“เจ้าถามนามทางธรรมหรือว่าชื่อแซ่?” เด็กแดงได้ยินเล่อเทียนช่วยพูดให้เขาจึงสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
นักพรตเต๋าเล่อเทียนตอบ “เอ่อ นามทางธรรมแล้วกัน เด็กคนนี้น่ารัก น่าจะไม่ได้ชื่อเด็กแดง?”
“ข้าชื่อเด็กแดง” เด็กแดงเชิดหน้าขึ้น ตอบอย่างโอหัง
“เอ่อ…” นักพรตเต๋าเล่อเทียนตะลึงงัน มองเด็กแดงก่อนมองฟางเจิ้งอีกครั้ง
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ เขาชื่อเด็กแดงจริงๆ”
นักพรตเต๋าเล่อเทียนหัวเราะอีกครั้ง “ก็ดีๆ สุธนกุมารรึ”
นักพรตเต๋าเล่อเทียนเป็นคนอัธยาศัยดี ขณะเดียวกันยังค่อนข้างคุยเรื่อยเปื่อยได้ ดึงฟางเจิ้งไปคุยฟ้าคุยดิน คุยกันอย่างเป็นมิตรมาก
ฟางเจิ้งก็อยากรู้อยากเห็นเรื่องของศาสนาเต๋าเช่นกัน จึงถามไปว่า “นักพรตเต๋า ถ้าอาตมามองไม่ผิด ท่านสวมจีวรปะหรือ?”
นักพรตเต๋าเล่อเทียนหน้าแดง “เป็นจีวรปะจริงๆ ช่วยไม่ได้ ก็จนนี่…จีวรปะหนา ออกไปข้างนอก นั่งที่ไหนก็ไม่ขาด”
ฟางเจิ้งอึ้งงัน นักพรตเต๋าเล่อเทียนยังมีความน่ารักอยู่นิดๆ…ทว่าตั้งแต่โบราณมา จีวรปะเป็นทางเลือกแรกๆ ของนักพรตเต๋าธุดงค์ เหตุผลก็เพราะแบบนี้จริงๆ มันทนทาน!
ฟางเจิ้งกล่าว “วัดเต๋าของนักพรตอยู่ที่ไหนหรือ?”
นักพรตเต๋าเล่อเทียนชี้ไปยังเทือกเขาทงเทียนข้างหลัง “ในภูเขาใหญ่นั่น ไม่เรียกว่าวัดเต๋าหรอก แค่กระท่อมเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นนักพรตแก้ปัญหาเรื่องกินดื่มอย่างไร” ฟางเจิ้งถามอีก
“เพาะปลูกเอง ทอผ้า อยู่ดีกินดี นอนกลางดินกินกลางทราย มีอิสระดี” นักพรตเต๋าเล่อเทียนพูดถึงตรงนี้ ในแววตาเขามีความภูมิใจในตัวเองและหลุดพ้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่พวกจะตายก็ยังรักษาหน้าตา แต่ชอบชีวิตแบบนี้จริงๆ นักพรตเต๋าเล่อเทียนเปลี่ยนน้ำเสียง “หลวงพี่ฟางเจิ้ง อาตมามาครั้งนี้ ความจริงมีเรื่องจะขอร้อง”
เอ่ยถึงตรงนี้นักพรตเต๋าเล่อเทียนหน้าแดง
ฟางเจิ้งเห็นสีหน้านักพรตเต๋าเล่อเทียนแล้วจึงค่อนข้างสนใจ ถามไปว่า “เรื่องอะไร? นักพรตพูดมาได้เลย”
“เอ่อ คือว่า…อาตมาขุดหน่อไม้ของท่านไปเล็กน้อย เอ่อ…เอ่อ…ท่านว่า จะให้อาตมาชดใช้อย่างไร…” นักพรตเต๋าเล่อเทียนหน้าแดงกว่าเดิม
ฟางเจิ้งตะลึงงัน ขุดหน่อไม้เขา? หรือว่านักพรตเต๋าเล่อเทียนขึ้นเขามาขุดแล้ว? ทำไมหมาป่าเดียวดายกลับมาถึงไม่บอก? หรือว่ามันหนีงาน?
ฟางเจิ้งอึ้งไปครู่หนึ่ง นักพรตเต๋าเล่อเทียนคิดว่าฟางเจิ้งไม่สบอารมณ์นิดๆ จึงเอ่ยด้วยความเขินอายสุดจะทนกว่าเดิม “ตอนแรกอาตมาไม่รู้ว่ามีเจ้าของ เห็นหน่อไม้โตไปถึงตีนเขา มีหมูป่าขุดกินเลยขุดตามสองหน่อ ต่อมาถึงรู้ว่าหน่อไม้นี่มาจากหมู่บ้านเอกดรรชนี ตอนแรกไปพบผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ยแล้ว แต่เขาบอกว่าหน่อไม้เป็นของท่าน ดังนั้น…”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออก นักพรตรูปนี้น่ารักซื่อตรงจริงๆ จึงพูดยิ้มๆ “นักพรตเต๋าไม่ต้องเกรงใจ ถึงหน่อไม้นั่นจะมาจากที่ของอาตมา แต่ในเมื่อเติบโตไปแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นของอาตมาคนเดียว ถ้าท่านชอบกินก็ขุดกินได้ ไม่ต้องคิดมาก”
“เอ่อ? แต่ว่า…อืม…ไม่มีเจ้าของจริงๆ หรือ?” นักพรตเต๋าเล่อเทียนถาม
ฟางเจิ้งยิ้ม “จริงแน่นอน แต่ว่าจากนี้จะเป็นของหมู่บ้าน แน่นอนว่าถ้าท่านอยากกินก็ยังขุดกินได้”
นักพรตเต๋าเล่อเทียนยิ้มทันที “ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็วางใจ พูดจริงๆ นะ หน่อไม้นี่อร่อยจริงๆ”
ฟางเจิ้งโบกมือ ลิงหยิบหน่อไม้บนยอดเขาเข้ามา ฟางเจิ้งพูด “อันนี้ดีกว่า นักพรตเต๋าเอาไหม?”
