บทที่ 313 เกาถาง

คู่ชะตาบันดาลรัก

อาหว่านถือหม้อนมแพะเดินไปที่เรือนแถวตีนเขา ในที่สุดหิมะก็ละลาย และลมฤดูใบไม้ผลิก็พัดมากระทบพื้นดินอีกครั้ง ในที่สุดถิ่นทุรกันดารแห่งนี้ก็เผยให้เห็นฉากทิวทัศน์ที่อุดมสมบูรณ์

อาหว่านมองดูภาพสีเขียวอ่อนๆ ที่อยู่เต็มไปทั่วหัวใจของนางก็บานสะพรั่ง

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานางก็ถอนหายใจอีกครั้งและก้มหน้าลง พวกเขาออกเดินทางเมื่อปลายเดือนเก้า เดินทางขึ้นเหนือได้ไม่นานหิมะก็เริ่มตก ตลอดทางปะทะกับลมและหิมะใช้เวลาสองเดือนกว่าจะเดินทางไปถึงเกาถาง

ตอนนั้นเป็นเดือนสิบสองซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของปี เมื่อพวกเขามาถึงเกาถาง พวกเขาก็แทบหายใจไม่ออก หิมะตกหนักเป็นเวลานานทำให้เรือนมีสภาพทรุดโทรม และพวกเขาไม่มีแม้แต่ที่อยู่อาศัย สนามเลี้ยงสัตว์เกาถางก็ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่คิด

มีเพียงเรือนหลังใหญ่ไม่กี่หลังที่ยังคงสภาพดีเจ้าหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงสัตว์กินดื่มอย่างสบาย แต่เหล่าคนเลี้ยงสัตว์ที่ดูแลม้ากลับนอนตัวสั่นอยู่ในคอกม้า

หยางชูมีสีหน้าบูดบึ้งเขานำขุนศึกที่เต็มไปด้วยไอสังหารบุกเข้าไปในเรือนหลังใหญ่ และโยนเจ้าหน้าที่พวกนั้นออกมาข้างนอก จากนั้นก็เรียกคนเลี้ยงสัตว์ให้มารวมตัวกันโดยให้เด็กและสตรีเข้ามาหลบหิมะส่วนคนที่เหลือให้ตั้งค่ายในที่อับลม

ฤดูหนาวนี้เป็นฤดูหนาวที่ยากลำบากที่สุดในความทรงจำของอาหว่าน

ไม่มีที่ไหนมีเตาไฟไม่มีน้ำแกงร้อนๆ บนเตา ไม่สามารถสวมเสื้อขนสัตว์ที่หนา และสวยงามเพื่อชื่นชมหิมะ นับประสาอะไรกับการเล่นขว้างปาหิมะด้านนอก การสวมเสื้อขนสัตว์ทำงานนั้นฟังดูเข้าท่างั้นหรือ มีงานทุกวันไม่รู้จบสิ้นจะเอาแรงที่ไหนไปเล่นขว้างปาหิมะกันเล่า แต่หลังจากผ่านฤดูหนาวมาทั้งหมดนางพบว่าพวกเขาได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย

ตัวอย่างเช่น มีการสร้างเรือนใหญ่ที่ตีนเขาแม้ว่าจะไม่ได้สวยงามแต่ก็แข็งแรงและกว้างขวาง ไม่ว่าหิมะจะตกหนักเพียงใดพวกเขาก็ไม่กลัวที่จะถูกทับ

นอกจากนี้ยังมีคอกม้าที่ปรับปรุงใหม่ให้เพียงพอสำหรับลูกม้าที่เพิ่งเกิดใหม่

เหล่าลูกๆ ของคนเลี้ยงสัตว์วิ่งไปบนพื้นหญ้าอย่างมีความสุข สวมเสื้อผ้าที่ไม่มีรู ใบหน้ามีเลือดฝาด บุรุษและสตรีทำงานของตนเองแม้จะยุ่งแต่พวกเขาก็มีชีวิตชีวา ไม่มีการลุ่มหลงในความฟุ้งเฟ้ออย่างในเมืองหลวง แต่ทุกอย่างดูสดใสและกระฉับกระเฉง

อาหว่านนั้นไม่มีความสุข แต่ก็รู้สึกภูมิใจไปด้วย

ที่นางไม่มีความสุขก็คือคนผู้นั้นไม่เพียงแต่ขับไล่คุณชายออกจากเมืองหลวงในฤดูหนาวเท่านั้น แต่ยังโยนความวุ่นวายมาให้เขาอีกด้วย

แต่ที่นางรู้สึกภูมิใจก็คือถึงกระนั้นคุณชายก็พาพวกเขาผ่านความยากลำบากมาได้ ที่นี่มีชีวิตชีวามากขึ้นเหล่าคนเลี้ยงสัตว์ให้ความเคารพคุณชายจากหัวใจ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาพยายามจนได้มาไม่ใช่ว่ามีผู้ใดยกให้!

