ทว่าบุรุษวัยกลางคนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสู้ราคาต่อ ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจในทักษะยุทธ์ด้านความเร็วนี้มาก

“310,000 !”

บุรุษผู้นั้นเสนอราคาที่สูงขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดทราบว่าเหตุผลที่เขาไม่ยอมแพ้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะได้รู้ว่าหวังรั่วจวินเป็นสมาชิกจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร

“350,000 !”

หวังรั่วจวินขานราคาที่สูงกว่าอย่างไม่ลังเล

“360,000 !”

บุรุษวัยกลางคนเองก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาค่อย ๆ เพิ่มทีละหนึ่งหมื่นเหรียญทองอย่างช้า ๆ

“400,000 !”

หวังรั่วจวินกัดฟันกรอด ครั้งนี้เขาเสนอราคาที่มากถึงสี่แสนเหรียญทอง คุณชายรองแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรไม่เชื่อว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นยังจะกล้าสู้ราคากับเขาต่อไปอีกได้

เมื่อได้ยินคู่ต่อสู้ขานราคาที่กระโดดไปถึงสี่แสนเหรียญทอง บุรุษวัยกลางคนในชั้นที่หนึ่งก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยุดยั้งการต่อรอง แล้วถอนตัวออกจากศึกแห่งการประมูลคัมภีร์ทักษะยุทธ์เล่มนั้น

“แขกจากห้องที่สามบนชั้นสองเสนอราคาที่สี่แสนเหรียญทอง มีผู้ใดจะให้ราคามากกว่านี้หรือไม่ ?”

เมื่อเห็นว่าการขานราคาเงียบลงไป เจียงหลิวเยว่จึงกล่าวถามตามกระบวนการ และเมื่อดูจนมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดกล่าวราคาหรือกล่าวคำคัดค้าน ผู้ดำเนินรายการสาวจึงประกาศให้หวังรั่วจวินชนะในการประมูลรอบนี้

หลังจากสำนึกรู้ว่าเพียงรอบที่สองของการประมูลก็ต้องสูญเสียเงินไปอย่างมหาศาลแล้ว หวังรั่วจวินก็เริ่มเกิดความรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าบุรุษผู้เย่อหยิ่งอย่างเขาก็ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดเพราะถึงอย่างไรทักษะยุทธ์ด้านความเร็วนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาพึงพอใจมากและมันจะต้องสร้างประโยชน์ให้แก่ตัวเขาเองได้อย่างมหาศาลแน่

“เจ้าบ้าหวังรั่วจวิน แค่ของสองชิ้นก็ใช้เงินประมูลไปเกินกว่าห้าแสนเหรียญทองแล้ว สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรนี่คงจะรวยมากจริง ๆ ถึงเอาเงินมาใช้เหมือนเอาเกลือมาละลายน้ำเล่น !”

เยว่ชิงเฉิงกล่าวาจาประชดประชันออกมาอย่างอดไม่ได้ ถ้าหากว่าเป็นนาง ต่อให้มีเงินเท่ากับอีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมใช้เงินมากถึงห้าแสนเหรียญทองประมูลของทั้งสองชิ้นนั้นไปแน่

ต้องยอมรับเลยว่าในบรรดาสมาคมน้อยใหญ่มากมายในจักรวรรดิไป๋อวิ๋น สมาคมที่ร่ำรวยที่สุดก็คือสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร ซึ่งนั่นก็เนื่องจากไม่ว่าผู้ใดก็อยากครอบครองอสูรมายา ทว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรกลับมีจำนวนไม่มากและกระจัดกระจาย ยิ่งกว่านั้นหากจะตามหาผู้ฝึกสัตว์อสูรฝีมือดีสักคนผู้คนก็นึกออกแต่ต้องไปที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร และด้วยรูปแบบธุรกิจอันแทบจะผูกขาดเช่นนี้ทำให้สมาคมสามารถกำหนดราคาค่าบริการได้ตามใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าการจะจ้างผู้ฝึกสัตว์อสูรสักคนเพื่อสยบอสูรมายาให้จะมีต้นทุนที่สูงจนเหงื่อตก แต่เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายก็ยังคงยินดีจ่ายเพื่อให้ได้อสูรมายาคู่ใจสักตัวอยู่ดี ดังนั้นในแต่ละปีสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรจึงกอบโกยรายได้ในปริมาณที่เรียกว่ามหาศาล

