บทที่ 569 พาเจ้าลิงน้อยไปด้วย + บทที่ 570 เข้าเหมียวเจียง

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 569 พาเจ้าลิงน้อยไปด้วย

ใบหน้าของเฉียวเทียนช่างเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ เขาจ้องไปที่เฟิงซั่ว “ใครอยากจะคิดอ่านเหมือนเขากัน เหยาเหยา เราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”

เฟิงซั่วยักไหล่ เขาคงไม่ลดมาตรฐานของตัวเองลงเพื่อใครบางคนแน่

เมื่อมาถึงในสวน เฉียวเทียนช่างจึงเล่ารายละเอียดส่วนสำคัญให้หนิงเมิ่งเหยาฟัง ในส่วนที่เฉียวเทียนช่างเอ่ยข้ามไป เฟิงซั่วจะเป็นผู้เสริมให้ฟัง

หลังจากฟังชายทั้งสองจบ หนิงเมิ่งเหยาจึงเล่าสิ่งที่นางรู้มาให้พวกเขาฟังเช่นกัน

เมื่อทั้งสองฝ่ายรู้ว่าที่ผ่านมานั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง หนิงเมิ่งเหยาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หลังจากเทียนช่างไปที่เมืองหลิง ข้าก็นึกอยากไปที่เหมียวเจียงบ้าง”

“ข้าเห็นด้วย พวกหนานอวี่ก็ดูท่าจะทนรอไม่ไหวอีกต่อไป หนานชีเพิ่งนำข่าวกลับมา เขาบอกว่าได้ข้อมูลสำคัญจากการสืบอยู่ที่นั่นเสียที แต่เขาไม่กล้าเขียนอะไรมาในจดหมายมากนัก” เขาพอจะรู้ว่าหนานชีต้องการบอกอะไรกับเขา

มีบางเรื่องที่ต้องไปถึงที่นั่นเท่านั้นจึงจะเข้าใจ

หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า “ตกลง เจ้าลองดูเถิดว่าจะพาใครไปด้วยได้บ้าง” นางปรายตามองเด็กชายในอ้อมแขนของเฉียวเทียนช่าง หากทำได้ นางก็ไม่อยากพาลูกไปกับพวกตน

“ข้ารู้สึกเป็นห่วงยิ่งนักหากต้องพาลูกไปที่นั่นด้วย แต่หากทิ้งเขาไว้ที่นี่ ข้าก็ยิ่งเป็นกังวลเหลือเกิน” หนิงเมิ่งเหยากางมือออกอย่างจนปัญญา

เฉียวเทียนช่างคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงมองหนิงเมิ่งเหยา “เจ้าให้อวี้เฟิงกับคนที่เหลือช่วยดูแลลูกให้สักระยะก่อนก็น่าจะได้”

หนิงเมิ่งเหยาเองก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไร แต่หลังจากนางลองสอบถามกับพวกเขา นางจึงทราบว่าเหมยรั่วหลินกำลังตั้งท้อง

“ข้าว่าตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยขึ้นด้วยอาการปวดเศียรเวียนเกล้า

“เช่นนั้นเราก็แค่ต้องพาซางเอ๋อร์ไปกับเราด้วย” พวกเขามีคนร่วมเดินทางไปมากมาย ต้องมีใครสักคนที่สามารถดูแลลูกให้พวกเขาได้รวมอยู่ในนั้นแน่

เขาสงสารลูก ลูกยังเด็กแค่นี้แต่กลับต้องถูกโยนไปทางนั้นทีทางนี้ที นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อตัวเด็กเลย

“จริงด้วย”

เฟิงซั่วมองดูคนทั้งสองที่กำลังมีท่าทางปวดหัวเพราะเด็กคนนี้ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ “พวกเจ้าสองคนคิดมากไปแล้ว แน่นอนว่าครั้งนี้คงมีคนมากมายติดตามไปด้วย ดังนั้นเรื่องการดูแลเด็กย่อมไม่มีปัญหาแน่ อีกอย่าง หากมีคนรู้ว่าเด็กอยู่กับผู้อื่นจะยิ่งอัตราย”

