคนนั้นช่วยนางสวมใส่ชุดใหม่ ก่อนจะจัดแต่งทรงผมให้ สุดท้ายจึงถวายคำนับแล้วกลับออกไป โชคดีที่บนโต๊ะมีชาและขนมมากมาย
พวกเขาต้องเหนื่อยทั้งเรื่องของอิงฮวาและรับรองนาง
“คนในวังหลวงจิตใจโหดเหี้ยมเหลือเกิน แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ยังปล่อยไปไม่ได้”
เมื่อเหลือเพียงพวกนางสองคน ป๋ายซูจึงถอนหายใจออกมา
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองนาง ก่อนจะกระซิบ
“หลังจากกลับไปแล้วอย่าพูดเรื่องนี้กับใครอีก เรื่องนี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าพวกเราเองก็พลอยซวยไปด้วยแล้ว”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่หลินเมิ้งหยากลับไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าอย่างไร เด็กน้อยก็เป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ เขายังเด็ก ซ้ำยังน่ารักและฉลาดเฉลียว ไม่ว่าจะมีเหตุผลเช่นไรก็ไม่สมควรลงมือกับเด็กเช่นนี้
ป๋ายซูผงกศีรษะ นางย่อมรู้เรื่องนี้ดี เรื่องราวเช่นนี้มีทุกยุคทุกสมัย เพียงแค่…เรื่องในวันนี้เกิดขึ้นต่อหน้าตนเอง ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่ามันช่างโหดร้ายเหลือเกิน
ในที่สุดความวุ่นวายด้านนอกก็สงบลง
หลินเมิ้งหยาเดาว่าอิงฮวาเพียงแค่ตื่นตระหนกแต่เพียงเท่านั้น แต่เพราะนางช่วยเหลือเขาได้ทันเวลา ดังนั้นให้เขากินยาระงับประสาทเล็กน้อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
เสียงของหมอหลวงดังขึ้นไม่ไกล ก้อนหินที่ถูกทับไว้ในใจถูกโยนทิ้งไปแล้ว
เด็กคนนี้ปลอดภัยแล้ว
เวลาเพียงไม่นาน ร่างบางทั้งสามพลันปรากฏต่อหน้าหลินเมิ้งหยา นางรีบลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันที่จะถวายคำนับ เหนียงเหนียงซึ่งขอบตาแดงก่ำพลันคุกเข่าต่อหน้านาง
“ขอบพระทัยชายาอวี้ยิ่งนัก อวี้จือมิรู้จะตอบแทนพระคุณเช่นไร”
อวี้จือ? หรือนางจะเป็นหนึ่งในสี่เสียนเฟยอู๋อวี้จือ?
รายชื่อของคนสำคัญในวังหลวงมีไม่มาก ฉะนั้นนางจะต้องเป็นเสียนเฟยอย่างแน่นอน
“เสียนเฟยเหนียงเหนียงลุกขึ้นเถิดเพคะ หม่อมฉันเพียงบังเอิญช่วยชีวิตองค์ชายสิบเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหม่อมฉันและเขามีโชคชะตาต้องกัน บางทีอาจเป็นพรหมลิขิต”
หลินเมิ้งหยารีบเข้าไปประคองเสียนเฟยลุกขึ้น เมื่อสองเดือนก่อนสนมคนนี้โด่งดังมาก ซ้ำสกุลของนางยังมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลซ่างกวน ทว่าวันนี้กลับเกิดเรื่องกับลูกชายตนเอง
เกรงว่านางจะต้องร้อนใจยิ่ง
เสียนเฟยเห็นท่าทางมีสัมมาคารวะของหลินเมิ้งหยา ซ้ำก่อนหน้านางยังช่วยชีวิตลูกชายตนเองเอาไว้ ดังนั้นความรู้สึกดีที่มีต่อหลินเมิ้งหยาจึงเพิ่มขึ้นหลายเท่า
“ชายาอวี้งดงามและฉลาดเฉลียว เมื่อก่อนข้าเพียงแต่ได้ยินคำบอกเล่าเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนตอนนี้คำชื่นชมเหล่านั้นจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ”
ประคองเสียนเฟยนั่งลงบนตำแหน่งประธาน หลินเมิ้งหยานั่งลงตำแหน่งถัดไป
“ขอเพียงองค์ชายสิบไม่เป็นอะไรก็พอแล้วเพคะ ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว หม่อมฉันไม่อยากรบกวนเหนียงเหนียง เช่นนั้นขอทูลลา”
มองดูหลินเมิ้งหยาที่คิดจะกลับไป เสียนเฟยเหนียงเหนียงรีบร้องเรียกนางไว้ ก่อนจะแสดงสีหน้าเชิงขอโทษ
“ยุ่งวุ่นวายอยู่นานจนข้าลืมเรื่องเวลาไปเสียสนิท ตอนนี้ประตูวังน่าจะปิดแล้ว เช่นนั้นคืนนี้เจ้าพักที่นี่สักคืนหนึ่งเถิด พรุ่งนี้เช้าข้าจะสั่งให้คนไปส่งพวกเจ้ากลับดีหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูสบตากัน เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน หากนางไปปลุกให้คนมาเปิดประตู เกรงว่าจะมีคนรู้เรื่องที่นางหายตัวออกมาในค่ำคืนนี้
เสียนเฟยเหนียงเหนียงดีใจเป็นอย่างมาก นางรีบสั่งให้นางในไปตระเตรียมห้องนอนให้หลินเมิ้งหยา
ตำหนักรองข้างหย่งเหอดีกว่าเรือนเล็กที่นางอาศัยอยู่มาก ของทุกอย่างล้วนใหม่เอี่ยม ข้าวของเครื่องใช้หรูหรางดงาม สมแล้วที่นางเป็นถึงหนึ่งในสี่เสียนเฟย
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอน ก่อนจะกระซิบคุยกัน
“นายหญิง วันนี้ท่านดูออกได้อย่างไรว่าคนคนนั้นประสงค์ร้ายต่อองค์ชายน้อย?”
