เสียงประตูดังขึ้น ทำเอาจินเกอร์ที่กำลังนั่งให้อาหารปลาในสระตกอกตกใจ

“เปิดประตู!”

เสียงท่านชายหวังสิบเจ็ดดังขึ้นจากด้านนอก

ฟังดูแล้วไม่ค่อยดี พอดูแล้วยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่

“พวกท่านชายไม่อยู่แล้ว ใจคอไม่ค่อยดีสักเท่าใดเลย” สาวใช้ที่ยืนอยู่บนระเบียงเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

พวกท่านชายไปกันหมดแล้ว ขนาดท่านชายโจวหกที่น่ารำคาญคนนั้นก็ไม่อยู่เหมือนกัน เหลือเพียงนายหญิงเดียวดายอยู่ผู้เดียว

“นายหญิง พวกเราย้ายไปอยู่ในจวนตระกูลโจวดีหรือไม่เจ้าคะ” นางหันไปพูดกับคนในห้อง

“ไม่ต้อง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอกแล้ววางตำราที่อยู่ในมือลง “เจ้าไปเรือนนางฟ้า ดูว่าผู้ดูแลอู๋มีอันใดให้ช่วยหรือไม่”

ให้นางไปอีกแล้ว สาวใช้ถอนหายใจ

ไม่มีพวกท่านชายแล้วไม่ชินเอาเสียเลย

แต่จะทำอะไรได้ล่ะ

“เจ้าค่ะนายหญิง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” นางเอ่ยบอก

เสียงทุบประตูยังคงดังอยู่

เฉิงเจียวเหนียงตะโกนบอกกจินเกอร์ จินเกอร์ก็รับคำแล้วเดินไปเปิดประตู

ท่านชายหวังสิบเจ็ดพุ่งตัวเข้ามาด้วยความเดือดดาลสุดแสน

“เจ้ามัวทำอะไรอยู่จึงไม่เปิดประตู” เขาตะหวาดถาม

ทุกคนต่างมองดูเขา แต่ไม่มีใครตอบคำเขาสักคน

หากเป็นเวลาอื่นผู้ติดตามของท่านชายหวังสิบเจ็ดก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่พอมานึกไปถึงเมื่อคืนที่แม่นางผู้นั้นถูกคนมากมายล้อมหน้าล้อมหลังแล้วก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“แม่นางเฉิง ท่านชายของพวกข้าเป็นห่วงท่าน” ผู้ติดตามคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “เมื่อคืนนี้ท่านกลับไปเพียงผู้เดียว…”

ประโยคนี้ทำท่านชายหวังสิบเจ็ดฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาสลัดความไม่พอใจที่เปิดประตูให้เขาช้าทิ้งไป แล้วนึกไปถึงความอับอายที่ได้รับเมื่อคืน

“ใช่ เหตุใดเจ้าจึงหนีไปเช่นนั้นเล่า” เขาเอ่ยขึ้นอย่างโมโห

“ท่านชายหวัง ใครเป็นคนหนีก่อนเจ้าคะ” สาวใช้ขมวดคิ้วถาม

“นั่นข้ามีธุระ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ไปดูนางคณิกานับเป็นธุระด้วยหรือ” สาวใช้ส่งเสียงเฮอะเอ่ยถาม

ไปดูหญิงงามย่อมเป็นธุระสำคัญของท่านชายหวังสิบเจ็ดเยี่ยงเขา ทำไมหรือ หึงหวงเขาหรืออย่างไร

“ข้าบอกว่าธุระก็ธุระสิ” เขาขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าต้องการอะไร”

เฉิงเจียวเหนียงมองสาวใช้

“เจ้ายังไม่ไปทำงานของเจ้าอีก” นางเอ่ย

สาวใช้รับคำนาง ถลึงตามองท่านชายหวังสิบเจ็ดแล้วก้าวเท้าเดินออกไป

“เมื่อวานเห็นท่านยุ่งๆ จึงไม่กล้ารบกวน เจอคนรู้จักเข้าพอดี ข้าจึงกลับไปก่อน” เฉิงเจียวเหนียงมองท่านชายหวังสิบเจ็ดแล้วเอ่ยตอบ “ข้าได้บอกเด็กในร้านไว้แล้ว เพราะรู้ว่าท่านกลับมาจะต้องเป็นห่วงข้าแล้วไปไล่ซักถาม”

ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังนับว่าแม่นางน้อยผู้นี้เชื่อฟังดี ถูกเขาตำหนิใส่ก็ไม่ร้อง แล้วก็ไม่โกรธหรือแง่งอน…

