ภาคที่ 2 การแข่งขันแพทย์แผนจีน บทที่ 35 ซูเย่สอบเสร็จอีกแล้ว

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 35 ซูเย่สอบเสร็จอีกแล้ว

เมื่อเห็นซูเย่เดินเข้าไป

ทุกคนต่างตั้งตารอดู อยากรู้ว่าซูเย่จะหาวิธีลัดอะไรมาได้อีก!

“หวังจี้เชาใช้เวลาเพียง 25 นาที ซูเย่จะใช้เวลานานแค่ไหน?”

“วิธีที่เขาใช้เมื่อวานนี้ใช้ไม่ได้ผลแล้ว และการสอบของวันนี้ก็ไม่น่าจะมีกลเม็ดอะไรอีก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำการสอบให้เสร็จในเวลาอันสั้น!”

พวกเขาอยากจะดูว่าครั้งนี้ซูเย่จะใช้เวลานานแค่ไหน

เมื่อเดินเข้าไปในห้องสอบ ซูเย่เห็นว่านอกจากจะมีกล้องทุกด้านแล้ว ยังมีอาจารย์คุมสอบหลายคนในห้องสอบ แต่ละคนเดินไปมาในตำแหน่งที่แตกต่างกัน

ซูเย่เหลือบมองไปมารอบๆ แล้วเดินตรงไปหาอาสาสมัครคนแรก

เขาเข้าใจดี ครั้งนี้จะใช้สายตาคัดกรองจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ ซักประวัติไม่ได้ วิธีการแบบเมื่อวานใช้ไม่ได้ผลแล้ว

…ครั้งนี้ไม่มีวิธีลัดอะไรทั้งนั้น ทำได้เพียงจับชีพจรดูอย่างระมัดระวังเท่านั้น

ซูเย่เดินหยุดระหว่างอาสาสมัครคนแรกและคนที่สอง

“ช่วยเหยียดแขนขวาออกมาด้วยครับ”

หลังจากที่อาสาสมัครหญิงสองคนกำลังฉงนใจ ซูเย่ก็ใช้สองมือของเขาจับชีพจรให้ทั้งสองคนทันที

เมื่อเห็นฉากนี้ทำให้อาจารย์คุมสอบหลายคนอึ้งค้าง พวกเขาทั้งหมดเป็นแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียง ในการสอบการวินิจฉัยสี่วิถีโดยรวมก่อนหน้านี้พวกเขาสังเกตการณ์จากจอมอนิเตอร์ในห้องควบคุม

วันนี้ที่เขามาที่นี่เพื่อคุมสอบโดยตรง และอีกประการคือเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินกับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ พวกเขาจะได้ช่วยปฐมพยาบาลได้ทันท่วงที

พวกเขาต่างมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการวินิจฉัยชีพจร ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะตรวจชีพจรด้วยมือทั้งสองข้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นกับตาตัวเอง!

แต่การจะทำเช่นนี้ต้องมีความคุ้นเคยกับการวินิจฉัยชีพจรในระดับหนึ่ง พูดง่ายๆ ว่าเป็นไปไม่ได้หากไม่มีประสบการณ์หลายสิบปีในการวินิจฉัยชีพจร

เท่าที่พวกเขารู้ มีเพียงปรมาจารย์การแพทย์แผนจีนระดับแนวหน้าเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้!

แต่เจ้าหนูคนนี้ที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาเป็นแค่นักศึกษาเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขารู้มาว่าชายหนุ่มเป็นเพียงนักศึกษาคณะสมุนไพรจีนที่เพิ่งเรียนมาเพียงครึ่งปีเท่านั้น

เขาจะสามารถจับชีพจรด้วยมือทั้งสองข้างจริงหรือไม่?

ผู้คุมสอบหลายคนชำเลืองมองกันและกัน และทุกคนต่างก็เห็นความตกใจและความสงสัยในสายตาของคนข้างๆ ตัว

……

“เจ้าหมอนี่กำลังทำอะไร?”

จ้าวเหมียนดูภาพการวินิจฉัยชีพจรอย่างรวดเร็วด้วยมือทั้งสองข้างของซูเย่บนจอภาพ และพูดด้วยความตกใจ

“ตอนแรกเขาวาดด้วยมือสองข้าง และตอนนี้เขาจับชีพจรด้วยมือสองข้างอีกแล้วเหรอ?”

