ตอนที่ 135 คัมภีร์ทักษะยุทธ์ด้านความเร็ว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“โอ้ สวรรค์ พวกเจ้าได้ยินใช่ไหม เหมือนว่าจะมีคนอยู่ที่ชั้นสาม !”

ชายคนหนึ่งอุทานออกมาขณะจ้องมองไปยังห้องบนชั้นที่สามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

หากจะเปรียบเทียบแล้ว ห้องบนชั้นที่สามของหอประมูลแห่งนี้นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ เพราะผู้ที่จะอยู่บนชั้นที่สามของหอประมูลใหญ่แห่งนครไป๋อวิ๋นได้จะต้องเป็นบุคคลที่มีตัวตนในระดับสูงติดอันดับต้น ๆ ของแผ่นดิน

ในหลายปีที่ผ่านมาห้องบนชั้นที่สามของหอประมูลแห่งนี้ไม่เคยเปิดให้ผู้ใดเข้าไปเลย กล่าวกันว่าแม้แต่สมาชิกราชวงศ์แห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นหรือบุคคลระดับสูงคนอื่น ๆ ของราชสำนักก็ยังไม่เคยเข้าไปในห้องบนชั้นที่สาม ทว่าเวลานี้บนห้องอันทรงเกียรตินั้นกลับมีคนอยู่ เรื่องนี้ทำให้ผู้มาร่วมงานประมูลทุกคนรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

ในตอนที่ฉินอวี้โม่มาถึงหอประมูลแห่งนี้ ผู้ฝึกสัตว์อสูรของโรงประมูลได้ลอบพาพวกนางเข้าทางประตูหลัง จากนั้นก็เดินผ่านทางเดินพิเศษที่น้อยคนนักจะรู้จัก ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่มีใครสังเกตเห็นพวกนาง ทุกคนจึงไม่ทราบเลยว่าในตอนนี้ผู้ที่อยู่บนชั้นที่สามคือผู้ใด

กล่าวตามตรงเลยว่าตัวฉินอวี้โม่เองก็ไม่ทราบมาก่อนว่าการได้ขึ้นมานั่งบนชั้นสามจะเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนแตกตื่นและฮือฮามากถึงเพียงนี้

“มีใครรู้บ้างว่าผู้ที่อยู่ในชั้นที่สามเป็นผู้ใดกัน ?”

ผู้คนมากมายมองไปยังห้องบนชั้นที่สามที่ฉินอวี้โม่และสหายอยู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าบุคคลผู้ทรงเกียรติในห้องห้องนั้นคือใคร ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจมองทะลุกระจกหน้าต่างของห้องนั้นได้ ซึ่งก็แน่นอนเพราะหน้าต่างของห้องบนชั้นที่สามเป็นกระจกมายาชนิดพิเศษที่ทำให้คนภายในมองเห็นภายนอกอย่างชัดเจน ทว่าคนภายนอกจะไม่สามารถมองเห็นผู้ที่อยู่ภายในได้

ยิ่งไปกว่านั้น ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งดังของกระจกบานนี้คือเสียงที่ผ่านกระจกออกมาจากด้านในจะถูกปรับเปลี่ยนไป แม้จะทราบว่าเสียงจากด้านในเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี แต่ผู้ที่ฟังอยู่ด้านนอกจะไม่สามารถรับรู้ตัวตนของคนคนนั้นได้ ตรงกันข้ามกับผู้ที่อยู่ภายในห้องเพราะพวกเขาจะได้ยินเสียงจริงจากภายนอกอย่างชัดเจนเสมือนไร้กระจกกั้น

“ต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้วล่ะ กล้าเสนอราคาประมูลเหล็กทมิฬหมื่นปีในราคาหนึ่งแสนเหรียญทอง ถ้าเขาไม่ใช่คนโง่ก็คงเป็นคนที่รวยล้นฟ้าจนเอาเงินมาละลายเล่นเพื่อความสนุกได้แบบไม่ต้องคิดอะไรแน่ ๆ แค่ขึ้นไปอยู่บนชั้นที่สามได้ก็พอจะพิสูจน์ถึงความรวยระดับนั้นได้แล้ว”