สิ่งของที่ถูกนำออกมาประมูลชิ้นที่สามเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นถึงอาวุธระดับสมบัติขั้นสูง ตัวกระบี่มีลวดลายวิจิตรงดงาม หากกล่าวในมุมมองของช่างฝีมือนี่ถือเป็นชิ้นงานที่สรรค์สร้างออกมาได้อย่างประณีต

ในโลกมายาแห่งนี้อาวุธจะถูกแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ อาวุธที่เรียกว่าระดับทองแดง เงิน และทอง ทั้งหมดนี้ถูกเรียกโดยรวมได้ว่า*‘อาวุธทั่วไป’*ส่วนอาวุธในระดับที่สูงขึ้นมาจากอาวุธทั่วไปจะจัดเป็น ‘อาวุธระดับวิญญาณ’ ส่วนลำดับถัด ๆ มาจะเป็น ‘อาวุธระดับสมบัติ’  ‘อาวุธระดับวิจิตร’ ‘อาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์’ และสุดท้ายคือ ‘อาวุธระดับตำนาน’ ยิ่งกว่านั้นในแต่ละระดับของอาวุธจะถูกแบ่งออกเป็นสามขั้นย่อยซึ่งก็คือ ‘ขั้นต้น’ ‘ขั้นกลาง’ และ ‘ขั้นสูง’ ยิ่งอาวุธมีระดับสูงมากเท่าไหร่ การหลอมสร้างให้สำเร็จได้ก็จะยิ่งยากเย็นมากขึ้นตามไปด้วย

ในแผ่นดินนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าแม้เพียงอาวุธระดับวิจิตรก็ยังหาได้ยากยิ่งแล้ว ส่วนระดับศักดิ์สิทธิ์ที่สูงขึ้นมานั้นแทบไม่เคยมีผู้ใดได้พบเห็นด้วยซ้ำ ไม่ต้องกล่าวถึงอาวุธระดับตำนาน เพราะก็เป็นไปดั่งชื่อนั่นคือมีอยู่แต่เพียงในตำนานเท่านั้น และยังไม่เคยมีใครเห็นการมีอยู่ของมันมาก่อน

สำหรับโอสถที่เป็นของประมูลชิ้นที่สี่ก็เป็นโอสถในระดับสูงเช่นกัน ซึ่งมันมีชื่อเรียกว่า ‘โอสถบ่มเพาะวิญญาณ’

โอสถชนิดนี้มีสรรพคุณส่งเสริมพลังมายาในร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม กล่าวกันว่ามันสามารถทำให้จอมยุทธ์ระดับมายารัตนะเก้าดาราที่กินมันเข้าไปทะลวงเข้าสู่ระดับนภมายาได้โดยไร้เงื่อนไข หรือหากผู้ที่ได้กินเข้าไปเป็นจอมยุทธ์นภมายาก็จะทำให้คนผู้นั้นก้าวหน้าขึ้นหลายขั้นดาราภายในชั่วพริบตาได้ โอสถบ่มเพาะวิญญาณจึงเป็นโอสถที่ล้ำค่ามาก

การประมูลของชิ้นที่สามและสี่ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง ผู้คนมากมายแข่งกันสู้ราคาอย่างไม่ยอมแพ้จนในที่สุดของทั้งสองชิ้นก็ถูกประมูลออกไปในราคาที่สูงยิ่ง