สายตาของป๋ายซูเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“เจ้าลองตรองดูเถิด ตำหนักหย่งเหองดงามหรูหรา เครื่องแต่งกายของอิงฮวาเองก็หรูหราไม่ต่างกัน ในวังหลวงแห่งนี้จะมีนางในที่มีชาติกำเนิดสูงส่งด้วยกระนั้นหรือ? แม้จะมีแต่นางสวมใส่ชุดธรรมดา แล้วเหตุใดนางจึงสวมใส่กำไลหยกล้ำค่าได้เล่า? วังหลวงมีกฎระเบียบเข้มงวด แค่ปิ่นเงินก็นับว่าเป็นของมีราคามากแล้ว แม้จะเป็นของที่เจ้านายให้ แต่ก็ราคาสูงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเหตุใดนางจึงมาเปิดประตูด้วยตัวเอง? อีกทั้งอิงฮวายังไม่มีท่าทีสนิทสนมกับนางเลยแม้แต่น้อย หากนางเป็นนางในคนโปรดของเสียนเฟยเหนียงเหนียง เช่นนั้นอิงฮวาจะต้องคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ซ้ำคำพูดของนางยังเหมือนต้องการจะรีบไล่พวกเราให้กลับไป ทั้งที่พาองค์ชายที่หายตัวไปกลับมาให้ แต่นางกลับไล่พวกเรากลับน่ะหรือ? ล้วนไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
อันที่จริงนางเพียงแค่คาดเดาเท่านั้น
แต่เมื่อลองนำจิ๊กซอว์มาต่อกัน ทุกอย่างล้วนสมเหตุสมผล โชคดีที่นางไปช่วยอิงฮวาได้ทันเวลา
“พระชายาเพคะ เหนียงเหนียงของพวกเราต้องการพบพระองค์”
ด้านนอก เสียงนางในคนสนิทของเสียนเฟยเหนียงเหนียงดังขึ้น ป๋ายซูรีบไปเปิดประตู ไม่นานเสียนเฟยซึ่งสวมใส่ชุดสบายคล่องตัวก็ก้าวเข้ามา
“พวกเจ้าออกไปก่อน เปิ่นกงมีเรื่องอยากสนทนากับแขก อิงเซียงอยู่รับใช้คนเดียวก็พอ”
“เพคะ”
เสียนเฟยเหนียงเหนียงพานางในคนสนิทนามว่าอิงเซียงเข้ามาภายในห้องของหลินเมิ้งหยา หลังจากทั้งสองถวายคำนับแล้ว นางจึงเข้าไปนั่งข้างกายหลินเมิ้งหยาเสมือนมิตรสหายที่รู้จักกันมาอย่างเนิ่นนาน
ท่ามกลางแสงเทียน หลินเมิ้งหยารู้สึกหลงใหลในความงามของเสียนเฟยเหนียงเหนียง
ทว่าสายตาของนางกลับทำให้คนอื่นรู้สึกสงสาร
เพราะเหตุนี้ทุกคนล้วนพูดว่าฮ่องเต้มีความสุขเพราะมีหญิงงามจากวังหลังคอยรับใช้ถึงสามพันคน
ดูเหมือนสาเหตุที่เสียนเฟยเหนียงเหนียงเสด็จมาหานางในคราวนี้จะต้องเป็นเพราะอยากรู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายลูกชายของตนเองอย่างแน่นอน