มีคนแสดงความคิดเห็นออกมา ก่อนจะสะบัดหน้า ละสายตาไปจากชั้นที่สามและไม่มองไปทางห้องห้องนั้นอีก*… ‘จะจ้องอย่างไรก็คงไม่มีวันมองเห็นได้ มิสู้เลิกใส่ใจแล้วสนใจการประมูลต่อไปเสียดีกว่า’*

“อวี้โม่ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ แค่เหล็กทมิฬหมื่นปีเจ้าต้องใช้เงินมากถึงหนึ่งแสนเหรียญทองเพื่อให้ได้มาเลยรึ ?”

เยว่ชิงเฉิงมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตางุนงง แน่นอนว่านางทราบถึงความพิเศษของเหล็กทมิฬหมื่นปีชิ้นนั้นดี แต่กระนั้นเหล็กทมิฬหมื่นปีก็ยังไม่คุ้มค่ากับเงินถึงหนึ่งแสนเหรียญทอง แค่ราคาห้าหมื่นเหรียญทองก็ถือว่าสูงมากแล้ว

“ไม่เป็นไร ในตอนนี้สิ่งที่ข้าขาดแคลนน้อยที่สุดก็คือเงิน”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและกล่าวอย่างสบาย ๆ

หากคำนวณอย่างคร่าว ๆ อสูรหลายสิบตัวที่นางนำมาเข้าร่วมประมูลนั้น มีมูลค่าโดยรวมอย่างน้อย ๆ ก็ประมาณหลายสิบล้านเหรียญทอง ดังนั้นเงินหนึ่งแสนเหรียญทองก็ไม่ต่างจากหยดน้ำในมหาสมุทรสำหรับนาง

“ยิ่งกว่านั้น ถ้าคุณชายดักดานหวังรั่วจวินยังกล้าสู้ราคาต่อ ข้าก็ยกมันให้เขาไป”

ฉินอวี้โม่แย้มรอยยิ้มชั่วร้ายขณะที่มองไปยังห้องที่ชั้นสองในฝั่งตรงข้าม

นางกับหวังรั่วจวินมีบัญชีแค้นที่ต้องสะสางอยู่ไม่น้อย ขอเพียงเข้าไปปั่นป่วนอีกฝ่ายได้นางก็จะไม่ลังเล ที่สำคัญเหล็กทมิฬหมื่นปีก็มีส่วนช่วยในการพัฒนาของนางได้มากและยังไม่ใช่สิ่งที่จะซื้อหามาได้โดยง่าย ดังนั้นถึงจะได้มาในราคาแสนแพง แต่หากบวกรวมกับมูลค่าของความสะใจที่จะได้รับ สำหรับนางแล้วก็ไม่นับว่าขาดทุน

อีกอย่างหวังรั่วจวินผู้นี้เป็นจอมว่าทางและชอบโอ้อวด มีความเป็นไปได้สูงว่าคนโง่งมอย่างเขาจะไม่ยอมเสียหน้า เพราะทนไม่ได้หากเห็นผู้ใดเหนือกว่าตัวเอง

เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงอึ้งจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก เมื่อเห็นว่าทำสิ่งใดไม่ได้พวกเขาทั้งสองจึงเลือกจะอยู่เงียบ ๆ แทน

การที่คนจากโรงประมูลพาคุณหนูสี่ตระกูลฉินขึ้นมาอยู่บนชั้นที่สามนั่นก็บ่งบอกแล้วว่ามูลค่าของสิ่งที่นางนำมาเข้าร่วมประมูลต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ตอนนี้โอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าสหายคนงานผู้นี้เอาสิ่งใดมาเข้าร่วมประมูลกันแน่

“เหอะ แค่แร่เหล็กทมิฬก้อนแค่นี้มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ทุ่มเงินถึงหนึ่งแสนเหรียญทองเพื่อประมูลมัน อยากได้ก็เชิญเอามันไปเถอะ”