อาหว่านเข้าไปในเรือนหลังใหญ่ใส่ถั่วซิ่งเหรินลงในนมแพะที่ต้มจนอุ่น

นมเพิ่งอุ่นจนส่งกลิ่นหอมได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเกือกม้าหยุดที่หน้าเรือน และหยางชูที่มีเหงื่อเต็มตัวก็ก้าวขึ้นบันไดมา เขาถอดรองเท้าแล้วเข้าไปในเรือน

แค่ฤดูหนาวเดียวเขาก็ต่างจากคุณชายผู้สง่างามผู้นั้นในเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิง

ร่างกายของเขาสูงขึ้นเล็กน้อย รูปร่างดูแข็งแรงขึ้น แววตาของเขาดูสงบเยือกเย็น และท่าทางอย่างคุณชายที่มาจากตระกูลอันมั่งคั่งนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย

โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นคนผิวสีแทนตามธรรมชาติดังนั้นการออกไปวิ่งนอกบ้านทุกวันผิวของเขาจึงเข้มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นตราบใดที่เขาสวมเสื้อสวมกวานอยู่ เขาก็ยังดูเป็นคุณชาย แต่ที่นี่ไม่ได้ต้องการคุณชายเขาก็เหมือนกับผู้ใต้บังคับบัญชาทั่วไป เขาสวมชุดขี่ม้าไปๆ มาๆ ทุกวัน สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นสูงที่ยังเหลืออยู่กับเขาในตอนนี้ก็คงเป็นการรักความสะอาด

ไม่ว่าอยู่ข้างนอกจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อเข้ามาในเรือนต้องถอดรองเท้า

ภายใต้อิทธิพลของเขาคนเลี้ยงสัตว์ก็เริ่มรักความสะอาดมากขึ้น และโอกาสที่เด็กจะล้มป่วยก็น้อยลง

“คุณชายกลับมาพอดีเลยมาดื่มนมแพะก่อนเถอะเจ้าค่ะ”

หยางชูเดินไปหาอาหว่านด้วยรอยยิ้ม เขาหยิบนมแพะขึ้นจากนั้นปล่อยให้เย็นลงเล็กน้อยแล้วค่อยดื่มรวดเดียว

อาหว่านยืนกรานว่าเขาจะไม่คล้ำเหมือนคนเลี้ยงสัตว์เพราะเขาดื่มนมแพะทุกวัน ดังนั้นคุณชาย ตัวนางเอง และเสี่ยวถงทั้งสามคนจึงต้องดื่มทุกวัน

อืม…ส่วนอาสวน อาหว่านไม่ได้สนใจเขาหากเขาจะผิวคล้ำก็ปล่อยให้คล้ำไป

หยางชูวางชามลงแล้วพูดว่า “เรื่องเล็กเพียงนี้เจ้าให้ท่านป้าไช่จัดการก็ได้ ไม่ต้องทำเองหรอก”

ท่านป้าไช่เป็นสตรีที่พวกเขาจ้างมานางหนีมาจากทางใต้เมื่อตอนที่นางยังเป็นเด็ก และแต่งงานกับคนเลี้ยงสัตว์ที่นี่ นางพอรู้จักอาหารทางตอนกลางเล็กน้อยจึงมีหน้าที่ทำอาหารให้พวกเขาทาน

“อย่างไรบ่าวก็ว่างจนไม่มีอะไรทำแล้วเจ้าค่ะ!” อาหว่านพูด

นางรู้สึกว่าการเลี้ยงม้าในเกาถางนั้นไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียวเพียงแต่พอไม่ต้องจัดการเรื่องจุกจิกปลีกย่อยแล้วเวลาในแต่ละวันก็ช่างเหลือเฟือมาก!

ทั้งสองคุยกันครู่หนึ่ง และเสี่ยวถงก็เดินหอบกลับมา เด็กคนนี้ลำบากไม่น้อย ร่างกายสูงขึ้นมากกับรูปร่างที่เริ่มเปลี่ยนไป นางออกไปเล่นกับลูกๆ ของคนเลี้ยงสัตว์ทุกวันซึ่งนางมีความสุขมาก

“คุณชาย ม้าที่อาซ่งเลี้ยงไว้คลอดแล้วเจ้าค่ะ!”