กระบี่ระดับสมบัติขั้นสูงถูกประมูลออกไปในราคา 300,000 เหรียญทอง ส่วนโอสถบ่มเบาะวิญญาณถูกขายออกไปในราคา 350,000 เหรียญทอง

ไม่ทราบควรจะกล่าวว่าเป็นเรื่องหน้าที่เสียดายได้หรือไม่ เพราะมูลค่าของทั้งสองอย่างนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าคัมภีร์ทักษะยุทธ์ด้านความเร็วที่ถูกประมูลไปก่อนหน้าเลย ทว่ามันกลับถูกประมูลออกไปในราคาที่ต่ำกว่า

หลังจากของชิ้นที่สี่ถูกประมูลออกไปแล้ว ของประมูลชิ้นที่ห้าก็ปรากฏขึ้นในมือของเจียงหลิวเยว่ในทันที

“ข้าเชื่อว่ามีหลายท่านคงจะเคยได้ยินชื่อสิ่งของชิ้นที่ห้านี้มาบ้าง แต่คงไม่เคยเห็นมัน มันเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งสำหรับผู้หลอมโอสถและจอมยุทธ์ทั้งหลายที่อยู่ในขอบเขตนภมายาเก้าดารา”

เจียงหลิวเยว่ยิ้มและกล่าวต่อ “ของชิ้นที่ห้านี้ก็คือ ‘ผลไร้ราก’ ราคาเริ่มต้นที่ 10,000 เหรียญทอง ขานราคาเพิ่มขึ้นขั้นต่ำครั้งละ 1,000 เหรียญทอง”

กล่าวจบ สตรีโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินก็ดึงผ้าคลุมสีแดงบนถาดออก และเผยให้เห็นผลไม้สีใสดุจแก้วขนาดเท่ากับผลผิงกั่วลูกหนึ่ง

ประโยคแรกของเจียงหลิวเยว่ทำให้ทุกคนในหอประมูลตื่นเต้นกันมาก ทว่าหลังจากที่นางเอ่ยชื่อของสิ่งประมูลนั้นออกมา ทุกคนก็เงียบเสียงลงอย่างฉับพลัน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีผู้ใดเสนอราคาประมูลแม้แต่คนเดียว

“แม่นางเจียง พวกเราไม่เคยเห็นผลไร้รากมาก่อนและไม่รู้ด้วยว่ามันหน้าตาเป็นยังไง ฉะนั้นใครจะรู้ว่าที่พวกเจ้านำออกมาให้ประมูลมันใช่ผลไร้รากจริง ๆ หรือไม่ ? ถ้าหากว่าผิดพลาดขึ้นมาพวกเราไม่เสียหายครั้งใหญ่อย่างนั้นรึ ?”

หลังจากเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ คนผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเวทีประมูลมากนักก็เอ่ยคำถามแทนความสงสัยของทุกคนออกมา ในน้ำเสียงที่เขาใช้มีแต่ความคลางแคลงใจอย่างเหลือล้น

หลายคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่รู้ว่าผลไร้รากมีค่ามากเพียงใด อย่างไรก็ตามไม่มีใครทราบว่าผลไร้รากหน้าตาเป็นอย่างไร แม้เจียงหลิวเยว่จะบอกว่ามันคือผลไร้รากทว่าในสายตาของพวกเขามันก็เป็นเพียงผลไม้ผลหนึ่ง แน่นอนว่าจะให้ทุกคนเชื่อถือโดยไม่มีสิ่งใดรับรองเช่นนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก

“ใช่แล้ว หรือต่อให้มันเป็นผลไร้รากจริง ๆ ก็เถอะ มันก็ไม่มีประโยชน์ต่อพวกเรา”

