บทที่ 567 ‘การทรยศ’
ไม่ว่าภายในใจหลิงฮ่องเต้จะรู้สึกโกรธแค้นเพียงใด แต่เขาก็ทำได้แค่มองดูทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเท่านั้น ใครใช้ให้เมืองหลิงต้องมาถูกล้อมเอาตอนนี้ล่ะ ใครใช้ให้เมืองหลิงไร้ซึ่งพันธมิตรช่วยเหลือกันล่ะ
หากถามว่าหลิงฮ่องเต้เสียดายกับสิ่งใดมากที่สุด สิ่งนั้นคงจะเป็นการลงมือโจมตีจวนผู้สำเร็จราชการ หากไม่ใช่เพราะการหายตัวไปของหนานกงเยี่ยนทำให้เขาตัดสินใจบุกจวนผู้สำเร็จราชการแล้วล่ะก็ เขาคงไม่ลงเอยเช่นนี้แน่
เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นสีหน้าอันบูดบึ้งของหลิงฮ่องเต้ ท้ายที่สุดเขาจึงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “หากหลิงฮ่องเต้อยากได้เหมืองคืน ก็ลองดูแล้วกัน”
ดวงตาของหลิงฮ่องเต้ดำทะมึน เขาแทบสิ้นสติ
หลิงฮ่องเต้จ้องเฉียวเทียนช่าง แต่จำต้องยอมอดกลั้นความรู้สึกของตนเอาไว้ เขากัดฟันพูดขึ้นว่า “พวกเรากลับ…”
เมื่อเห็นหลิงฮ่องเต้และบรรดาคนจากเมืองหลิงเดินจากไปอย่างหัวเสีย เฟิงซั่วก็ส่ายหน้าขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว “ระวังอย่ายั่วโมโหเขานัก อาจต้อนเขาให้ทำอะไรสิ้นคิดขึ้นมาได้”
เฉียวเทียนช่างหย่อนกายลงนั่งอย่างไม่แยแส เขายิ้มเยาะก่อนว่า “ข้าจะตอบแทนความกล้าของเขาคืนให้เป็นสามเท่า”
หากหลิงฮ่องเต้มีความกล้าถึงเพียงนั้น เขาก็คงไม่ยอมตกลงจ่ายค่าชดเชยราคาสูงเทียมฟ้าเช่นนั้นแน่ แม้สิ่งที่เขาต้องสูญเสียไปหากไม่ยอมตกลงรับข้อเสนอนั้นจะมีมูลค่ามหาศาลยิ่งกว่าค่าชดเชยก็ตาม
เฟิงซั่วส่ายหน้าเล็กน้อย “จากที่ข้ารู้ แม่ทัพทุกคนล้วนแต่ต้องเป็นคนกักขฬะและหยาบคายไม่ใช่หรือ” เหตุใดชายที่อยู่ตรงหน้าเขาจึงต่างจากคนพวกนั้นถึงเพียงนี้ มิใช่แค่ไม่ได้มีลักษณะเช่นนั้น แต่ยังเป็นผู้มีทั้งปัญญาและวิสัยทัศน์กว้างไกลนัก
ไม่เพียงแค่ชาญฉลาดและมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล หนำซ้ำยังรู้และเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี เขารู้สึกว่าตัวเองในเวลานี้เทียบเฉียวเทียนช่างไม่ติดเอาเสียเลย
“ขอบคุณสำหรับคำชม” ริมฝีปากของเฉียวเทียนช่างโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ดูท่าทางพึงพอใจกับคำพูดของเฟิงซั่วยิ่งนัก
เฟิงซั่วมองเฉียวเทียนช่างอย่างพูดไม่ออก เขาอยากบอกว่าความจริงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะชมเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทำท่ามีความสุขเสียขนาดนั้นก็ได้ แต่เมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะเงียบ ไม่พูดอะไรเลยคงจะดีที่สุด อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องทนฟังคนผู้นี้พูดจาไร้สาระอะไรอีก
เฉียวเทียนช่างบิดขี้เกียจ “ในที่สุดข้าก็จะได้กลับไปหาเหยาเหยากับซางเอ๋อร์เสียที”
“บุตรชายของเจ้าหรือ”