“การวาดภาพ วาดด้วยสองมือยังพอได้ แต่การตรวจชีพจร…”

จ้าวเหมียนขมวดคิ้ว เพื่อรายการนี้ เขาได้ไปศึกษาสมุนไพรจีน และเรียนรู้การจับชีพจรมาโดยเฉพาะ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ามันยากแค่ไหน

‘ฉันพอจะมีความรู้เกี่ยวกับการจับชีพจรอยู่บ้าง แต่วิธีนี้มัน…! เอาเถอะ ฉันหวังว่าเขาจะทำได้จริงๆ ก็แล้วกัน’ จ้าวเหมียนคิดในใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

……

สิบวินาทีต่อมา

ซูเย่ปล่อยมือแล้วเดินไปหาคนถัดไป

เมื่อเห็นดังนั้นอาจารย์คุมสอบต่างก็ส่ายศีรษะ สิบวินาทีจะไปรู้อะไร!

ดูเหมือนว่าเขาอยากจะเอาใจคนดูมากเกินไป

สิบวินาทีต่อมา ซูเย่ก็เดินไปยังอาสาสมัครคนถัดไป และเมื่อครบสิบวินาที ชายหนุ่มก็ปล่อยมือทันที

เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

……

เขาจับชีพจรทีละสองคนพร้อมกันต่อไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นสิบนาที เขาก็ตรวจครบทุกคน

“มีแค่คนเดียวงั้นเหรอ?”

เมื่อตรวจครบซูเย่ก็อดยิ้มขำออกมาไม่ได้ เขาคิดว่าในอาสาสมัครร้อยคนนี้จะต้องมีคนตั้งครรภ์อย่างน้อยก็มากกว่าหนึ่งคน เหมือนกันเมื่อวานที่ตรวจเจอถึงห้าคน

แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อตรวจครบแล้วกลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้น รายการก็ช่างหาทำจริงๆ ตรวจคนร้อยคนเพื่อหาคนท้องแค่คนเดียว แล้วก็ไม่บอกแต่แรกว่ามีคนเดียว ถ้าเจอแล้วจะได้หยุดหา…

ซูเย่เดินออกไป แล้วเขียนหมายเลขของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ลงในกระดาษคำตอบ ในวินาทีที่เขาเขียนคำตอบลงไป เครื่องจับเวลาที่แสดงผลอยู่ในพื้นที่รอสอบและห้องรับรองพลันหยุดลง

จากเวลาที่นับถอยหลัง 30 นาที ….เหลืออยู่อีก 20 นาทีเต็มไม่ขาดไม่เกิน!!!

ในห้องรับรอง

“หยุดอีกแล้ว?”

ทุกคนที่กำลังจ้องจอแสดงเวลา มองไปที่เวลาหลังชื่อของซูเย่อย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตระหนักได้ว่าเวลานับถอยหลังได้หยุดลงแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น”

ลู่จวิ้นและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง

“เขาคงไม่ได้ตรวจเสร็จแล้วเหรอใช่ไหม”

ลวี่อวิ๋นเผิงยืนขึ้นพลางขมวดคิ้ว และกล่าวด้วยความประหลาดใจ

ตอนนี้ในใจของหวังจี้เชาราวกับมีของมีคมทิ่มแทง

……

ที่พื้นที่รอสอบ

“อะไรกัน ทำไมเวลาหยุดอีกแล้ว?”

“ครั้งนี้น่าจะเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ ใช่ไหม”

“รายการทำดี ๆ หน่อยได้ไหม เดี๋ยวก็ด่าออกอากาศซะเลย”

เสียงคนบ่นยังไม่ทันหมดคำ พิธีกรก็ตะโกนมาทันที

“คนต่อไป เชิญเข้าห้องสอบ”

เมื่อทุกคนได้ยิน ก็เบิ่งตาค้าง มองจอแสดงเวลาอย่างตกตะลึง

“อะไรนะ?”

“คนต่อไปเข้าห้องสอบ …งั้นก็หมายความว่าเขาสอบเสร็จแล้วน่ะสิ?”

“ซูเย่สอบเสร็จแล้วเหรอ?!”

“ในนั้นมีคนเป็นร้อยคนเลยนะ และเขาก็เพิ่งเข้าไปสิบนาทีเท่านั้น …จะสอบเสร็จแล้วได้ยังไง?”

“หนึ่งนาทีจับชีพจรได้สิบคนงั้นเหรอ? ก็เท่ากับหกวินาทีต่อหนึ่งคน นี่มันจับชีพจรจริงรึเปล่า?”

ครั้งนี้ ทุกคนในพื้นที่รอสอบต่างรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่มีใครสามารถทำได้เร็วขนาดนั้นแน่ โกหกกันชัดๆ!

“พิธีกรครับ เขาสอบเสร็จแล้วจริงเหรอ?”

ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 12 เอ่ยปากถามพิธีกร

“ใช่ครับ เขาสอบเสร็จแล้ว”

พิธีกรพยักหน้ายืนยัน

เมื่อได้รับการยืนยัน ทุกคนพลันตะลึงค้าง

เขาทำได้ยังไง?

ชั่วขณะหนึ่ง คำถามนี้ปรากฏขึ้นในใจของทุกคนในพื้นที่รอสอบ

“เมื่อวานก็เป็นอย่างนี้ และวันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เขาค้นพบวิธีลัดอะไร?”

“เวลา 15 นาทีของเมื่อวานเขาใช้ไป 5 นาที และวันนี้เวลา 30 นาทีเขาใช้ไปเพียง 10 นาทีเท่านั้น ซึ่งเท่ากับหนึ่งในสามของเวลาทั้งหมด”

“วิธีลัด เขาต้องนึกวิธีลัดอะไรออกอีกแน่!”

“กฎของรายการไม่ได้บอกว่ามีหญิงตั้งครรภ์อยู่กี่คน โดยจำนวนหญิงมีครรภ์ที่ตรวจพบจะส่งผลต่อคะแนนทั้งหมดแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสุ่มดวงเอา ยังไงก็ต้องตรวจชีพจรให้ครบทุกคน ซูเย่ทำได้ยังไง?”

ทุกคนพลันเงียบงันและจิตใจของพวกเขากำใช้ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว อยากจะใช้สมองให้เกิดประโยชน์บ้าง แต่ปรากฎว่าไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถคิดวิธีลัดที่จะทำการสอบได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งคิดไม่ออกว่าซูเย่ทำได้ยังไงแน่

อีกด้านหนึ่ง ซูเย่เดินออกจากห้องสอบ ไปยังห้องรับรองที่อยู่ถัดไป

ทันทีที่เดินเข้าไป

“นายตรวจครบจริงเหรือเปล่า”

ทันทีที่มองเห็นซูเย่ ลู่จวิ้นก็ขยับกายลุกขึ้นเดินเข้าไปถามทันที

“อืม”

ซูเย่พยักหน้า

“บ้าจริง ตรวจเสร็จจริงเหรอ?”

ลวี่อวิ๋นเผิงอุทานออกมาอย่างตะตกลึง

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก… เพราะเมื่อวานก็เป็นแบบนี้ ดังนั้นแล้ววันนี้ก็คงเป็นแบบเดิมแน่ๆ!

“ไม่มีทาง!”

หวังจี้เชาหยัดกายลุกขึ้นมาทันที จ้องเขม็งไปที่ร่างของซูเย่ “เมื่อวานมีวิธีลัด ฉันเชื่อได้ แต่วันนี้ต้องตรวจชีพจรคนร้อยคน และต้องจับดูทีละคน ด้วยเวลาเพียง 10 นาที จะทำได้ยังไง ถ้าเฉลี่ยออกมานายจับชีพจรเพียงหกวินาทีต่อคนเท่านั้น แล้วยังไม่นับเวลาที่ต้องใช้เดินในห้องอีก คิดจะหลอกกันรึไง ไม่มีทางเด็ดขาด!”

เห็นได้ชัดว่าหวังชี้เชามีข้อกังขาต่อเวลาที่ซูเย่ใช้

เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนพลันหันไปมองซูเย่ พวกเขาต่างก็อยากรู้ว่าซูเย่ใช่วิธีอะไรในการสอบครั้งนี้ ทำไมเขาถึงสอบได้ไวปานติดจรวดแทบทุกครั้งไป

“เวลาไม่พอ เราก็ต้องคิดหาวิธีใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดสิ”

ซูเย่เอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า “ใช้มือข้างเดียวไม่ทัน ก็ใช้สองมือสิ”

ใช้สองมือ?

ทุกคนอึ้งค้าง แล้วก็นึกขึ้นได้ ซูเย่ใช้มือสองข้างวาดภาพพร้อมกันได้! แต่ว่า…

การจับชีพจรของแต่ละคนต้องใช้การรับรู้ที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง และในตอนตรวจจับชีพจร จะต้องไม่มีสิ่งรบกวนจิตใจเด็ดขาด เขาใช้สองมือจับชีพจรพร้อมกัน ความรู้สึกที่เกิดจากสภาวะชีพจรทั้งสองมือจะไม่ตีกันวุ่นในใจแน่เหรอ?

ถ้าไม่ตีกันยุ่งจริงๆ?

เขาใช้เวลา 10 นาทีในการตรวจจับชีพจรหนึ่งร้อยคน โดยเฉลี่ยนเท่ากับ จับชีพจร 2 คน ใน 12 วินาที งั้นก็เท่ากับว่าเขาถนัดการจับชีพจรด้วยเช่นกัน…

ความสามารถของซูเย่เหนือกว่าพวกเขามากเกินไป!