อีกคนส่งเสียงสนับสนุนชายคนแรก ก่อนจะกล่าวต่อ “ตามสูตรโอสถก่อมายาจำเป็นจะต้องใช้ส่วนผสมที่หายากมาก ๆ อีกสองอย่าง นั่นคือบุปผาน้ำแข็งและหนวดมังกร นอกจากนั้นยังมีสมุนไพรทั่วไปที่ถึงจะไม่ได้หายากแต่ก็ราคาสูงอีกหลายอย่าง ที่สำคัญผู้ที่จะหลอมโอสถที่ว่าขึ้นมาได้ก็ต้องเป็นผู้หลอมโอสถระดับสูงมาก  ถึงพวกเราจะซื้อผลไร้รากนี้ไปและหาผู้หลอมโอสถมากฝีมือมาได้ แต่การจะหาทั้งบุปผาน้ำแข็งและหนวดมังกรมาก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้นแล้วของประมูลชิ้นนี้ว่าไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง”

ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าว เหล่าผู้หลอมโอสถหลายคนที่กำลังให้ความสนใจกับผลไร้รากก็เกิดความลังเลขึ้นมาทันที

ตรงข้ามกับสตรีผู้มีพรสวรรค์ด้านการสร้างสิ่งหลอม ฉินอวี้โม่นั้นไม่ได้มีความลังเลเหมือนกับพวกเขาเหล่านั้นเลย ตั้งแต่ตอนที่เจียงหลิวเยว่กล่าวชื่อผลไร้รากออกมา นางก็เตรียมตัวจะสู้ราคาอย่างเต็มที่เพื่อของชิ้นนี้แล้ว

แม้ว่าจะไม่เคยเห็นผลไร้รากมาก่อนก็ตาม แต่คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็มั่นใจกว่าแปดในสิบว่ามันคือผลไร้รากของแท้ นางเชื่อว่าโรงประมูลใหญ่แห่งไป๋อวิ๋นนั้นยึดมั่นในหลักการ และกิจการที่เปิดดำเนินการมาได้อย่างยาวนานแต่ยังได้รับความนิยมสูงเช่นนี้ก็คงไม่เอาของปลอมมาประมูลให้เสียชื่อเสียงเป็นแน่ ยิ่งเมื่อเคยได้พูดคุยกับเถ้าแก่ของโรงประมูลมาแล้วนางก็ยิ่งมั่นใจ ขอเพียงตอนนี้นางได้ผลไร้รากมา ที่เหลือก็มีเพียงบุปผาน้ำแข็ง หากได้วัตถุดิบมาจนครบ พี่ชายของนางก็จะสามารถหลอมโอสถก่อมายาออกมาได้

“10,000 !”

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังลังเลและหันไปจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น เสียงขานราคาของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้น นั่นทำให้เจียงหลิวเยว่ที่กำลังกระอักกระอ่วนถึงขีดสุดเพราะไม่ทราบว่าจะตอบคำถามของผู้คนอย่างไรดีมีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง

ยิ่งไปกว่านั้นการขานราคาของฉินอวี้โม่ก็ทำให้ผู้คนชะงักงัน ความเงียบงันปกคลุมพื้นที่โถงกว้างภายในหอประมูลอีกครั้ง

พวกเขาไม่คิดว่าจะมีผู้ใดกล้าเสนอราคาเพื่อประมูลผลไร้รากจริง ๆ ….‘คนผู้นั้นใดเป็นใครถึงกล้าเสี่ยงได้เพียงนั้น นางไม่กลัวว่าจะถูกโรงประมูลแห่งนี้โกงบ้างเลยหรือ ?’