“ใช่แล้ว เจ้าอยากไปหาเขาด้วยกันหรือไม่” เฉียวเทียนช่างมีท่าทีกระตือรือร้นเมื่อเอ่ยถึงบุตรชายของตน ในสายตาของเขา บุตรชายของตนนั้นเป็นเด็กที่น่ารักที่สุดในโลก
เฟิงซั่วรู้สึกขมขื่นใจ จากนั้นเขาจึงพยักหน้า “เอาสิ”
ตอนหนิงเมิ่งเหยาคลอด บังเอิญว่าเขามีเรื่องต้องจัดการจึงทำให้ไม่สามารถไปหานางได้ แต่เขาส่งคนนำของรับขวัญไปมอบให้แล้ว
เฉียวเทียนช่างลุกขึ้นจากที่นั่งแทบจะในทันที “ข้าจะไปเตรียมการเสียหน่อย”
“ข้าไปด้วย”
เฉียวเทียนช่างสั่งให้ทหารจำนวนหนึ่งของเมืองเซียวนำกำลังเข้ายึดเหมืองทั้งสมแห่งและนำกำลังอีกจำนวนหนึ่งไปประจำการที่นั่น ในเวลาเดียวกัน เขาก็สั่งให้หลินจือโยวกับเหลยอันจัดการเรื่องเมืองที่พวกตนตีได้ เพื่อจะได้ไม่มีความขัดแย้งภายในเมืองเกิดขึ้น
แต่เฉียวเทียนช่างคาดไม่ถึงว่าหลังจากสงครามสิ้นสุดลง พวกคนมีฐานะที่เคยก่อเรื่องไว้บริเวณชายแดนจะยังทำตัวเป็นปัญหาอยู่ แม้จะต้องโดนลากตัวออกไปแต่พวกเขาก็ไม่ยอมออกจากเมืองแม้แต่ก้าวเดียว ดูเหมือนคนพวกนั้นตั้งใจจะลงหลักปักฐานกันที่เมืองเซียว
เฉียวเทียนช่างตากระตุกเมื่อเห็นพวกเขาทำตัวเช่นนั้น ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา เพียงแค่สั่งคนให้จัดการเรื่องต่างๆ ให้พวกเขาแทน
ด้วยเหตุนี้เมืองหลิงที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจึงตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ด้วยเพราะคนเหล่านั้นคือแหล่งภาษีของเมืองหลิง ในเวลานั้นหลิงฮ่องเต้ไม่กล้าแม้แต่จะเพิ่มภาษีสักแดงเดียว หากสามัญชนถูกต้อนจนจนตรอก พวกเขาคงจะทำตัวมีปัญหาเช่นเดียวกับคนพวกนั้นแน่ และหากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะมีเมืองหลิง แต่ก็จะเหลือเพียงเปลือกเท่านั้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น
เพราะปัญหาของคนเหล่านี้ เฉียวเทียนช่างจึงจำต้องอยู่ที่ชายแดนต่ออีกสองสามวัน หลังจากจัดการทุกสิ่งจนเสร็จสิ้นและตรวจตราจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง เขาจึงกลับไปที่เมืองหลวงพร้อมหลินจือโยวและเหลยอัน เขามอบสิ่งที่ได้รับในครั้งนี้ให้กับเซียวชวี่เฟิง
หลังจากเหลยอันทราบข่าว เขาก็ตื่นเต้นจนแทบกระโดดด้วยความยินดี “นายท่าน ข้ารักท่านเหลือเกินขอรับ”
เฉียวเทียนช่างหรี่ตาลง เขามองเหลยอันอย่างเย็นชา ก่อนพูดด้วยท่าทางรังเกียจว่า “รสนิยมทางเพศข้าปกติดี ข้าไม่ได้สนใจเจ้า”
เหลยอันแทบทรุด เอาล่ะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจจะสื่อเสียหน่อย
เฉียวเทียนช่างไม่สนใจว่าเหลยอันต้องการสื่ออะไร เมื่อเดินออกมา เขาก็เห็นเฟิงซั่วที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองกระโดดขึ้นม้าก่อนควบออกไป หลังจากพวกเขาออกไป หลินจือโยวและเหลยอันเองก็ออกเดินทางกลับเช่นกัน แม้จะแยกย้ายกันไปคนละทาง แต่อารมณ์ของทุกคนล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
บทที่ 568 พ่อทุกคนล้วนเหมือนกัน