“จริงหรือ คลอดราบรื่นหรือไม่ลูกม้าแข็งแรงหรือเปล่า”

เสี่ยวถงพยักหน้าอย่างดีใจ “ลูกม้าคลอดแล้วก็วิ่งได้เลยแข็งแรงมากเจ้าค่ะ!”

หยางชูยิ้ม “สภาพแวดล้อมที่พวกมันอาศัยอยู่นั้นอันตราย หากพวกมันเกิดมาไม่สามารถวิ่งได้ความน่าจะเป็นที่จะรอดชีวิตจะต่ำมาก”

“อย่างนี้นี่เอง!”

อาหว่านยกหม้อเทนมแพะให้เสี่ยวถงได้ยินนางถามว่า “มื้อกลางวันทานอะไรหรือ เนื้อแพะตุ๋นหรือไม่ข้ากินทั้งวันจนเบื่อแล้ว”

หยางชูหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นตอนบ่ายพวกเราจะไปจับปลากันดีหรือไม่”

“ดีเลยเจ้าค่ะ!” เสี่ยวถงปรบมือด้วยความดีใจ “พี่ตัวฝูเคยสอนข้าทำน้ำแกงลูกชิ้นปลาของตงหนิงมีโอกาสได้ลองพอดีเลย!”

“ตึง!”

เสียงเหมือนของตกดังขึ้นเมื่อทั้งสองหันหน้าไปมองก็เห็นว่าเป็นอาหว่านที่วางชามอย่างแรงนางมองเสี่ยวถงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เสี่ยวถงที่รู้ว่าตนเองเผลอพลั้งปากออกไปจึงพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปช่วยท่านป้าไช่ทำอาหาร!” จากนั้นนางก็วิ่งหนีไป

รอยยิ้มของหยางชูหายไปเขาพูดกับนางว่า “เจ้าทำให้เสี่ยวถงตกใจนะ”

แต่คำพูดเหล่านี้ไม่สามารถทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้เลยอาหว่านโกรธจนปาดน้ำตา “ใช่สิ พวกท่านทุกคนใจกว้าง แต่ข้าใจแคบรู้แต่เพียงความแค้นใจ!”

เห็นนางเป็นเช่นนี้หยางชูก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งลงข้างกายนาง “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่เจ้าก็รู้สถานการณ์ของข้าในตอนนี้ดีจะมีหน้าให้นางมาด้วยได้อย่างไร นี่เป็นศักดิ์ศรีของบุรุษเจ้าเข้าใจหรือไม่”

แน่นอนว่าอาหว่านเข้าใจ แต่คนที่ทำให้นางโกรธเป็นอีกคนหนึ่ง “ถึงอย่างนั้นนางไม่คิดแม้แต่จะไถ่ถามเลยหรือแสดงท่าทีหน่อยก็ยังดี! จริงอยู่ที่ท่านไม่สามารถพานางมาลำบากด้วยได้ แต่ความรู้สึกไม่ใช่เรื่องของคนๆ เดียว นางไม่มีแม้แต่คำปลอบโยนอีกทั้งยังไม่คิดมาส่งเรา นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันเจ้าคะ!”

หยางชูกลับนึกถึงตอนที่อยู่ในทางลับในเสวียนตูกวัน นางโอบกอดเขาบอกกับเขาว่าถ้าอยากร้องไห้ก็ให้ร้องออกมา…นางจะไม่มีความรู้สึกได้อย่างไรเพียงแต่ว่านางไม่ใช่มีเพียงความรู้สึก แต่เป้าหมายที่สูงส่งเช่นนั้นเขาไม่อยากเป็นอุปสรรคต่อนาง

“ยิ้ม! นี่ท่านยังยิ้มอยู่ได้อีก!” อาหว่านโกรธจนอยากจะตีเขา “บ่าวคงยุ่งมากเกินไปเจ้าค่ะ!”

“เจ้าอย่าโกรธไปเลย” หยางชูดึงสติกลับมาทำได้เพียงปลอบอาหว่านที่อยู่ตรงหน้า “นางทำเรื่องสำคัญเพื่อข้ามามากนั่นสำคัญกว่าการเดินทางมาที่นี่เพื่อลำบากกับข้าเพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องคิดมากที่นางไม่มาเพราะนางมีเหตุผลของนาง ไม่ใช่ว่านางทิ้งข้า”

อาหว่านยังคงไม่พอใจเพราะนางรู้สึกว่าคุณชายที่พูดเช่นนี้น่าสงสารมาก! ทำได้เพียงแค่รออย่างเฉยเมยเฉกเช่นบุรุษงั้นหรือ

ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรอีกเสี่ยวถงก็วิ่งกลับมาอีกครั้งและตะโกนเสียงดังว่า “คุณชาย มีแขกมาเจ้าค่ะ!”