สิ่งที่เฟิงซั่วกล่าวนั้นเป็นความจริง หากมีคนรู้ว่าลูกอยู่ในการดูแลของคนที่ไม่แข็งแกร่งพอ และรายงานเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายรู้แล้วล่ะก็ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคงจะอันตรายยิ่งนัก

หนิงเมิ่งเหยาไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรอบคอบ นางรู้สึกว่าสิ่งที่เฟิงซั่วพูดนั้นถูกต้องแล้ว ดังนั้นนางจึงพยักหน้าเห็นด้วย

“ท่านพี่เฟิงซั่วพูดถูก พาเจ้าลิงน้อยไปกับเราด้วยแล้วกัน” หนิงเมิ่งเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหานี้ นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“ได้”

เฟิงซั่วไม่ได้อยู่ที่จวนผู้สำเร็จราชการนานนัก ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องกลับไปจัดการที่เมืองเฟิงอยู่ หลังจากรู้ว่าพวกเขาจะออกเดินทางไปยังเหมียวเจียง เขาก็พูดขึ้นมาว่าจะต้องกลับไปที่เมืองเฟิง

หลังเฟิงซั่วกลับไป หนิงเมิ่งเหยากับเฉียวเทียนช่างจึงพาบุตรชายของตนไปที่สำนักอวี้หลิน

ทันทีที่พวกเขามาถึงก็ได้ยินว่าเหมยรั่วหลินออกไปสูดอาการอยู่ข้างนอก

เหมยรั่วหลินมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างขมขื่น “เหตุใดข้าจึงต้องมาลำบากเช่นนี้เพื่อคลอดลูกด้วย เหยาเหยา”

ท้องแรกของนางนั้นไม่มีอาการอะไรเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างที่นางกินนั้นช่างเอร็ดอร่อย แต่ตอนนี้นางไม่มีทั้งความอยากอาหาร อีกทั้งน้ำหนักนางก็ลดลง แม้แต่อวี้เฟิงก็พลอยน้ำหนักลดลงไปด้วย

“พี่เหมย ท่านจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ ข้าจะเตรียมอาหารให้ท่านทานเอง” ขณะเอ่ยเช่นนั้นหนิงเมิ่งเหยาก็ส่งลูกให้เฉียวเทียนช่างอุ้มก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว

หนิงเมิ่งเหยาทำน้ำแกงใส่บ๊วยดองให้กับเหมยรั่วหลิน และยังทำหน่อไม้ดองกับอาหารรสเปรี้ยวหลายชนิดให้นางด้วย

อวี้เฟิงขมวดคิ้ว เขามองเหมยรั่วหลินแล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่มั่นใจว่า “กินได้แน่หรือ”

“ลองดื่มน้ำแกงใส่บ๊วยดองสักถ้วยก่อน” หนิงเมิ่งเหยาส่งถ้วยใส่น้ำแกงผสมบ๊วยดองให้กับเหมยรั่วหลิน

เหมยรั่วหลินรับถ้วยมาถือด้วยสองมือ ตอนแรกนางคิดว่านางคงดื่มมันไม่ลงแน่ แต่ใครจะรู้ว่ากลิ่นของน้ำแกงนั้นจะทำให้นางรู้สึกหิวขึ้นมา

หลังดื่มน้ำแกงเข้าไป นางไม่ได้อาเจียนออกมาแต่อย่างใด สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อวี้เฟิงมีความสุขมาก “เจ้าอยากกินอะไรอีกหรือไม่ ข้าไปทำกับข้าวให้ดีไหม”

“ท่านพี่เขย ท่านไม่จำเป็นต้องทำหรอก ปล่อยให้ข้ารับใช้ทำไปเถิด” หนิงเมิ่งเหยากล่าวพลางกลอกตาไปมา

