พอท่านชายหวังสิบเจ็ดกลับไป ลานบ้านของเฉิงเจียวเหนียงก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม
จินเกอร์ยังคงตกปลาต่อ ส่วนปั้นฉินก็เข้ามาในห้องโถงหลังจากเสร็จงานในครัว
เฉิงเจียวเหนียงวางหนังสือในมือลง
“นายหญิง” ปั้นฉินลังเลอยู่นานกว่าจะเอ่ยปากออกมา “พวกเราต้องกลับไปแล้วหรือเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เพราะว่าอยู่เมืองหลวงมานานเกินไปแล้วหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถาม
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองนาง ก่อนจะเผยยิ้มบางแล้วพยักหน้าให้
ปั้นฉินเองก็คลี่ยิ้ม จากนั้นก็ก้าวเข้าไปใกล้แล้วยื่นถ้วยชาให้
เฉิงเจียวเหนียงรับถ้วยชาไว้
สายลมยามสารทฤดูโบกพัดเข้ามาในห้องโถง จนกระดิ่งที่แขวนอยู่ริมหน้าต่างส่งเสียง
“เช่นนั้นแล้ว นายหญิงจะแต่งงานกับท่านชายหวังจริงหรือเจ้าคะ” นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา
“ปั้นฉิน เจ้าคิดว่ายามนี้ข้าต้องการอะไรมากที่สุด” เฉิงเจียวเหนียงไม่ตอบแต่กลับเอ่ยถามแทน
ถามนางอย่างนั้นหรือ
นางตอบคำถามไม่เก่งเป็นที่สุด…
ปั้นฉินชะงักไปเล็กน้อย เม้มริมฝีปากล่างท่าทางกำลังครุ่นคิด
พวกท่านชายก็ไปกันหมดแล้ว แม้แต่จอมน่ารำคาญที่เป็นที่พึ่งไปบางครั้งคราวอย่างท่านชายโจวหกก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน ส่วนบ้านตระกูลโจวแม้จะเคารพนับถือกันอยู่แต่ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันขนาดนั้น…
“ต้องการคน” ปั้นฉินตอบหยั่งเชิง
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ต้องการคน ต้องการครอบครัว” นางตอบพลางยื่นมืออกมา
แม้จะเป็นเครือญาติแต่กลับไม่สนิทสนม ก็ไม่ต่างอะไรจากไม่มีครอบครัว
ปั้นฉินพยักหน้า
เพียงแต่ท่านชายหวังสิบเจ็ดผู้นั้นจะเป็นครอบครัวให้แก่นายหญิงได้จริงๆ หรือ
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ
“ครอบครัวที่ข้าต้องการ คือครอบครัวที่แม้จะแตกสลายไปแล้วก็กลับมารวมกันใหม่ได้ตามใจหมาย” นางเอ่ยพลางดึงมือกลับมาแล้วกำแน่น “ครอบครัวนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่ครอบครัว แต่ยังเป็นตระกูลที่สืบเชื้อสายกันมายาวนาน เป็นตระกูลที่ให้คุณประโยชน์แก่ข้าได้ในวันหน้า เขาจึงเหมาะสมนัก”
ปั้นฉินเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ นางรู้เพียงแค่ว่านายหญิงตัดสินใจทำลงไปไม่ใช่เพราะไร้ทางเลือก แต่เป็นความต้องการของตนเอง เพียงเท่านี้นางก็วางใจแล้ว
“ไม่ว่านายหญิงจะอยู่ที่ใด ก็คือครอบครัวของข้าเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงเพียงแค่ยิ้มทว่ากลับไม่ได้เอ่ยคำใด นางวางถ้วยชาลงแล้วหยิบหนังสือขึ้นมา
ปั้นฉินเก็บถ้วยชาอย่างเบามือแล้วออกจากห้องไป