“ข้าแค่คิดว่ามันดูสวยดีเท่านั้น ส่วนมันจะเป็นผลอะไรข้าไม่สนใจ ต่อให้ไม่ใช่ผลไร้รากแต่การซื้อมันมาเชยชมด้วยเงินหนึ่งหมื่นเหรียญทองก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”

ฉินอวี้โม่เอ่ยอธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

ที่คุณหนูตระกูลฉินจำเป็นต้องอธิบายออกไปเช่นนั้นก็มีเหตุผลอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือหากไม่กล่าวเช่นนั้นก็จะมีคนคิดว่านางเคยเห็นมันมาก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะเชื่อว่ามันคือผลไร้รากของจริงแท้ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นคนที่ลังเลอยู่ก็จะกระโดดเข้าร่วมสู้ราคาทันที ในท้ายที่สุดราคาก็จะไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนของชิ้นก่อนหน้า ในเมื่อเวลานี้ไม่มีผู้ใดกล้าเสนอราคาเลย ก็เป็นโอกาสทองของนางที่จะได้ของดีมาในราคาที่ถูกแสนถูก

สิ่งที่บุคคลปริศนาแห่งห้องชั้นสามกล่าวนั้นก็พอฟังขึ้นอยู่บ้างเพราะรูปทรงของผลไม้ที่อยู่บนถาดประมูลสวยงามอย่างแท้จริง อีกทั้งมันยังใสดุจแก้วดูน่าหลงใหล ฉะนั้นหากจะมีเศรษฐีที่มั่งคั่งซื้อมันไปดูเล่น ๆ ก็อาจจะไม่แปลกนัก ในเมื่อนางกล้าสู้ราคาเหล็กทมิฬหมื่นปีด้วยราคาแพงลิบขนาดนั้น ก็ไม่แปลกที่นางจะอยากได้แก้วใส ๆ ไปประดับจวน

เดิมทีเหย่าเซียนเอ๋อร์ที่อยู่ในห้องที่สี่ของชั้นที่สองมีแผนที่จะขานราคาต่อรอง ทว่าเมื่อได้ยินวาจาของสตรีในห้องชั้นสาม นางก็หยุดยั้งตัวเองเอาไว้ แท้จริงแล้วเทพธิดาโอสถผู้นี้เห็นตอนที่ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว เยว่ชิงเฉิง และโอวหยางชิงเฟิงเดินเข้ามาในโรงประมูลแห่งนี้ ทว่าหลังจากที่เข้ามาในหอประมูลแล้ว นางกลับไม่เห็นคุณหนูตระกูลฉินและสหายอีกสามคนอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งของห้องบนชั้นสองที่นางอยู่เป็นจุดที่มองเห็นได้ทุกซอกมุมของหอประมูลยกเว้นห้องบนชั้นที่สาม

เมื่อฟังจากลักษณะการพูดและเจตนาที่จะกลั่นแกล้งหวังรั่วจินนางก็พอจะรู้ว่าผู้ใดคือสตรีบนห้องชั้นที่สาม และก็พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดออกแล้ว

เหย่าเซียนเอ๋อร์เป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลม เพียงแค่ได้ฟังวาจากลบเกลื่อนเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่ก็เข้าใจทันที เทพธิดาโอสถรู้ดีว่าถ้านางขานราคาแข่งกับสหายตระกูลฉินของตนก็จะทำให้คนทั้งหอประมูลล่วงรู้ว่าผลไร้รากเป็นของจริงและจะทำให้เกิดการประมูลแข่งราคากันอย่างดุเดือด

ฉินอวี้โม่ประมูลผลไร้รากไปก็เพื่อพี่ชายของนาง ฉินอี้เฟยถือเป็นสมาชิกที่เป็นกำลังหลักของสมาคมโอสถ การที่เขาจะได้ผลไร้รากไปครอบครองก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย ยิ่งกว่านั้นอาจจะเป็นประโยคต่อสมาคมอย่างมากด้วย

“แขกพิเศษแห่งห้องบนชั้นที่สามเสนอราคาที่หนึ่งหมื่นเหรียญทอง มีผู้ใดจะเสนอราคาที่สูงกว่านี้หรือไม่ ?”

จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เจียงหลิงเยว่ก็ทราบได้ทันทีว่าวันนี้คงไม่มีผู้ใดคิดจะสู้ราคาของชิ้นนี้เป็นแน่ ในตอนนี้นางจึงทำใจแล้วว่าผลไร้รากอาจจะต้องถูกขายออกไปในราคาเพียงหนึ่งหมื่นเหรียญทอง

ต้องทราบก่อนว่า หลังจากตกลงรับสินค้ามาจากผู้เสนอของประมูลแล้ว เถ้าแก่จะให้คำมั่นกับพวกเขาว่าจะพยายามทำให้ของทุกชิ้นถูกขายออกไปในราคาที่ดีที่สุด และเพื่อเป็นการรับประกันคำมั่นดังกล่าว ทางโรงประมูลจะมีการให้ราคาที่เรียกว่า ‘ราคาประกัน’ ไว้ล่วงหน้า

หลักการของการรับประกันนี้ก็คือ หากสินค้าถูกประมูลออกไปได้ต่ำกว่าราคาประกัน ทางโรงประมูลจะต้องจ่ายเงินให้กับผู้เสนอสิ่งของประมูลเท่ากับราคาที่ได้รับประกันไว้ ซึ่งนั่นหมายความว่าวันนี้ทางโรงประมูลก็คงจะต้องขาดทุนในการประมูลผลไร้รากชิ้นนี้

เรื่องนี้ผู้ดูแลการประมูลอย่างเจียงหลิวเยว่ก็มีส่วนรับผิดชอบด้วย การที่สินค้าขายได้ในราคาต่ำความผิดส่วนหนึ่งทางผู้ดูแลการประมูลก็ต้องแบกรับไว้ อย่างไรก็ตามความประทับใจที่นางมีต่อบุคคลในห้องบนชั้นสามก็มีอยู่ค่อนข้างมาก หากจะต้องขายผลไร้รากให้คนปริศนาผู้นั้นในราคาหนึ่งหมื่นเหรียญทองนางก็ไม่ได้รู้สึกย่ำแย่อะไร

เดิมทีเถ้าแก่ของโรงประมูลคิดว่าผลไร้รากจะขายได้ในราคาสูง เขาไม่คิดเลยว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ว่ามันคือผลไร้รากของแท้ แน่นอนว่าจะกล่าวสิ่งใดออกไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อไม่มีสิ่งยืนยันการจะโต้แย้งก็เสมือนเป็นเพียงการแก้ตัว

แม้ว่าจะได้พบกับฉินอวี้โม่เป็นเวลาเพียงสั้น ๆ แต่เถ้าแก่ก็ทราบได้ว่านางต้องไม่ใช่คนธรรมดา ฉะนั้นหากนึกเสียว่าได้ผูกสัมพันธ์กับสตรีผู้แข็งแกร่งจนน่าตกใจผู้นั้นแลกกับการจ่ายเงินค่าผลไร้ราก เขาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าแล้ว

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความรู้สึกหดหู่ในใจเถ้าแก่ก็เริ่มดีขึ้นบ้าง

แน่นอนว่าผู้คนมากมายในหอประมูลไม่รับรู้ถึงความคิดของเถ้าแก่แห่งโรงประมูล และพวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีความสนใจในผลไร้รากเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่มีใครเสนอราคาออกมาแข่งขัน

แม้แต่หวังรั่วจวินที่เพิ่งถูกฉินอวี้โม่เล่นงานไปในการประมูลของชิ้นที่หนึ่งก็ยังนิ่งเฉย

อันที่จริงคุณชายรองตระกูลหวังอยากจะขานราคาออกไปยิ่งนัก ทว่าเขากลับถูกชวี่เซียวห้ามปรามไว้ก่อน ผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรกลัวว่าครั้งนี้อาจจะเป็นแผนของสตรีในชั้นที่สามอีก ถ้าหวังรั่วจวินเสนอราคาออกไปแล้วสตรีผู้นั้นไม่ต้องการผลไม้นั่นจริง ครั้งนี้พวกเขาจะได้กลายเป็นตัวตลกประจำงานประมูลใหญ่ในปีนี้ไปโดยสมบูรณ์เป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นคนบนชั้นที่สามนั่นต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว บุรุษอาวุโสไม่ต้องการมีเรื่องบาดหมางกับนางเพียงเพราะผลไม้ลูกเดียว