เมื่อหวังรั่วจวินได้ยินคนผู้หนึ่งในห้องชั้นสามเสนอราคาประมูลที่หนึ่งแสนเหรียญทอง เขาก็ผงะไปก่อนที่คุณชายอันธพานจะอดกล่าววาจาด่าทอออกมาไม่ได้

“หึ ๆ ก็ตัวข้าผู้นี้ร่ำรวยล้นฟ้า เงินก็เงินของข้า ข้าจะทำอะไรก็ย่อมได้ ในเมื่อเจ้าไม่มีเงินก็อย่าคิดริษยาผู้อื่น เด็กน้อยเอ๋ยจงสงบคำไว้เสียเถอะ”

เมื่อได้ยินคำด่าทอของหวังรั่วจวิน ฉินอวี้โม่ก็เผยรอยยิ้มร้าย ท่าทีของคนผู้นี้ไม่ได้ทำให้นางรู้โกรธแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม อดีตนักฆ่าสาวกำลังรู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก

‘ในเมื่อไม่มีเงินก็จงยอมรับชะตากรรมซะ’

“เจ้า !…”

หวังรั่วจวินโกรธจนพูดไม่ออก

‘หน็อย~ คนผู้นั้นกล้าดีอย่างไรมาเหยียดหยามข้า ?’

เขาคือนายน้อยแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของจักรวรรดิไป๋อวิ๋น สมาคมของเขาไม่เคยขาดแคลนเงินทอง วาจาเช่นนั้นของอีกฝ่ายเป็นถือการดูหมิ่นไปถึงสมาคมอันยิ่งใหญ่ของเขาด้วย และถ้าหากข่าวเรื่องที่เขาพ่ายแพ้การประมูลเพราะไม่กล้าสู้ราคาถูกเล่าลือออกไป มันจะต้องกลายเป็นเรื่องที่สมาคมขายหน้าอย่างมาก

“110,000 !”

หวังรั่วจวินยืนขึ้นและขานราคาด้วยเสียงอันดังที่ลอดผ่านฟันที่ขบแน่น

ในวันนี้ผู้ที่ติดตามมาดูแลหวังรั่วจวินที่สมาคมส่งมาก็คือชวี่เซียว และนิสัยของชวี่เซียวก็เป็นอย่างที่ทราบกัน เมื่อเขาเห็นการกระทำของหวังรั่วจวินเขาก็ไม่ได้ห้ามปรามหรือคัดค้านอะไร เขากลับคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาและเป็นการกู้ศักดิ์ศรีของสมาคมด้วยซ้ำ

“โว้ ช่างรวยและมีใจที่มุ่งมั่นยิ่งนัก คนจนอย่างข้าคงทำต้องยอมรับชะตากรรมสินะ”

เมื่อเห็นหวังรั่วจวินสู้ราคาต่อ มุมปากของฉินอวี้โม่ก็กระตุกเป็นรอยยิ้มสาแก่ใจ ทั้งใบหน้าและแววตาของนางแสดงความครื้นเครงอย่างไม่คิดปกปิด

“ข้าไม่คิดว่าจะมีคนสู้ราคาต่ออีกแล้ว ขอแม่นางเจียงช่วยประกาศผู้ชนะให้ด้วย”

ฉินอวี้โม่พยายามกล่าวโดยปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด ทว่าในท้ายที่สุดนางก็หลุดหัวเราะออกมา ซึ่งหลังจากหยุดเพื่อหัวเราะไปครู่หนึ่ง สตรีโฉมงามผู้ชั่วร้ายก็กล่าวต่อ

“ฮ่า ๆ ๆ *‘แค่แร่เหล็กทมิฬก้อนแค่นี้มีแต่คน ‘โง่มาก’ เท่านั้นแหละที่ทุ่มเงินถึง ‘หนึ่งแสน-หนึ่งหมื่น-เหรียญทอง’ เพื่อประมูลมัน’*ทุกปีเราย่อมพบเจอคนโง่งมในงานประมูลอยู่แล้ว แต่ปีนี้หนักหน่อย ข้าไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดีสำหรับคนโง่ขนาดนี้”