ยามฮูหยินเฉินเซ่ามาเยือนก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินมาเยือนที่เรือน แต่ก่อนมีเพียงลูกหลานอย่างแม่นางเฉินสิบแปดและเฉินตันเหนียงเท่านั้นที่ไปมาหาสู่ การมาเยือนของฮูหยินทำให้สาวใช้ตกใจไม่น้อย นางรีบสั่งให้จินเกอร์ออกไปต้อนรับ ส่วนตนเองก็รีบไปรายงานเฉิงเจียวเหนียง
ฮูหยินเฉินเซ่าไม่ได้เข้ามานั่นในห้องโถง ทว่ากลับยืนจูงมือเฉินตันเหนียงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ตันเหนียงบอกว่าที่นี่มีสนามยิงธนู พวกเราไปดูกันเถอะ” นายเอ่ย
นางกำลังจะหลบเลี่ยงสิ่งใดกัน สาวใช้ทำได้เพียงลุกขึ้นยืนตามในทัน
“เฉินฮูหยินตามข้ามาเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทิ้งปั้นฉินที่ยกชาเข้ามาให้อยู่ในห้อง ก่อนจะพาฮูหยินเฉินเซ่าและเฉินตันเหนียงไปที่ลานหลังบ้าน
ภายในห้องโถงเหลือเพียงเฉินเซ่าและเฉิงเจียวเหนียง ปั้นฉินยกน้ำชาเข้ามาให้ก่อนจะถอยออกไปนั่งคุกเข่าอยู่ริมประตู
“เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนที่ข้าจะขอร้องให้แม่นางช่วยเหลือ พวกข้าได้ส่งคนไปสืบเรื่องราวในอดีตของแม่นางที่ปิ้งโจว” เฉินเซ่าพูดเข้าประเด็นในทันที “ขอแม่นางโปรดยกโทษให้ด้วย”
“เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “หากข้ามีโอกาสก็อยากจะไปสืบดูอยู่เหมือนกัน”
นางพูดถึงเพียงเท่านั้นก็หันมามองเฉินเซ่า
“แล้วใต้เท้า สืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง” นางถาม
เฉินเซ่าหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้แก่นาง
“นี่เป็นจดหมายจากคนที่คาดว่าเป็นอาจารย์ของเจ้า” เขาเอ่ย
ตระกูลเฉินเชื่อมาตลอดว่ามีคนผู้หนึ่งรักษาอาการป่วยให้แก่นางและถ่ายทอดวิชาให้ เรื่องนี้เฉิงเจียวเหนียงเองก็รู้ดี แต่ก็ไม่เคยคิดอธิบาย เพราะนางเองก็ไม่เชื่อว่าจู่ๆ คนเราจะรู้วิชาการแพทย์อันแปลกพิสดารเช่นนี้ได้ด้วยตนเอง ทว่าในใจก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะปั้นฉินที่ติดตามนางมาโดยตลอดกลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ยามนี้เฉินเซ่าตามหาคนผู้เจอแล้ว แถมยังฝากจดหมายมาอีกต่างหาก นางเองก็ตกใจไม่น้อย นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตนเองตอนป่วยเลยแม้แต่นิด คนผู้นั้นมีจริงหรือ ใช่คนที่รักษานางจนหายดีจริงหรือ ทั้งยังถ่ายทอดความทรงจำแสนวุ่นวายนั้นเข้ามาในหัวของนางอีกต่างหาก
ปั้นฉินเองก็ตกใจเช่นกัน
“เขาหน้าตาเป็นอย่างไร” นางถามอย่างอดไม่ได้
“เป็นบัณฑิตอายุสี่สิบกว่าปีได้ เคยตั้งรกรากอยู่ใกล้วัดเต๋า รับสอนหนังสือเด็กๆ ใช้ชีวิตโดยมีชาวบ้านคอยจุนเจือ เขาพอจะมีวิชาแพทย์ติดตัว จึงช่วยรักษาจัดยาให้ชาวบ้านได้บ้าง…” เฉินเซ่าเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองปั้นฉิน
“ใช่เจ้าค่ะ มีคนผู้นี้อยู่จริงๆ ทุกคนเรียกเขาว่าบัณฑิตลู่” ปั้นฉินนึกขึ้นได้จึงเอ่ยออกมาในทันที ท่าทางกำลังนึกย้อนเรื่องราวในอดีต
“ใช่แล้ว ตอนแม่นมป่วย เขาก็เป็นคนหายามาให้”
บัณฑิตลู่รึ ไม่มีคนผู้นี้ในความทรงจำของเฉิงเจียวเหนียงเลยแม้แต่น้อย