ชวี่เซียวไม่ทราบเลยว่าคนบนชั้นสามคือฉินอวี้โม่สตรีที่เขาแค้นเคือง และถ้าหากได้รู้ ผู้อาวุโสที่ถูกถอนหงอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็คงจะโกรธจนควันออกหูเป็นแน่

“เนื่องจากไม่มีผู้เสนอราคาอีกแล้ว ฉะนั้นผลไร้รากผลนี้จึงตกเป็นของแขกพิเศษบนชั้นที่สาม”

เจียงหลิวเยว่ยิ้มและประกาศผู้ชนะในการประมูลผลไร้ราก

ใบหน้านวลของฉินอวี้โม่ประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เวลานี้คุณหนูคนงามกำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง นางได้ผลไร้รากมาในราคาเพียงหนึ่งหมื่นเหรียญทอง คุณหนูสี่ตระกูลฉินอยากจะรีบกลับบ้านโดยไวจะได้เอามันไปให้ฉินอี้เฟยดูว่ามันคือผลไร้รากจริง ๆ หรือไม่ ที่สำคัญนางจะอวดมันกับเขาด้วย นางอยากจะเห็นใบหน้าดีใจของผู้เป็นพี่ชาย

สามารถซื้อของหายากได้ในราคาเพียงหนึ่งหมื่นเหรียญทอง ต้องบอกเลยว่าโชคของฉินอวี้โม่นั้นเป็น*‘ระดับสวรรค์อำนวย’*อย่างแท้จริง แท้จริงแล้วเรื่องที่เถ้าแก่ของโรงประมูลคิดอยู่นางเองก็พอจะเดาออก แต่แม้ว่าเขาจะต้องขาดทุนแต่ก็ยังยินยอมให้นางได้ผลไร้รากไปในราคาต่ำ เรื่องนี้ทำให้คุณหนูตระกูลฉินทราบซึ้งใจไม่น้อย นางจึงตั้งใจไว้ว่าในอนาคตหากมีสิ่งของที่อยากจะขายผ่านการประมูล นางจะมาใช้บริการโรงประมูลแห่งนี้อีก

หลังจากประกาศผู้ชนะการประมูลของชิ้นที่ห้าแล้ว ความตื่นเต้นครึกครื้นก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อทุกคนตั้งตารอคอยของชิ้นที่หก

“ของชิ้นต่อไปจะสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนมากที่สุด และนี่จะเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ ข้าหวังว่าทุกคนจะเตรียมตัวให้พร้อมกับสิ่งที่กำลังจะปรากฏสู่สายตา ข้ามั่นใจว่านี่คือสิ่งที่หลาย ๆ คนกำลังมองหาอยู่ !”

เจียงหลิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อคิดถึงของที่จะนำมาประมูลในลำดับถัดไป แม้แต่ตัวนางก็ยังตื่นเต้น นางมั่นใจว่าบรรยากาศในหอประมูลแห่งนี้จะต้องเร่าร้อนลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน

“แม่นางเจียง รีบ ๆ เอาออกมาเร็ว ๆ เข้าเถอะ”

มีหลายคนที่เริ่มจะอดใจรอไม่ไหวจนต้องกล่าวเร่งเจียงหลิวเยว่

“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็เตรียมรับความตื่นเต้นไปพร้อม ๆ กันเถอะ”

เจียงหลิวเยว่ยิ้มอีกครั้งก่อนจะปรบมือให้สัญญาณอย่างนุ่มนวล ไม่กี่อึดใจกรงเล็ก ๆ จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของนาง

เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังผู้ดำเนินรายการสาวสวย ผู้เข้าร่วมงานทุกคนก็เบิกตากว้าง พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น !

.