บทที่ 312 การจากครั้งนี้

คู่ชะตาบันดาลรัก

“คุณหนูจะไปจริงๆ หรือเจ้าคะ” แม่นมถงมองหมิงเวยอย่างเป็นกังวล

หมิงเวยมองดูสมุดบัญชีและตอบอย่างสบายๆ “ใช่! เพราะฉะนั้นเรื่องในเมืองหลวง ข้ายกให้พวกเจ้าจัดการผู้จัดการที่คุณชายหยางส่งมาเคยพบแล้วหรือไม่”

“เคยพบแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อเป็นเช่นนี้แม่นมถงยิ่งกังวลมากขึ้น

เมื่อวานแม่นางอาหว่านพาผู้จัดการ และนักบัญชีกลุ่มหนึ่งมาเยี่ยมเยียนที่นี่พร้อมโฉนดที่ดินและตั๋วเงินกองหนา จำนวนที่มากมายนี้ทำเอานางถึงกับมือสั่น

หรือก็คือในอนาคตนางจะเป็นคนคุมผู้จัดการเหล่านี้ และโฉนดทั้งหมดจะถูกส่งมอบให้นางเป็นผู้ดูแล

แม่นมถงคิดว่าตนเองผ่านโลกมาก่อนแล้ว แต่หลังจากได้เห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วนางจึงรู้ว่าตระกูลหมิงเป็นแค่เรื่องเล็กๆ

พูดตามตรงคุณหนูยังไม่ได้ถอนหมั้นเลยเหตุใดคุณชายหยางจึงส่งมาให้ทั้งหมดนี้กัน!

“คุณหนู แม่นมแก่แล้ว ธุรกิจนี้ใหญ่เกินไปเกรงว่าความสามารถจะไม่ถึง!”

หมิงเวยยิ้ม “แม่นมไม่ต้องใจร้อนยังมีปิงซินกับซู่เจี๋ยอยู่ไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้ข้าให้พวกนางมาเรียนเรื่องการบริหารก็เพื่อวันนี้”

แม่นมถงตกใจหมายความว่าคุณหนูวางแผนที่จะมอบมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของคุณชายหยางให้กับ…

หมิงเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะมอบสมุดบัญชีเหล่านี้ให้พี่ใหญ่ตรวจสอบ แม่นมให้ปิงซินกับซู่เจี๋ยคอยบริหารก็พอ หากมีข้อสงสัยใดให้ถามพี่ใหญ่ได้เลย”

แม่นมถงยิ่งตกใจมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของคุณชายหยางแล้วยังให้พี่ชายสามีในอนาคตช่วยกันดูแล…เหตุใดถึงได้ดูเหมือนการต้มตุ๋นเลยเล่า

“เรื่องนี้ไม่ให้คุณชายใหญ่รู้ไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”

“ไม่เป็นไร” หมิงเวยโบกมือ “พี่ใหญ่เป็นคนฉลาดหลักแหลม ประพฤติดี คู่ควรแก่การไว้วางใจ”

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ควรค่าแก่การไว้วางใจหรือไม่…แต่หมิงเวยได้เก็บสมุดบัญชีไว้แล้วเดินไปยังเรือนข้างๆ แม่นมถงมองนางเข้าไปในห้องของจี้หลิงและฮูหยินของเขา

เมื่อหมิงเวยพูดเรื่องนี้จบจี้หลิงก็พลิกดูสมุดบัญชีเหล่านี้ “พูดเช่นนี้ หมายความว่าน้องจะไปเกาถางด้วยหรือ”

หมิงเวยพยักหน้า “รบกวนพี่ใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”

จี้หลิงถอนหายใจ “ได้”

อย่างไรเสียเขาชินกับการตามเก็บกวาดเรื่องต่างๆ เสียแล้ว เมื่อก่อนเป็นเรื่องของจี้เสียวอู่ ตอนนี้มีเรื่องของน้องหญิงเพิ่มมาอีกคน

แต่ปัญหานี้ดูเหมือนจะใหญ่เล็กน้อย…

เขาถามอีกว่า “น้องจะพูดกับท่านพ่อท่านแม่ของพี่ว่าอย่างไร”

หมิงเวยพนมมือส่งยิ้มให้เขา “พี่ใหญ่เกลี้ยกล่อมพวกท่านได้อยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

จี้หลิงมองบนเขาคิดว่าดวงตาของตนคงเคยถูกมูลวัวบดบังจนสับสนมาก่อน ถึงได้มองว่าน้องหญิงน่ารักเฉลียวฉลาดกว่าเสียวอู่