“เขาเป็นคนรักษาข้าหรือ” นางถาม
เฉินเซ่าหันไปมองปั้นฉิน
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ เขาไม่ใช่คนแถวนั้น พอแม่นมล้มป่วยเขาเพิ่งจะย้ายมาที่นั่น” ปั้นฉินส่ายหน้า “มาที่วัดเต๋าเพียงแค่หนสองหน ก็เพื่อรักษาแม่นม หลังจากนั้นพออาการป่วยของแม่นมก็ยังไม่หาย เขาก็ไม่ได้มาอีกเลย จนกระทั่งแม่นมเสีย ข้าก็ไม่เคยได้พบเขาอีก เขาอยู่ที่นั้นอีกประมาณหนึ่งปี แต่ก็ไม่เคยรักษาอาการป่วยให้นายหญิงเจ้าค่ะ”
ไม่เคยอย่างนั้นหรือ
แม้แต่สาวใช้ที่ปรนนิบัตินางอย่างใกล้ชิดก็ไม่เคยพบเจอกับคนผู้นั้น เฉินเซ่าประหลาดใจไม่น้อย ก่อนจะหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง
“หรือว่า ข้าอาจจะไม่รู้กระมัง” ปั้นฉินเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนที่เขามารักษาแม่นม นายหญิงเองก็อยู่ในเรือนเช่นกัน บางที่พอเขาเห็นนายหญิง ไม่แน่ว่าอาจบอกกับแม่นมว่าต้องรักษาด้วยยาอะไร”
พอพูดถึงตรงนี้ นางก็เริ่มตำหนิตนเองขึ้นมา
“ตอนแรกแม่นมเป็นคนดูแลนายหญิงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ ข้าช่วยอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิด” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ นางเอื้อมมือไปหยิบจดหมายขึ้นมาก่อนจะจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง
ข้างในนี้จะมีความทรงจำที่หายไปของนางหรือเปล่า
“เช่นนั้นข้าขอตัวลา วันหน้าจะไม่ตามสืบเรื่องของแม่นางอีก แม่นางโปรดวางใจ” เฉินเซ่าเอ่ยก่อนจะยืนขึ้นแล้วเอ่ยลา
เฉิงเจียวเหนียงคำนับกลับ
สาวใช้กลับมาจากส่งฮูหยินเฉินเซ่า ก็เห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงยังคงนั่งอยู่กลางห้องโถง ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้
“นั่นอะไรหรือ” ด้วยความอยากรู้ นางจึงถามปั้นฉินในทันที
“ใต้เท้าเฉินบอกว่าเป็นจดหมายที่อาจารย์ของนายหญิงฝากมาให้” ปั้นฉินเอ่ย
สาวใช้เบิกตาโพลง
“อาจารย์ของนายหญิงอย่างนั้นหรือ” นางถาม
“ข้าเองก็ไม่รู้…” ปั้นฉินตอบอย่างลังเล “เอาเป็นว่ามีคนผู้หนึ่งฝากจดหมายผ่านใต้เฉินมาให้นายหญิงก็แล้วกัน”
สาวใช้ร้องอ๋อขึ้นมา ทั้งสองมองเข้าไปกลางห้องโถง
เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่ในห้องโถงยื่นมือออกไปเปิดจดหมาย
กระดาษถูกคลี่ออก บนนั้นมีเพียงตัวอักษรสามตัว
‘เจ้าคือใคร’
ข้าคือใครกัน ข้าคือใครกัน
เฉิงเจียวเหนียงมองจดหมายแผ่นนั้น ก็รู้สึกราวกับหัวสมองที่เคยเป็นดั่งผิวน้ำอันสงบนิ่งกำลังจะระเบิดออกมา
“นายหญิง รินน้ำชาเพิ่มหรือไม่เจ้าคะ”
สาวใช้เดินเข้ามาพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม มองดูเฉิงเจียวเหนียงที่เอาแต่ก้มหน้าจ้องจดหมายอยู่พักใหญ่
“ขนมที่ข้าทำใหม่ นายหญิงอยากลองชิมไหมเจ้าคะ”
ปั้นฉินก็ถามขึ้นเช่นกัน
“เจ้าทำขนมใหม่หรือ” สาวใช้ถามอย่างประหลาดใจ “คงไม่ใช่ของแปลกประหลาดที่กินไม่ได้อีกแล้วนะ”