แม้ว่านางจะพูดอย่างนั้น แต่อวี้เฟิงก็ยังไม่กล้าทำอาหารที่อมน้ำมันมากเกินไป ในที่สุดเหมยรั่วหลินก็กินข้าวลงได้อย่างยากลำบาก หากนางอาเจียนออกมาอีกคงจะแย่ ดังนั้น เขาจึงสั่งให้ทำอาหารเบาๆ ให้นางทานแทน

บทที่ 570 เข้าเหมียวเจียง

เมื่อเห็นเหมยรั่วหลินดื่มซุปน้ำแกงจนหมดถ้วย อวี้เฟิงก็รู้สึกโล่งใจ “ดีเหลือเกิน ในที่สุดนางก็กินอะไรลงเสียที”

“ท่านพี่เขย ท่านเองก็ควรกินอะไรบ้าง ดูตัวท่านสิ คนที่ไม่รู้เขาจะคิดว่าสำนักอวี้หลินขาดแคลนอาหารนะ” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกขนลุกกับสภาพของอวี้เฟิงในเวลานี้ยิ่งนัก ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาของเขายามนี้กลับดูซูบตอบ

ตาของอวี้เฟิงกระตุกและมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสีหน้าหดหู่ เขาไม่ชอบคำพูดเช่นนั้นเอาเสียเลย

“เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ เจ้าใจดีกับข้าบ้างได้หรือไม่”

“รอให้ท่านจะมีกล้ามเนื้อมากกว่านี้แล้วค่อยมาคุยกันดีกว่า พวกข้าเพียงมาเยี่ยมเท่านั้น ในไม่ช้านี้พวกข้าจะไปเหมียวเจียง ข้าจะดองบ๊วยกับหน่อไม้ไว้ให้พี่เหมย หากนางรู้สึกคลื่นไส้หรืออยากอาเจียนก็ให้นางกินของพวกนี้เสีย แต่อย่าให้กินมากจนเกินไป” หนิงเมิ่งเหยาสั่งพลางมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากของเหมยรั่วหลิน

“ไม่ต้องห่วง”

เฉียวเทียนช่างมองสภาพของอวี้เฟิงในตอนนี้และอดจะรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาไม่ได้ โชคดีที่ตอนนั้นภรรยาของเขาไม่ได้มีอาการเช่นนี้ มิฉะนั้นเขาคงจะรู้สึกทรมานยิ่งนัก

เมื่อคิดเช่นนั้น เฉียวเทียนช่างก็ตัวสั่นขึ้นมา

เขาก้มศรีษะลงและมองบุตรชายที่นั่งอย่างรู้ความอยู่ในอ้อมแขนของตน เฉียวเทียนช่างก้มหน้าลงจุมพิตหน้าผากเขา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ซางเอ๋อร์รู้จักดูแลแม่ดีจริงๆ”

หนิงเมิ่งเหยาได้ยินคำพูดของเขาก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ แต่หนังตาของอวี้เฟิงนั้นแทบกระตุกไม่หยุด

“ถ้าไม่ได้พูดเจ้าจะตายหรือ” อวี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะบ่นอย่างหดหู่ใจ

กว่าเขาจะมีลูกก็อายุปาเข้าเลขสาม ใครจะรู้เล่าว่ามันจะทรมานถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นเฉียวโม่ซางเป็นเด็กดีเสียขนาดนั้น อวี้เฟิงจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกไป เขารู้สึกว่าลูกของเขาต้องตั้งใจทำตัวเช่นนี้แน่

เฉียวเทียนช่างมองอวี้เฟิงด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะปล่อยให้เจ้าอิจฉาต่อไปเช่นนี้ล่ะกัน”

“พอได้แล้วทั้งสองคน” หนิงเมิ่งเหยามองพวกเขาอย่างจนปัญญา นางรู้สึกปวดหัว จึงตัดสินใจยืนขึ้นเพื่อเป็นผู้ประนีประนอมให้ทั้งคู่

พอภรรยาของตนขึ้นเสียง แน่นอนว่าเฉียวเทียนช่างจะต้องทำตามที่นางว่า เขาอุ้มบุตรชายไว้บริเวณตักก่อนหยัดกายขึ้น แล้วจึงออกไปเล่นกับบุตรชายของตัวเองโดยไม่สนใจคนที่เหลือ