ความเร็วในการควบม้าของเฉียวเทียนช่างกับเฟิงซั่วนั้นรวดเร็วยิ่งกว่าทางฝั่งของเหลยอันมาก พวกเขาใช้เวลาเพียงสามวันก็เดินทางมาถึงประตูจวนผู้สำเร็จราชการ
แววตาขององครักษ์รักษาการภายในจวนผู้สำเร็จราชการเป็นประกายเมื่อพวกเขาเห็นเฉียวเทียนช่าง “คารวะขอรับนายน้อย”
พวกเขาจำเฉียวเทียนช่างได้ ยิ่งจำได้แม่นเมื่อองค์หญิงของพวกเขาพาบุตรชายหน้าตาน่ารักน่าชังผู้นั้นมา
“องค์หญิง นายน้อยกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงหมิงรีบวิ่งเข้ามาหลังจากรู้ข่าวการกลับมาของเฉียวเทียนช่าง
ตอนที่หนิงเมิ่งเหยาได้ยินว่าเฉียวเทียนช่างกลับมาแล้วนั้นนางกำลังป้อนข้าวลูกอยู่ นางมีสีหน้างุนงงในคราแรก แต่จากนั้นจึงอุ้มลูกตรงไปยังทางเข้าจวน
“เจ้าลิงน้อย พ่อเจ้ากลับมาแล้ว ไปหาพ่อกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวโม่ซางอย่างรักใคร่ ในน้ำเสียงของนางมีความเร่งร้อนอยู่ภายใน
เฉียวโม่ซางมองมารดาของตน แล้วจึงกะพริบดวงตาอันกลมโตใส่นาง “พ่อ…”
นางก้มหน้าลงไปหอมแก้มของบุตรชาย จากนั้นจึงรีบอุ้มเขาขึ้นก่อนมุ่งตรงไปข้างนอก
เฉียวเทียนช่างเห็นหนิงเมิ่งเหยาอุ้มลูกมาแต่ไกล ใบหน้าที่ในยามปกตินั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา บัดนี้กลับเปี่ยมไปด้วยความยินดี บุตรชายของเขาโตขึ้นมากยิ่งนัก เขาแทบรอพบหน้าลูกใกล้ๆ ไม่ไหวแล้ว
เขารีบวิ่งเข้าไปหาภรรยาและลูกชาย เฉียวเทียนช่างกอดหนิงเมิ่งเหยาแล้วจูบนางก่อนอุ้มลูกขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
เดิมทีนั้นเด็กน้อยน่าจะกลัวคนแปลกหน้า แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับไม่แสดงอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แขนเล็กๆ ของเขาวางลงบนไหล่ของเฉียวเทียนช่าง ดวงตาเปื้อนน้ำตาของเขามองไปรอบกาย
“ซางเอ๋อร์ พ่อกลับมาแล้ว” หลังจากพูดจบ เขาจึงก้มหน้าลงหอมแก้มบุตรชาย
เฉียวโม่ซางมองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยว่า “พ่อ… พ่อ… พ่อ…”
เฉียวเทียนช่างที่ได้ยินเสียงกระท่อนกระแท่นนั้น ก็ถึงกับอึ้ง เมื่อครู่เขาได้ยินคำว่าอะไรนะ ลูกเรียกเขาว่าพ่อหรือ
เขาหันหน้าไปมองหนิงเมิ่งเหยาที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าว่างเปล่า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน “เหยาเอ๋อร์ ลูกของพวกเรา… ซางเอ๋อร์… ซางเอ๋อร์เรียกพ่อหรือ”
เมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างแสดงท่าทางโง่งมออกมาเช่นนั้น หนิงเมิ่งเหยาพลันรู้สึกว่าเขาเองก็ไม่ต่างจากคนเป็นพ่อทั่วไป เมื่อเขาได้ยินลูกชายเรียกตัวเองว่าพ่อ แน่อยู่แล้วว่าต้องตกใจ
หนิงเมิ่งเหยายิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่ เขาเริ่มพูดเมื่อเดือนนี้นี่เอง บางครั้งก็ส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เขาเอาแต่เรียกหาพ่อทุกเมื่อเชื่อวัน เรียกไม่หยุดเลยเสียด้วย” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกอิจฉาเมื่อนางกล่าวเช่นนั้นออกมา นางมองเฉียวเทียนช่างอย่างเคืองๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เฉียวเทียนช่างยื่นมือไปบีบจมูกนาง แล้วเขาจึงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