คำพูดสุขุมมั่นคงเช่นนี้ ไม่เหมือนกับบรรดาสตรีที่เอะอะก็ร้องไห้ขอโทษขอโพยหรือเอะอะก็กระเง้ากระงอดพวกนั้น ความรู้สึกนี้…กลับไม่เลวทีเดียว

“เจ้ารู้ก็ดี!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดส่งเสียงเฮอะออกมาแล้วนั่งลงบนระเบียงด้วยตัวเอง “ข้าบอกเจ้าว่าให้เชื่อฟังมิใช่หรือ เหตุใดไม่ยืนรอข้าอยู่ที่เดิม”

เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร

“ครั้งหน้าจำเอาไว้ หากเจ้ากลับเองอีก ข้าจะทิ้งเจ้าเสีย” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยเตือน

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ายิ้มๆ

“แล้วก็ เมื่อวานตระกูลท่านลุงเจ้าเป็นอะไร ข้าตามเจ้าไปแล้ว พวกเขากลับไม่ให้ข้าเข้าไป” ท่านชายหวังสิบเจ็ดถามด้วยความโมโห “เกินไปหน่อยแล้ว! นี่มันกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว! ต่อไปอย่าได้ไปมาหาสู่กับพวกเขาอีก!”

เขาพูดจบ ผู้ติดตามที่อายุมากสุดก็กระแอมขึ้นมาเบาๆ

“แม่นางเฉิง นึกไม่ถึงว่าตระกูลท่านลุงของท่านจะได้ไปชมโคมที่ถนนเทียนเจียด้วย ช่างเป็นบุคคลสำคัญของราชสำนักจริงๆ” เขาอมยิ้มเอ่ยเพื่อหยั่งเชิง

“เรื่องนี้ ข้าไม่รู้แน่ชัดนัก” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าบอก “ถนนเทียนเจีย เป็นที่ที่ใครก็ไปได้ไม่ใช่หรือ”

ถามนางไปก็เปล่าประโยชน์…

สตรีนางนี้ไม่ได้พักอยู่ที่บ้านตระกูลโจว ไหนเลยจะรู้เรื่องของตระกูลโจวได้

ทว่า ไม่ได้พักอยู่กับตระกูลโจว แล้วเหตุใดเมื่อคืนนี้จึงมีคนล้อมหน้าล้อมหลังมากมายเพียงนั้น

“แม่นางเฉิงอยู่ที่เมืองหลวงมานาน คงจะคุ้นเคยกับผู้คนและเรื่องต่างๆ ที่นี่แล้วกระมัง” ผู้ติดตามอมยิ้มเอ่ย

“กับตระกูลเหล่านั้นไม่นับว่าคุ้นเคยอะไรนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอก

ผู้ติดตามยังอยากจะถามอะไรต่อ แต่ท่านชายหวังสิบเจ็ดโบกมือไปมาอย่างเหลือทน

“คุ้นเคยหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไร กิจการของตระกูลเราล้วนอยู่ทางใต้ ไม่ต้องพึ่งพาเขา จะได้ไม่ถูกเขาดูถูกเอาอีก ต่อไปก็อยู่ให้ห่างบ้านท่านลุงของเจ้าเสียหน่อย” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยบอก

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ายิ้มบางๆ

“เจ้าค่ะ” นางเอ่ย

แม่นางผู้นี้งดงามดั่งภาพวาดเสียจริง ไร้อารมณ์ใดๆ เหมือนดังภาพวาด

“ช่างเถิด อย่างไรก็ขายหน้าไปแล้ว” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยบอกแล้วลุกขึ้น “ไปแล้ว”

“ท่านชายหวัง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยปากเรียกเขา “พวกเรา จะกลับไปเมื่อใดหรือ”

นางกล่าวจบ ปั้นฉินกับจินเกอร์พลันต่างตกใจ

พวกเราหรือ กลับไปหรือ

ผู้ติดตามของท่านชายหวังสิบเจ็ดสีหน้าฉงนแล้วพยักหน้า

ดูแล้วแม่นางผู้นี้จะอยู่ที่นี่ได้ไม่ค่อยดีนัก หากมีชีวิตที่ดีแล้วเหตุใดจึงอยากจากไป

ที่ถูกล้อมหน้าล้อมหลังไว้เมื่อวานคงได้อานิสงส์จากตระกูลโจว นึกไม่ถึงว่าตระกูลโจวจะสามารถไปชมโคมที่ถนนเทียนเจียได้ ตระกูลโจวนี่ดูๆ แล้วคงไม่ได้ธรรมดาอย่างที่บ้านเขาบอกไว้ ต้องไปสืบถามดูเสียหน่อยแล้ว กลับไปจะได้รายงานพวกนายใหญ่ได้