“ท่านพี่ ใช่เสียที่ไหนกัน!” ปั้นฉินโวยขึ้น “แปลกประหลาดที่ไหนกัน”
สาวใช้เม้มปากยิ้ม
“นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงว่าขนมที่นางทำคราวก่อนแปลกประหลาดหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามแล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมองพวกนาง
“ข้าคือใครกัน” นางเอ่ยขึ้น
สาวใช้และปั้นฉินชะงักไปครู่หนึ่ง
“เอ๊ะ” พวกนางถามอย่างสงสัย
“ข้าคือใครกัน” เฉิงเจียวเหนียงถามอีกครั้ง
ข้าคือใครกัน
สาวใช้และปั้นฉินต่างตกตะลึง นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
ทั้งสองกำลังจะเอ่ยปากพูด ทว่านายหญิงกลับตาเหลือกแล้วล้มพับลงไปเสียแล้ว
เสียงกรีดร้องของสาวใช้ทั้งสองดังลั่นไปทั่วเรือน
…
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ฮูหยินโจวถามอย่างร้อนรน พลางมองไปทางนายใหญ่โจวที่กำลังจะออกไปข้างนอก
“ได้ข่าวมาว่าป่วยแล้วเป็นลมล้มพับไปน่ะ” เขาตอบพลางเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกไปข้างนอก
“ก็เห็นดีๆ อยู่ เหตุใดถึงเป็นลมล้มพับไปได้” ฮูหยินโจวถาม “นางเป็นหมอเทวดา เหตุใดถึงได้ล้มป่วยเช่นนี้”
“เห็นว่าหลังจากอำมาตย์เฉินมาหาที่เรือนก็เป็นลมไป” นายใหญ่โจวเอ่ย
“อำมาตย์เฉินหรือ!” ฮูหยินโจวตะโกนลั่นแล้วลุกขึ้นยืนในทันที “คงไม่ได้มาล้างแค้นหรอกกระมัง”
“ล้างแค้นอะไรกัน” นายใหญ่โจวขมวดคิ้วถาม
“ล้างแค้นอะไรอย่างนั้นหรือ คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่พวกเรารู้อยู่แก่ใจดี! ช่วงก่อนท่านกับนางผู้นั้นวุ่นวายกันเรื่องอันใดกันอยู่เล่า ไม่ใช่เรื่องทหารหนีทัพพวกนั้นหรอกหรือ ข้าได้ข่าวมาว่า ใต้เท้าเฉินใช้ทหารหนีทัพพวกนั้นเพื่อเล่นงานกิจการทหารทางตะวันตกเฉียงเหนือ และสุดท้ายเป็นอย่างไรน่ะหรือ ทหารพวกนั้นถูกปล่อยตัว เขาลือกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าใต้เท้าเฉินขายหน้าเพียงใด” ฮูหยินโจวเอ่ยน้ำเสียงขุ่นเคือง
นายใหญ่โจวชะงักไป แม้จะไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้กับฮูหยิน แต่เขาก็ไม่เคยเล่าให้นางฟังแต่อย่างใด ทว่านางคงมีแหล่งข่าวของนางเอง แม้จะจริงเท็จปะปนกันไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นจริงเช่นนั้น
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่กับเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่พอเห็นทหารหนีทัพพวกนั้นถูกปล่อยตัว เขาก็รู้ดีว่าต้องเป็นฝีมือของหลานสาวของตนแน่นอน
ครานี้อำมาตย์เฉินคงอับอายมากจริงๆ
หรือว่าเขาจะตามไปเอาเรื่องถึงบ้านอย่างที่ว่า
ฝีเท้าของนายใหญ่โจวชะงักลง
หากเป็นเช่นนั้นจริง นางจะมีปัญญาจัดการอำมาตย์เฉินได้หรือ
เหงื่อเย็นเฉียบผุดไปทั่วกายของนายใหญ่โจว เขาฟาดต้นขาของตัวเองอย่างแรง
บ้าชะมัด นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่!
“ข้าไปดูก่อนก็แล้วกัน ว่าเป็นอย่างไรบ้าง” นายใหญ่โจวพูดจบก็รีบออกไป
………………..