“ซางเอ๋อร์ เจ้าเป็นสมบัติอันล้ำค่าของพ่อจริงๆ”
“พ่อ…”
“ซางเอ๋อร์ของพวกเราเฉลียวฉลาดยิ่งนัก” เฉียวเทียนช่างรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เขาได้ยินเด็กน้อยเรียกตน
เฟิงซั่วที่ยืนอยู่ไม่ไกลเฝ้ามองสมาชิกในครอบครัวทั้งสามแสดงความรักต่อกัน ภายในดวงตาของเขามีทั้งความสุขและความขมขื่นซ่อนอยู่ เพราะเขามาช้าไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น จึงทำให้ต้องพลาดความสุขตลอดชีวิตเช่นนี้ไป หากในตอนนั้นเขารู้ว่าหลิงหลัวจะทรยศหนิงเมิ่งเหยา เขาคงจะพานางมาอยู่ข้างกายและไม่ยอมปล่อยให้นางหลุดมือไปแน่
แม้เขาคิดจะทำเช่นนั้นในยามนี้ แต่ก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะลงมือได้ ที่สำคัญ คนพวกนี้คงไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหนิงเมิ่งเหยาในตอนนี้ดูมีความสุขมากเพียงใดด้วยแล้ว
เฟิงซั่วสูดหายใจเข้าปอดก่อนปรับอารมณ์ของตน หลังจากนั้นเขาจึงเดินตรงเข้าไปหาทั้งสองด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขามองหนิงเมิ่งเหยาอย่างค้อนๆ “เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ เจ้ามองเห็นเพียงเทียนช่าง แต่มองไม่เห็นข้าหรือ”
“ท่านพี่เฟิงซั่วอยู่ที่นี่ด้วยหรือ” หนิงเมิ่งเหยามองเฟิงซั่วด้วยสีหน้าขวยเขิน แก้มของนางขึ้นสี
เฉียวเทียนช่างอุ้มบุตรชายด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็กอดหนิงเมิ่งเหยาเอาไว้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “เจ้ากำลังอิจฉาข้าอยู่ใช่ไหม”
เฟิงซั่วมองเฉียวเทียนช่างอย่างรังเกียจ “อิจฉาเจ้าหรือ”
เฉียวเทียนช่างกำลังอารมณ์ดี เขาไม่ใส่ใจแม้ว่าคนอื่นจะมองตนอย่างรังเกียจ “วันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าไม่เถียงกับเจ้าก็แล้วกัน”
หนังตาของเฟิงซั่วกระตุกไม่หยุด หากไม่ใช่เพราะหนิงเมิ่งเหยาอยู่ตรงนี้ด้วย เขาคงลงไม้ลงมือกับเจ้านี่แล้ว
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกอับจนหนทางเมื่อเห็นทั้งสองประสานสายตาใส่กัน “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพวกเจ้าทั้งสองเหมือนคนเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนกัน เอาแต่ทะเลาะกันไม่หยุดหย่อนเสียที”
เฉียวเทียนช่างส่ายหน้ารัวเร็ว “เหยาเอ๋อร์ เขากับข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
“เขากับข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
ทั้งสองแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้าอย่างจริงจัง “อืม แม้แต่ความคิดอ่านของพวกเจ้าก็ยังเหมือนกันเสียขนาดนี้”