“นี่ก็จะได้กลับไปแล้ว คนของตระกูลเฉิงไม่เคยมาเลยหรือ” ผู้ติดตามเอ่ยถาม

เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า

ดูแล้วตระกูลเฉิงยิ่งไม่เห็นหัวนางเลยกระมัง…

หรือไม่คิดจะรับกลับไปอยู่แล้ว

“เช่นนั้นก็กลับกับพวกเราก็ได้” ท่านชายหวังสิบเจ็ดรีบเอ่ยบอกพลางทำท่าเหมือนกลัวว่าจะโดนถามต่อจึงรีบเดินจากไป “ถึงเวลานั้นจะเรียกแล้วกัน”

ไม่รอให้เฉิงเจียวเหนียงได้ถามอะไร พวกเขาก็พากันเดินออกไปแล้ว

“ท่านชายขอรับ…”

เหล่าผู้ติดตามที่ตามเขามารีบขวางเขาไว้

“ไม่ต้องรอให้ถึงเวลานั้นแล้วขอรับ เวลานี้ควรจะกลับได้แล้ว” ผู้ติดตามที่อายุมากสุดอมยิ้มบอก

“กู่ป๋อ เจ้ารีบร้อนไปใย” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ย “ข้ายังไม่ได้…”

“ท่านชาย ไม่ว่าท่านจะยังไม่ได้อะไรก็ตาม ต้องไปแล้ว มิฉะนั้นนายใหญ่กับฮูหยินจะมาตามด้วยตัวเองแล้วขอรับ” ผู้ติดตามที่ถูกเรียกว่ากู่ป๋ออมยิ้มบอก

“เช่นนั้นก็ดี ให้ท่านพ่อท่านแม่ได้มาเที่ยวที่เมืองหลวงด้วยเลย” ท่านชายหวังสิบเจ็ดยิ้มบอก

กู่ป๋อมองเขาด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ท่านชาย ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์ขอรับ พวกเราให้ท่านยืดเวลาออกมานานเพียงนี้แล้ว ที่ท่านอยากเล่นอยากดูก็ได้เล่นได้ดูมาหมดแล้ว” เขาเอ่ยพลางหันไปพูดกับคนอื่นๆ ว่า “ไปเช่ารถเช่าม้า”

คนผู้นั้นรับคำแล้วหันหลังไป คนที่เหลือพากันหิ้วปีกท่านชายหวังสิบเจ็ดกลับโรงเตี๊ยม

ท่านชายหวังสิบเจ็ดรู้ดีว่าต่อให้พูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ จึงทำเพียงรับคำ เหล่าผู้ติดตามต่างรีบไปจัดเตรียมการ ทิ้งเขาไว้ที่โรงเตี๊ยมคนเดียว

“ท่านชายหวัง”

มีคนเคาะประตูเรียก

“ชุนหลิง!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนขึ้นด้วยความยินดีเป็นอย่างมาก มองดูสาวใช้ที่เดินเข้ามา

“ท่านชายหวัง เหตุใดเมื่อคืนท่านไม่ไปเล่า แม่นางจูถามหาท่านอยู่” ชุนหลิงเอ่ยถาม

“ข้าไปมาแล้ว แต่เด็กในร้านบอกว่าไม่มีห้องที่ข้าจองไว้” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยบอก “เจ้า…”

“เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าจองไว้ให้แล้ว บอกว่าบอกชื่อข้าก็จะพาท่านไปส่งถึงห้อง…” ชุนหลิงเอ่ยบอกด้วยสีหน้าตกใจเช่นกัน “คนพวกนี้นี่ ไม่คิดเลยว่าจะไม่เชื่อฟังคำข้า ข้าจะไปบอกแม่นางจู…”

นางพูดจบก็หันหลังเดินจากไปด้วยความโมโห

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ท่านชายหวังสิบเจ็ดหายสงสัย แล้วรีบเอ่ยเรียกนางไว้

“ข้าไม่ได้พูดให้ชัดเจน ช่างเถิด ช่างเถิด อย่างไรเสียก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว” เขาบอกพลางยิ้มมองชุนหลิง “แม่นางจูถามหาข้าจริงๆ น่ะหรือ”

ชุนหลิงพยักหน้า

“เจ้าค่ะ…” นางเอ่ยตอบ “ข้ายังบอกอยู่เลยว่าท่านชายจะพาคู่หมั้นไปชมโคม นางก็บอกว่าอยากจะเห็นคู่หมั้นของท่านว่าเป็นสตรีงดงามเพียงใด”