…………

วันรุ่งขึ้นหมิงเวยเดินทางไปเยี่ยมเจี่ยงเหวินเฟิง

“แม่นางหมิงจะไปเกาถางงั้นหรือ” เจี่ยงเหวินเฟิงถาม

หมิงเวยหุบยิ้ม “ชัดเจนถึงเพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ”

เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “ข้าทนไม่ได้ที่จะถูกแยกจากเชี่ยนเหนียงแล้วนับประสาอะไรกับพวกท่านกัน”

หมิงเวยคิดเหตุผลไม่เหมือนกันสักหน่อย..แต่ช่างเถอะปล่อยให้เขาคิดเช่นนั้นไปละกันนางขี้เกียจอธิบายแล้ว

“ดังนั้นแม่นางหมิงมีเรื่องจะไหว้วานข้าใช่หรือไม่”

“ไม่ว่าเรื่องอะไรใต้เท้าเจี่ยงล้วนเดาถูกหมดทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ” หมิงเวยชะงัก “วันนี้ที่ข้ามาพบใต้เท้า มีเรื่องสำคัญสองเรื่องหนึ่งคือข้าจะออกจากเมืองหลวง มีเรื่องหนึ่งที่ยังกังวลไม่หายจึงอยากให้ใต้เท้าช่วย สองเวลาของฮูหยินใกล้มาถึงแล้วไม่สามารถยืดเวลาต่อไปได้อีกแล้ว”

เมื่อได้ยินนางพูดถึงประเด็นที่สองสีหน้าของเจี่ยงเหวินเฟิงดูเศร้าสร้อย “ไม่สามารถอยู่ต่อได้อีกแล้วหรือ”

หมิงเวยพยักหน้า “หากอยู่ต่อไปร่างเกิดใหม่ของนางอาจจะอ่อนแรงและตายลง ข้าต้องรีบไปจากเมืองหลวง แต่ก่อนที่จะจากเมืองหลวงไปข้าต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน หากรอให้ถึงเวลานั้นอาจเหนือบ่ากว่าแรงเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้เจ้าค่ะ”

เจี่ยงเหวินเฟิงเงียบไปนานและในที่สุดก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”

หมิงเวยหมุนตัวกลับ “ฮูหยินท่านได้ยินหรือไม่”

ควันลอยออกมาจากอีกด้านหนึ่ง และกลายเป็นรูปลักษณ์ของเชี่ยนเหนียงนางมองเจี่ยงเหวินเฟิงด้วยแววตาเศร้าสร้อย

“เชี่ยนเหนียงเจ้าไม่ต้องเสียใจ” เจี่ยงเหวินเฟิงยังคงมีท่าทีสงบ หมิงเวยบอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน และเขาก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว “อีกไม่กี่ปีพวกเราก็จะได้พบกันอีกครั้ง”

“แม่นางหมิง!” เชี่ยนเหนียงมองนางอย่างอ้อนวอน “เมื่อข้ากลับไปยังร่างที่เกิดใหม่แล้วข้ายังสามารถเก็บความทรงจำของปัจจุบันไว้ได้หรือไม่ ข้าจะลืมเขาหรือไม่”

หมิงเวยไม่คิดโกหกนาง “ความทรงจำส่วนใหญ่ของท่านจะหายไป แต่เนื่องจากจิตวิญญาณของท่านครึ่งหนึ่งไม่ได้เกิดใหม่ก็อาจยังมีความประทับใจเหลืออยู่ ท่านอาจจำหน้าตาและชื่อของเขาไม่ได้ แต่เมื่อได้พบหน้าเขาท่านจะจำได้อย่างแน่นอน”

ปกติเชี่ยนเหนียงไม่อธิษฐานภาวนาอะไรมาก แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่หมิงเวยอธิบายนางก็โล่งใจ “งั้นก็ดีแล้ว…”

“พวกท่านเตรียมตัวเถอะอีกสองวันข้าจะกลับมา” ทั้งสองคนเข้าใจว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของพวกเขา

เจี่ยงเหวินเฟิงถามอีกครั้ง “เรื่องที่ท่านบอกว่ายังไม่วางใจคืออะไรหรือ”

หมิงเวยตอบอย่างตรงไปตรงมา “เสวียนเฟย เขาคนนั้นเป็นตัวแปรหากข้าไม่อยู่ ได้โปรดใต้เท้าช่วยสนใจสถานการณ์ของเขาเป็นครั้งคราวด้วย”

เจี่ยงเหวินเฟิงครุ่นคิด “ท่านราชครูดูเป็นคนรักษาสัญญาแม่นางหมิงกังวลเรื่องใดหรือ”