อวี้เฟิงรู้สึกขมขื่นในใจหลังจากได้ยินเฉียวโม่ซางเรียกพ่อเป็นครั้งคราว หนิงเมิ่งเหยารู้สึกอับจนหนทางเมื่อเห็นภาพนั้น พี่เขยของนางกลายเป็นคนขี้ใจน้อยขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อใดกัน

หลังพักอยู่ที่สำนักอวี้เฟิงเป็นเวลาสองวันจนมั่นใจว่าเหมยรั่วหลินไม่อาเจียนอีกแล้ว ทั้งสองจึงพาลูกกลับไป

“ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่” เหมยรั่วหลินถามอวี้เฟิง นางรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย

“อย่ากังวลไปเลย สองคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน” หากไม่ใช่เพราะว่าภรรยาของเขากำลังตั้งท้อง เขาคงจะเดินทางไปด้วยแน่

เหมยรั่วหลินถอนหายใจออกมาเบาๆ นางก้มหน้าลงมองท้องของตน เด็กคนนี้มาผิดเวลานัก แต่พวกนางก็อายุมากแล้ว นางต้องคิดถึงเด็กในท้องด้วย

“อย่าห่วงเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเสี่ยวเหยาเอ๋อร์แน่”

“ข้ารู้”

เมื่อเฉียวเทียนช่างกับหนิงเมิ่งเหยากลับไปที่ชายแดนของเมืองเซียว หนานอวี่และคนอื่นๆ ต่างก็รออยู่ที่นั่นแล้ว แม้บนใบหน้าของหนานอวี่จะไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่ดูจากความร้อนรนภายในดวงตาของเขาแล้วนั้น พวกเฉียวเทียนช่างก็รู้ว่าเขากำลังร้อนใจจริงๆ ร้อนใจมากจนไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใดดี

ชิงซวงยืนอยู่ข้างกายหนานอวี่ นางยื่นมือไปจับแขนของเขาเอาไว้พลางปลอบเขาอยู่เงียบๆ

“ไปกันเถอะ” เพราะมีเด็กอยู่ด้วย พวกชิงเสวี่ยจึงนำเกวียนของหนิงเมิ่งเหยาออกมา เกวียนของนางมีตัวช่วยลดแรงกระแทกติดอยู่ด้วย

เมื่อพวกเขามาถึงชายแดนของเหมียวเจียง หนานชีเดินทางมาพบพวกเขาก่อนเข้าเมือง หลังจากแต่งหน้าแต่งตาเสียหน่อย พวกเขาก็ดูเหมือนชาวพื้นเมืองของเหมียวเจียงแล้ว

ถ้าพวกเขาเข้าเหมียวเจียงเป็นกลุ่มใหญ่จะต้องเตะตาราชครูเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นสิ่งที่พวกเขาเตรียมการมาคงจะสูญเปล่า พวกเขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

“นายท่านขอรับ ในที่สุดท่านก็มา ตามข้ามาขอรับ ท่านปู่ไกว้กำลังรอพวกท่านทุกคนอยู่” หนานชีเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น

ตอนที่เขาพบท่านปู่ไกว้ เขานึกว่าตนเจอสัตว์ประหลาด ใครจะรู้เล่าว่าเขาจะเป็นคนที่พี่สะใภ้ส่งมาช่วย เขาเกือบเข้าใจผิดเข้าเต็มเปา

ครั้งนี้เฉียวเทียนช่างไม่ได้พาคนมามากเท่าใดนัก เขาสั่งให้คนที่เหลือใช้วิธีการต่างๆ เข้าไปในเหมียวเจียง และระวังอย่าไปดึงดูดความสนใจของผู้ใดเข้า

พวกเขาเดินตามหนานชีไปยังบ้านหน้าตาธรรมดาหลังหนึ่ง

“ท่านปู่ไกว้”