นางเพิ่งจะพูดจบ ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ส่งเสียงฮ่าออกมาแล้วลุกขึ้น

ชุนหลิงตะลึง ตกอกตกใจยกใหญ่ ก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว หรือนางหลุดพิรุธอะไรออกไปแล้ว

“นางรู้ได้อย่างไรว่าคู่หมั้นข้ามีนามว่าเจียวเหนียง ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยถามตาโต

เจียวเหนียงหรือ

ที่แท้นางก็มีนามว่าเจียวเหนียง เฉิงเจียวเหนียง

ชุนหลิงเม้มปากพึมพำ ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มขึ้น

มาไม่เสียเที่ยวจริงๆ

เฉิงเจียวเหนียง…

“ที่แท้ก็เป็นหญิงงามนางหนึ่ง ซ้ำชื่อเสียงเรียงนามก็ดียิ่ง” นางยิ้มแย้มบอก

“อย่าพูดถึงนางเลย หากไม่ใช่เพราะนาง เมื่อคืนข้าก็คงได้พบแม่นางจูแล้ว” ท่านชายหวังสิบเจ็ดโบกมือเอ่ยขึ้น

“เหตุใดเล่า นางไม่ชอบหอเต๋อเซิ่งหรือ” ชุนหลิงเอ่ยถามอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย

“เปล่า ข้าละสายตาจากนางไปครู่หนึ่ง นางก็ไปกับคนอื่นเสียแล้ว ข้าต้องมานั่งตามหา เสียเวลาไปทั้งคืน” ท่านชายหวังสิบเจ็ดส่งเสียงเหอะออกมาพลางเอ่ยบอก

ไปกับคนอื่น…

“ไปกับคนอื่นหรือ ถูกลักพาตัวไปหรือ” ชุนหลิงถามอย่างตกใจ สีหน้าซีดเผือด “ขะ…ข้าก็ถูกลักพาตัวไปถึงได้ถูกขายเช่นนี้…ตอนนี้คนลักพาตัวมีไม่น้อย…นะ…นางไม่เป็นไรกระมัง”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดเห็นนางตกใจจนหน้าซีดหน้าเซียวก็ยิ้มออกมา

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คนผู้นั้นคือลูกพี่ลูกน้องตระกูลท่านลุงของนาง” เขายิ้มบอก แล้วส่งเสียงเฮอะ ออกมาอีก “อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก”

ท่านลุง ลูกพี่ลูกน้อง

ชุนหลิงถอนหายใจออกมา ตบๆ ที่อกตัวเอง

“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ ข้าตกอกตกใจหมด” นางบอก “ที่แท้คู่หมั้นของท่านชายก็มีลุงอยู่ที่เมืองหลวงหรอกหรือ เช่นนั้นคงไม่ธรรมดาน่าดูกระมัง”

“ไม่ธรรมดาอะไรกัน เป็นขุนนางทหารผู้หนึ่งเท่านั้น เรียกอะไรนะ…” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเบะปากเอ่ย เอียงคอนึก “กุยเต๋อหลาง ใช่ กุยเต๋อหลางเจียงตระกูลโจว”

กุยเต๋อหลางเจียง ตระกูลโจว

ชุนหลิงพยักหน้าแล้วจำเอาไว้

“เช่นนั้นต่อไปเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ท่านชายจะมาเยี่ยมญาติที่เมืองหลวงบ่อยๆ หรือไม่เจ้าคะ” นางยิ้มถามด้วยความอาวรณ์ “แบบนี้ จะได้พบกันอีกครั้งได้”

“ถึงจะไม่ได้มาเยี่ยมญาติ ข้าก็จะมาอยู่ดี” ท่านชายหวังสิบเจ็ดสุ่มสี่สุ่มห้าพูดขึ้นว่า “เจ้าบอกกับแม่นางจูว่าปีหน้าข้าจะกลับมาหานางอีกแน่”

“ท่านชายต้องไปแล้วหรือ” ชุนหลิงมองเขาตาปริบๆ

“ใช่ คู่หมั้นข้าโวยวายจะกลับแล้ว” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยบอกพลางแสร้งทำสีหน้าจนใจ

ไม่ว่าอย่างไรก็จะบอกว่าชายอกสามศอกเช่นเขาถูกผู้ติดตามหิ้วกลับบ้านไม่ได้

“เช่นนั้นชุนหลิงขออวยพรให้ท่านชายและท่านหญิงรักกันจนแก่เฒ่าเจ้าค่ะ” ชุนหลิงคุกเข่าลงโขกหัวกับพื้น

“ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดยิ้มบอก “เจ้าอยู่เมืองหลวงต่อเถิด ถึงเวลานั้นข้าจะกลับมาหาเจ้า”

เขาเอ่ยคำป้อยอแสนหวานที่ใช้เอาใจสตรี ให้นางข้างกายแม่นางจูฟังแทนสักสองประโยค

นางเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยความซาบซึ้งแล้วพยักหน้ารับ

ชุนหลิงเดินออกจากโรงเตี๊ยมมา มองดูเงินรางวัลที่ถืออยู่ในมือแล้วมองที่อยู่สำหรับส่งจดหมายที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดเขียนไว้ให้ในมืออีกข้าง สีหน้าซาบซึ้งใจพลันมลายหายไปสิ้น แล้วมีรอยยิ้มเหยียดหยามเข้ามาแทนที่

ขอให้พวกเจ้ารักกันจนแก่จนเฒ่า!

“พี่สาว พี่สาว”

เฉินตันเหนียงวิ่งจนตามทันแม่นางเฉินสิบแปด

“วันนี้เราไปหาแม่นางเฉิงได้หรือยัง”

แม่นางเฉินสิบแปดยื่นมือไปจูงนางไว้

“เมื่อวานก็เพิ่งเจอนางไม่ใช่หรือ” นางถามพลางมองห้องโถงเบื้องหน้า “ไปถามท่านปู่กัน”

เฉินตันเหนียงพยักหน้า สองคนพี่น้องจูงมือกันเดินไปถึงในเรือน เห็นบ่าวรับใช้ของเฉินเซ่าอยู่ก็รีบหยุดฝีเท้าลง

“ท่านพ่ออยู่กับท่านปู่ที่นี่หรือไม่”

บ่าวรับใช้พยักหน้า

“กำลังคุยธุระกันอยู่หรือไม่” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยถามอีก

“ขอรับ คนที่ไปปิ้งโจวกลับมาแล้ว” บ่าวรับใช้เอ่ยตอบ

ปิ้งโจวหรือ

แม่นางเฉินสิบแปดตกใจ

“พี่สาว ปิ้งโจวคือที่ใดหรือ” เฉินตันเหนียงถามขึ้นด้วยความสงสัย

ปิ้งโจวคือ…ที่ที่อารามเต๋าที่เฉิงเจียวเหนียงอุปถัมภ์มานานหลายปีตั้งอยู่

แม่นางเฉินสิบแปดเหม่อมองไปที่ห้องโถงอยู่นานไม่ยอมตอบคำ

ที่นั่นมีข่าวคราวเกี่ยวกับแม่นางเฉิงหรือไม่

เฉินเซ่าผลักจดหมายฉบับหนึ่งออกไป

นายใหญ่เฉินมองจดหมายที่ถูกผลักมาให้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเจือความเสียดายบางๆ

“ตอนที่หาพบ ก็ป่วยระยะสุดท้ายเสียแล้ว” เฉินเซ่าเอ่ยบอก “เฝ้าอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ไม่ดีขึ้น และไร้หนทางที่จะใช้รถพามาถึงเมืองหลวงได้”

“ไม่ได้พูดอันใดเลยหรือ” นายใหญ่เฉินเอ่ยถาม “คนที่ไหน ชื่ออะไรก็ไม่บอกหรือ”

เฉินเซ่าส่ายหน้า

“ไม่พูดอันใดออกมาสักคำ ทุกคนต่างคิดว่ามาหาผิดคนเข้าให้แล้ว แต่เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาเสียก่อน” เขาบอกแล้วชี้ไปยังจดหมายบนพื้น “บอกแค่ว่าให้แม่นางเฉิง เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักแม่นางเฉิง จากนั้นเขาก็หมดลมหายใจไป”

สายตาของนายใหญ่เฉินตกอยู่บนจดหมายฉบับนั้น

คนผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ หากไม่ใช่คนธรรมดาๆ แล้วเหตุใดจึงได้ตกระกำลำบากเช่นนี้

เนื้อความในจดหมายเขียนว่าอย่างไร

เป็นเคล็ดลับฟื้นคืนความตาย หรือว่าคำสอนสุดท้ายก่อนสิ้นลม หรือความลับที่มาที่ไปของอาจารย์เขา

นายใหญ่เฉินยื่นมือออกไป แต่พอสัมผัสจดหมายฉบับนั้นแล้วกลับชะงัก

“เอาไปให้แม่นางเฉิงเถิด” เขาเอ่ยขึ้น ชักมือกลับแล้วยืดตัวขึ้น

……………….