“ข้าไม่แน่ใจเจ้าค่ะ” หมิงเวยสารภาพอย่างตรงไปตรงมา “บางทีเขาอาจไม่เต็มใจ แต่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง…”

เจี่ยงเหวินเฟิงคิด “ข้าเข้าใจแล้ว”

หมิงเวยใช้เวลาหนึ่งเดือนในการจัดการทุกอย่างจากนั้นก็เดินทางไปยังเกาถาง

ตอนนั้นเข้าสู่เดือนสิบเอ็ดหิมะแรกของปีตกลงที่หยุนจิง เป็นช่วงเวลาที่ไม่สมควรจะออกไปข้างนอก แต่นางก็พาตัวฝูออกจากประตูเมืองไปทางทิศตะวันตก

สัมภาระมีไม่มากไม่มีเกวียนมีเพียงม้าสองตัวเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือม้าสิงโตหยกที่เขามอบให้นางเป็นของขวัญ การจากไปครั้งนี้ใช้เวลาหลายปี และไม่รู้จะได้กลับมาเมื่อไร

“กลับกันเถอะขอรับ!” จี้หลิงปลอบมารดา “นางตัดสินใจแล้ว”

จี้ฮูหยินร้องไห้ออกมา “ข้านึกว่าเสียวอู่น่าเป็นห่วงที่สุด ผู้ใดจะรู้ว่านางทำให้เป็นห่วงมากกว่านางจะเป็นคุณหนูในห้องหอดีๆ กับเขาบ้างไม่ได้หรือ”

จี้หลิงมองนางที่หายไปท่ามกลางหิมะช้าๆ แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “บางทีนางอาจไม่ได้เป็นคุณหนูในห้องหอตั้งแต่แรกแล้ว เช่นนั้นก็ดีนะขอรับการได้รู้ในสิ่งที่ตนเองต้องการทำอาจจะมีความสุขกว่า” หวังว่านางจะมีความสุขตลอดเวลา

ในเวลาเดียวกันที่เสวียนตูกวัน

หลังจากฝึกฝนมาหลายวันในที่สุดเสวียนเฟยก็ฝึกฝนวิชาลับที่หมิงเวยมอบให้ได้แล้ว เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่คลุมเครือ และดำดิ่งเข้าสู่โลกนิมิต

หิมะตก เกือกม้า ถนนข้างหน้าที่ไร้ขอบเขต

สตรีที่สวมเสื้อผ้าหนาๆ นางดูเหมือนจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้จึงหยุดม้ากะทันหัน

นางเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าที่ขาวกระจ่างใสราวกับหิมะแล้วยิ้มแย้ม “ในที่สุดก็สำเร็จแล้วหรือ อืม…เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว”

เสวียนเฟยตัวสั่นสะท้าน เขาตื่นจากโลกนิมิตหลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าตนเองถูกหลอกจริงๆ!

วิชาลับนี้กลายเป็นการแบ่งปันความรู้สึกซึ่งกันและกัน!

กล่าวอีกนัยหนึ่งถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหมิงเวยที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ก็จะรู้ด้วย!

นางไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเขาเลยซ้ำยังจงใจให้เขาฝึกวิชานี้จนสำเร็จอีก

เสวียนเฟยกลั้นอารมณ์ไว้อยู่นานฝ่ามือตบอิฐข้างกายจนเกิดรอยร้าว “น่ารังเกียจเสียจริง!”

………

ในเวลาเดียวกันที่จวนหลู่เซียงมือของโส่วเซี่ยงหลู่เฉียนที่ถือจดหมายกำลังสั่น จดหมายฉบับนี้เขียนโดยฟู่จินที่เดินทางออกจากจวนของเขาในวันนี้

อย่างไรก็ตามแทนที่จะกลับไปที่สถานศึกษาซานไถตามที่สัญญาไว้ เขากลับไปที่ตำหนักตงกงตามคำเชิญของไท่จื่อ

“วันนี้มีนัดกับท่าน ข้าจำได้ขึ้นใจ แต่ไท่จื่อเชื้อเชิญข้ามิอาจปฏิเสธได้ดังนั้นสามัญชนอย่างข้าจึงต้องไปสอนประวัติศาสตร์ให้เขา”

หึ! หลู่เฉียนสาปแช่งในใจ สามัญชนสอนประวัติศาสตร์อะไรกันเหลวไหลทั้งเพ! เขาตั้งใจจะอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อเข้ามาพัวพันเรื่องนี้แต่แรกอยู่แล้ว!

หลู่เฉียนผู้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ และรอบคอบอยู่เสมอเตะเตาไฟที่กำลังลุกไหม้

“น่ารังเกียจเสียจริง!”