แม้แต่หวังจี้เชา ถ้าเขาจับชีพจรหนึ่งคนก็ยังต้องใช้เวลามากกว่า 12 วินาที!

สายตาของทุกคนที่มองไปยังซูเย่เปลี่ยนไป หากสิ่งที่ซูเย่พูดเป็นความจริง แสดงว่าความสามารถของเขาแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ!

หวังจี้เชาที่ลุกขึ้นถามก่อนหน้านี้ ในตอนนี้เขานั่งลงไปอีกครั้งอย่างเลื่อนลอย

เขาคิดว่าที่ตัวเองทำได้ถือเป็นขีดจำกัดของคนรุ่นเดียวกันแล้ว ไม่มีใครเร็วไปกว่าเขาแน่นอน …หวังจี้เชาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ายังมีคนที่เร็วกว่าอยู่!!

หวังจี้เชาที่คิดว่าตัวเองเก่งนักเก่งหนากลับถูกกดเอาไว้อีกครั้ง นี่มัน… น่าเจ็บใจ!!

การสอบดำเนินต่อไป ในพื้นที่รอสอบ ทุกคนยังทยอยเดินเข้าไปในห้องสอบตามลำดับ แต่บรรยากาศสัมผัสได้ว่าเริ่มตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย

ความกดดันที่ซูเย่ทิ้งเอาไว้ ทำให้ทุกคนจดจ้องกับเวลามากเกินไป และเมื่อเกิดบรรยากาศแบบนี้ขึ้น ในตอนที่ทุกคนสนใจความเร็วในการสอบ ก็ทำให้สภาพจิตใจของพวกเขาไม่สงบนิ่ง

บางคนรีบร้อนจับชีพจรด้วยความตื่นตระหนก แต่กลับพบว่าพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะจับชีพจรได้อย่างแม่นยำ และเมื่อพวกเราร้อนใจ เวลาก็ยิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดการนับถอยหลังก็สิ้นสุดลงโดยไม่สามารถตรวจได้ครบ 100 คนด้วยซ้ำ และคนที่เร่งรีบจนมีอาการเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ การสอบก็ยังคงดำเนินต่อไป เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

การสอบกินเวลาไปถึงเวลาสามทุ่มครึ่งถึงได้สิ้นสุดลง ทุกคนไปรวมตัวกันที่ทางเข้า

“ผมขอประกาศ การสอบวันนี้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้”

พิธีกรยิ้มให้ทุกคนแล้วกล่าวอย่างจริงใจ “ตอนนี้สิ้นสุดลงแล้วจริงๆ ผลคะแนนรวมของการสอบทั้งสองวันนี้จะประกาศในเช้าวันพรุ่งนี้ และจากผู้เข้าแข่งขัน 30 จะเหลือเพียง 20 คนที่ได้เข้าสู่รอบถัดไป”

แม้ว่าจะได้ยินดังนั้น แต่ไม่มีใครเชื่อคำพูดเขาอีกต่อไป ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วที่โดยทีมงานหลอกปั่นหัว ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะหลอกไปสอบอะไรอีก…

อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ!

……

เช้าวันถัดมา

ที่สถานีโทรทัศน์ ในห้องอัดรายการ ผู้เข้าแข่งขัน 30 คนยืนรวมกันอยู่บนเวทีในห้อง

“อันดับต่อไป เราจะทำการประกาศคะแนนการสอบครั้งนี้”

พิธีกรเอ่ยขึ้นแล้วกวาดสายตามองไปยังผู้เข้าแข่งขันทั้ง 30 คนทันที จากนั้นจึงหันไปทางกล้องตัวหลัก

“ครั้งนี้เราจะทำการแสดงผลคะแนนรวมของทั้ง 30 คนพร้อมกัน”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น ก็ไม่มีใครพูดอะไร เพียงแค่รอดูอย่างเงียบงัน รอดูว่ารายการจะมีไอเดียพิสดารอะไรมาอีกหรือไม่…

“กรุณาดูที่หน้าจอ”

ทุกคนยังคงเงียบงัน ต่างก็คิดในใจว่ามีอะไรก็รีบๆ เอามาให้ดูเถอะ…

ในตอนนี้เอง หน้าจอพลันสว่างขึ้น เมื่อมองเห็นรายชื่อบนหน้าจอ ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก การสอบครั้งที่สามสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว !

เมื่อทุกคนโล่งใจพวกเขาก็นึกขึ้นได้ และหันไปดูอย่างประหม่าอีกครั้ง