สิ้นคำกล่าวล้อเลียนที่ตามมาด้วยวาจาถากถางของฉินอวี้โม่ เสียงฮาครืนก็ดังก้องไปทั่วทั้งหอประมูล

เมื่อครู่หวังรั่วจวินเพิ่งจะกล่าวว่ามีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยอมจ่ายหนึ่งแสนเหรียญทองเพื่อเหล็กทมิฬหมื่นปี ทว่าผ่านไปไม่กี่อึดใจเขากลับยอมทุ่มเงินหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นเหรียญทองเพื่อสู้ราคา นี่ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเองให้ผู้คนทั้งงานได้ดูอย่างนั้นหรือ ?

ในขณะนี้คนทั่วทั้งหอประมูลกำลังหัวเราะกันอย่างขบขัน ทว่าใบหน้าของหวังรั่วจวินกลับบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด คุณชายรองแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรได้แต่ยืนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ

เขาอยากจะกล่าวว่า *‘ก็ข้ามีเงินแล้วพวกเจ้าจะทำไม’*ทว่าเป็นเพราะวาจาของสตรีปริศนาบนชั้นที่สามยังคงทำให้ภายในโถงของหอประมูลเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังก้องจนเขาไม่อาจหาจังหวะที่จะพูดได้เลย ที่สำคัญเมื่อคิดอีกครั้ง หากล่าวเช่นนั้นออกไปก็เหมือนกับเป็นการตบหน้าตัวเองอยู่ดี เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นคนเอ่ยออกไปเองว่าคนที่ยอมจ่ายหนึ่งแสนเหรียญคือคงโง่ มิหนำซ้ำคนที่อยู่บนชั้นที่สามยังออกปากว่านางยอมแพ้แล้วด้วย ฉะนั้นจะกล่าวอย่างไรอีกฝ่ายก็คงไม่สู้ราคาแล้ว และเขาก็จะได้กลายเป็นตัวตลกแต่เพียงผู้เดียว

“เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีใครขานราคาแล้ว เช่นนั้นเหล็กทมิฬหมื่นปีก็จะตกเป็นของแขกผู้มีเกียรติที่อยู่ในห้องหมายเลขสามของชั้นที่สอง”

แม้แต่สตรีผู้ที่มักจะแสดงท่าทีเย็นชาอยู่เสมออย่างเจียงหลิวเยว่ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเย็นชาน้อยลงไปมาก มุมปากของนางกระตุกถี่ยิบคล้ายกับกำลังกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ สาวงามอันดับหนึ่งปราดมองไปยังห้องบนชั้นที่สามอยู่ชั่ววูบหนึ่งพลางคิดว่าสตรีที่อยู่บนชั้นนั้นเป็นบุคคลที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

หลังจากที่เจียงหลิวเยว่ประกาศผู้ชนะในการประมูลเหล็กทมิฬหมื่นปี ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่แห่งนี้ก็เงียบลงโดยพลัน ทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยของชิ้นถัดไป

“ของชิ้นที่สองก็คือคัมภีร์ทักษะยุทธ์”

เจียงหลิวเยว่ปรบมือให้สัญญาณ ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่เดินถือถาดคลุมผ้าแดงขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง

“คัมภีร์ทักษะยุทธ์เล่มนี้ไม่ธรรมดา ภายในนี้บันทึกทักษะอันแสนพิสดารซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับคนทั่วไป ทว่าสำหรับบางคนแล้วมันถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาไม่ได้อีกแล้วในแผ่นดินนี้”

เจียงหลิวเยว่ยิ้มน้อย ๆ ขณะสะบัดผ้าคลุมสีแดงบนถาดออก สิ่งของที่อยู่บนถาดนั้นคือคัมภีร์สีน้ำเงินเข้มเล่มหนึ่ง

คัมภีร์ทักษะยุทธ์จะถูกแบ่งระดับตามสีอย่างชัดเจน โดยมีตั้งแต่ สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงินและสีม่วง สีแดงคือระดับที่ต่ำที่สุด ขณะที่ระดับที่สูงที่สุดคือสีม่วง ที่เหนือกว่าสีม่วงก็ยังมีสีพิเศษอื่น ๆ อีก ทว่า เนื่องจากคัมภีร์เหล่านั้นหาได้ยากยิ่งกว่ายากจึงไม่ถูกจัดระดับ

และเพียงแค่คัมภร์สีน้ำเงินที่นำมาให้ประมูลเป็นชิ้นที่สองนี้ก็นับเป็นเป็นคัมภีร์ทักษะยุทธ์ระดับสูงที่หาได้ยากอย่างมากแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ ทุกคนน่าจะเคยเห็นมาบ้างแล้ว คัมภีร์เล่มนี้คือคัมภีร์สีน้ำเงิน แค่เห็นสีทุกท่านก็น่าจะเข้าใจได้ฉะนั้นรายละเอียดของวิชาทักษะยุทธ์ที่อยู่ภายในนี้ข้าจะไม่อธิบายมาก ที่สำคัญ นี่ยังไม่ใช่ทักษะยุทธ์ธรรมดาแต่เป็น*‘ทักษะยุทธ์ในด้านความเร็ว’*!”

เจียงหลิวเยว่ยิ้ม สิ่งที่นางกล่าวออกมาทำให้บรรยากาศในหอประมูลดูร้อนระอุขึ้นมาในทันที

ทักษะยุทธ์ความเร็วเป็นทักษะยุทธ์ประเภทที่หายากที่สุดในหมู่ทักษะยุทธ์ทั้งหลาย ฉินอวี้โม่มีทักษะยุทธ์ความเร็วอยู่สองทักษะคือ ‘อสนีบาต’ และ ‘เท้าทะยานคลื่น’ และทั้งสองต่างก็เป็นทักษะที่นางได้เรียนรู้มาตั้งแต่มีชีวิตในชาติก่อน ทว่าในชีวิตนี้นางยังไม่เคยเห็นคัมภีร์ทักษะยุทธ์ด้านความเร็วมาก่อน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเจียงหลิวเยว่จึงกล้ากล่าวว่ามันหายากมาก

“ของชิ้นที่สองยังใช้กติกาเดิม ราคาเริ่มต้นที่ 1,000 เหรียญทอง ขานราคาเพิ่มขั้นต่ำครั้งละ 100 เหรียญทอง การประมูลของชิ้นที่สองเริ่มขึ้นได้ !”

เมื่อเห็นสีหน้าอันแสนตื่นเต้นของผู้คน เจียงหลิวก็พยักหน้าพึงพอใจ

ในเมื่อได้รับเชิญจากเถ้าแก่ของโรงประมูลแห่งนี้ให้มาเป็นผู้ดำเนินรายการและดูแลการประมูลบนเวที นางก็ย่อมอยากให้การประมูลออกมาน่าประทับใจและอยากจะให้โรงประมูลทำกำไรได้มากที่สุด

“5,000 !”

เสียงของเจียงหลิวเยว่เงียบลงไปเพียงไม่ถึงอึดใจก็มีคนขานราคาขึ้นทันที

ตำราทักษะยุทธ์ด้านความเร็วนั้นไม่ใช่จะได้เห็นกันง่าย ๆ มีชาวยุทธ์ผู้ใดบ้างจะไม่ถูกมนต์เสน่ห์ของมันยั่วยวน

ต้องทราบก่อนว่าในการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์นั้น ความสามารถด้านรวดเร็วจะเป็นตัวตัดสินผลแพ้ชนะได้เกินกว่าแปดในสิบส่วน

เมื่อต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังใกล้เคียงกันผู้ที่มีความเร็วที่เหนือกว่าย่อมได้เปรียบอย่างมหาศาล หรือแม้แต่ต่อสู้กับผู้ที่มีระดับสูงกว่าหากมีความเร็วที่สูงก็ทำให้มีโอกาสพลิกสถานการณ์มาเป็นฝ่ายได้เปรียบ หรือถ้าหากไม่สามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ ก็ยังสามารถอาศัยความเร็วที่เป็นต่อหนีเอาตัวรอดได้

“10,000 !”

ราคาไต่ระดับสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด นั่นก็เป็นเพราะคัมภีร์เล่มนี้เป็นของที่ทุกคนต้องการจึงไม่มีใครอยากรอช้า

ภายในไม่กี่อึดใจราคาก็กระโดดจากหนึ่งพันเหรียญทองไปอยู่ที่หนึ่งแสนเหรียญทองและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

จนกระทั่งราคาทะยานขึ้นไปถึงสองแสนเหรียญทองจำนวนผู้ที่แข่งกันสู้ราคาจึงลดน้อยลงไปบ้าง และตอนนี้ราคาเริ่มไต่ระดับขึ้นในอัตราที่ช้าลงแล้ว

“210,000 !”

เสียงนั้นคือของหวังรั่วจวินเจ้าเก่าเจ้าเดิม ต้องยอมรับเลยว่าสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรนั้นร่ำรวยมากโดยแท้

“220,000 !

เสียงของหวังรั่วจวินเงียบลงไปได้ครู่เดียวก็มีเสียงขานราคาที่ดูมุ่งมั่นและไม่ยอมใครจากห้องอีกห้องที่อยู่ข้าง ๆ ห้องของเขาก็ดังขึ้นสู้

ฉินอวี้โม่และสหายรู้สึกคุ้นเคยเสียงนั้นเป็นอย่างมาก หากพวกนางคาดเดาไม่ผิด เจ้าของเสียงนั้นก็คือหลิงเฟิง สหายสูงศักดิ์แห่งราชสำนัก

“230,000 !”

ช่างเป็นการประมูลที่ดุเดือดยิ่งนัก เพราะเสียงของหลิงเฟิงยังไม่ทันจางหาย เสียงที่ฟังดูสงบนิ่งของบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ในชั้นที่หนึ่งก็ดังตามมาในทันที ท่ามกลางฝูงชน บุรุษผู้นั้นดูไม่เป็นจุดเด่นเลยแม้แต่น้อย หากว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ขานราคาออกมา ก็เกรงว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็น

อย่างไรก็ตาม หลังจากเสนอราคาเช่นนั้นออกไปแล้ว ก็ทำให้บุรุษผู้นั้นตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนมากมายในทันใด

ทว่าก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากตำแหน่งที่คนผู้นั้นนั่งอยู่เป็นจุดอับสายตาของชั้นที่หนึ่งทำให้ผู้คนจากชั้นที่สองไม่สามารถมองเห็นได้ มีเพียงแค่คนที่อยู่ชั้นหนึ่งในบางจุดเท่านั้นที่มองเห็นเขา ในเมื่อชายผู้นั้นขานราคาออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูผ่อนคลายได้ถึงเพียงนั้น ย่อมแสดงว่าคนผู้นี้ก็น่าจะไม่ธรรมดาเป็นแน่

อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลายคนจะจ้องมองอยู่นานแต่ก็ยังไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นี้เป็นใครมาจากไหนหรือสังกัดในขุมกำลังใด เขาดูเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นให้จดจำ จึงยากที่จะบอกสถานะและตัวตนของเขาได้

“250,000 !”

เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมแพ้ง่าย ๆ หวังรั่วจวินก็ขานราคาต่อ ทว่าในขณะนี้นายน้อยแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็เริ่มเหงื่อตกบ้างแล้ว

ไม่คิดเลยว่าเขาจะสู้ราคาของสองชิ้นแรกอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ของชิ้นแรกดูอย่างไรก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขา ผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างก็เข้าใจตรงกันว่าคุณชายผู้นี้ไม่เคยร่ำเรียนวิชาการหลอมเลย และหากต้องการจะใช้มันให้ได้ หวังรั่วจวินก็ต้องรอจนกว่าจะเรียนรู้วิชาการหลอมถึงระดับหนึ่งเสียก่อน ซึ่งนั่นก็ไม่ถือเป็นเรื่องง่าย

อย่างไรก็ตาม หากเป็นของประมูลชิ้นที่สองอย่างคัมภีร์ทักษะยุทธ์ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างเพราะมันส่งผลต่อความก้าวหน้าของเขาโดยตรง โดยเฉพาะระดับพลังของเขาในตอนนี้อยู่เพียงแค่นภมายาสองดาราเท่านั้น ทักษะยุทธ์ด้านความเร็วนี้จึงมีประโยชน์ต่อเขามากหากคุณชายผู้นี้จะถือคติที่ว่า ‘สู้ไม่ได้ก็วิ่งหนีให้เร็ว’

“260,000 !”

หลิงเฟิงขานราคาสู้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าตระกูลของเขาจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเท่ากับตระกูลหวังของประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร แต่ก็ถือเป็นตระกูลที่มีบรรดาศักดิ์สูงส่งในจักรวรรดิไป๋อวิ๋น บิดาของเขาเป็นถึงท่านอ๋องของจักรวรรดิแห่งนี้ ฉะนั้นการทุ่มเงินถึงสองแสนหกหมื่นเหรียญทองเพื่อพัฒนาตัวเองจึงไม่ถือว่าเกินเลยแม้แต่น้อย

“270,000 !””

บุรุษวัยกลางคนที่ชั้นหนึ่งยังคงเสนอราคาแข่งอย่างไม่ลังเล หากดูจากสีหน้าเรียบเฉยและน้ำเสียงอันสงบของเขาแล้ว ก็บ่งชี้ชัดเจนว่าเขายังไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้

300,000 !

หวังรั่วจวินกัดฟันขานราคาที่สามแสนเหรียญทองออกไป เขาเริ่มจะหมดความอดทนแล้ว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเอาคัมภีร์ทักษะยุทธ์ด้านความเร็วเล่มนั้นมาเป็นของเขาให้ได้

“สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร เช่นนี้ข้าคงต้องขอยอมแพ้”

เมื่อเห็นเจตจำนงที่แน่วแน่ไม่ยอมผู้ใดของหวังรั่วจวิน หลิงเฟิงก็ล้มเลิกแผนที่จะครอบครองคัมภีร์ล้ำค่าดังกล่าวไปเพราะถ้าหากเขายังสู้ราคาต่อ อีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมแน่ บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์จึงเลือกถอนตัวตั้งแต่ตอนนี้

อย่างไรก็ตามด้วยวาจาเช่นนั้นของหลิงเฟิงก็ช่วยให้หลายคนที่กำลังสงสัยว่าผู้ที่ประมูลเหล็กทมิฬหมื่นปีไปก่อนหน้านี้เป็นใครหรือสังกัดขุมกำลังใดได้รู้ในตอนนั้นเองว่าเขามาจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร

และเมื่อหวนนึกถึงถ้อยคำของสตรีผู้ยิ่งใหญ่บนชั้นที่สามแล้วพวกเขาก็อดยิ้มขำออกมาไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาก็ได้รู้แล้วด้วยว่า*‘คนโง่งมผู้นั้น’*คือคนจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร

เมื่อฉินอวี้โม่และเหล่าสหายในชั้นที่สามได้ยินสิ่งที่หลิงเฟิงกล่าว พวกเขาก็หัวเราะคิกคักโดยพร้อมเพรียง สหายของพวกเขาแสบสันอยู่ไม่น้อย แม้แต่ตอนจะกล่าวยอมแพ้ก็ยังไม่ลืมเล่นงานอีกฝ่าย