แต่สิ่งที่ฟางเจิ้งคาดไม่ถึงคือนักพรตเต๋าเล่อเทียนส่ายหน้า “ไม่เอาแล้ว”
ฟางเจิ้งถามด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ?”
“ใต้หล้ามีของดีนับไม่ถ้วน ไฉนต้องเอาทั้งหมด? รู้จักพอดีจะมีความสุข ท่านมองฟ้านี่ ผืนฟ้าครามเข้มสวยเพียงใด น่าเสียดาย บางคนมองทุกวันกลับรู้สึกว่ามันก็ไม่เท่าไร ต้องให้พวกเขาอยู่เมืองใหญ่ที่มีเมฆหมอกฟ้าสลัวสักพักถึงจะรู้ว่าอะไรคือความงดงาม” เล่อเทียนพูดจบก็ยืนขึ้นกล่าว “สายแล้ว อาตมาไม่รบกวนหลวงพี่แล้ว ถ้าว่างๆ ก็ไปเยี่ยมวัดเต๋าของอาตมาหลังภูเขาได้ ถึงจะยากจนอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นที่ที่สวยงาม”
ฟางเจิ้งยืนขึ้น “แน่นอน อ้อ ขอเสียมารยาทถามหน่อยว่าในเทือกเขาทงเทียนยังมีผู้บำเพ็ญเพียรท่านอื่นอีกไหม?”
“มี เทือกเขาทงเทียนไม่มีคนจากทางโลกรบกวน เงียบสงบเป็นมงคล มีข้าวของอุดมสมบูรณ์ และยังมีคนบำเพ็ญเพียรข้างในอีกเล็กน้อยด้วย ตามที่อาตมารู้ว่าคือมีครูสอนหนังสือคนหนึ่งเรียกตัวเองว่าศิษย์ของนักปราชญ์ขงจื๊อ สร้างกระท่อมอาศัยอยู่ข้างใน” นักพรตเต๋าเล่อเทียนกล่าว
ฟางเจิ้งตกใจอยู่ภายในใจ เมื่อก่อนเขาไม่รู้เรื่องนี้เลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาคิดว่าภูเขาเอกดรรชนีคือเขตที่อยู่ชายแดนสุดแล้ว เข้าไปข้างใน นอกจากหมีดำ หมาป่าแล้วก็ไม่มีอะไรอีก แต่ไม่นึกเลยว่ายังมีคนเข้าไปบำเพ็ญเพียรข้างในร่องหุบเขา
ส่งนักพรตเต๋าเล่อเทียนแล้ว ในใจฟางเจิ้งเริ่มสั่นคลอน ดูแล้วจากนี้หากมีเวลาก็ควรจะไปเที่ยวเล่นที่เทือกเขาทงเทียน
“อาจารย์ พวกเราคือพุทธสาวก ไม่มีเรื่องอะไรแล้วจะไปคุยกับนักพรตเต๋าจมูกโคนั่นนานขนาดนี้ทำไม?” เด็กแดงข้างๆ ถามด้วยความไม่เข้าใจ
ฟางเจิ้งถามกลับ “ทำไมถึงคุยไม่ได้?”
“เรานับถือพุทธศาสนา เขานับถือเต๋า เต๋าต่างกันจะหารือกันร่วมกันไม่ได้ พออยู่ด้วยกันมันแปลกๆ” เด็กแดงตอบ
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “นายคิดมากไปแล้ว นับถืออะไรไม่สำคัญ คนดีก็พอ อีกอย่างตั้งแต่โบราณมา ขงจื๊อ พุทธศาสนาและเต๋าก็ไม่ได้มีการโต้แย้งกันมากขนาดนั้น กลับกัน ต่างฝ่ายต่างหลอมรวมกันมาก”
“จริงหรือ? พวกท่านมีความเชื่อต่างกันยังอยู่รวมกันได้?” เด็กแดงอยากรู้อยากเห็นจริงๆ แล้ว
ฟางเจิ้งพาเด็กแดงออกจากประตูใหญ่วัด เดินไปพลางถามไปพลาง “ถ้าอย่างนั้นนายลองบอกความต่างกันอย่างละเอียดมา มีตรงไหนต่างกันบ้าง?”
เด็กแดงเม้มปาก ขมวดคิ้ว ถึงเขาจะเป็นราชาปีศาจ แต่ไม่เคยเดินในใต้หล้า ดังนั้นความรู้จึงไม่ถือว่ามาก แต่ก็ยังเป็นชนรุ่นหลังของตระกูลที่มีชื่อเสียง เลยยังรู้ความรู้ทั่วไปบ้าง เด็กแดงตอบ “ขงจื๊อ พุทธศาสนาและเต๋าที่ท่านว่ามีวิธีการบำเพ็ญเพียรที่ต่างกัน”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ลัทธิขงจื๊อฝึกเจิ้งชี่[1] พุทธศาสนาฝึกเหอชี่[2] ลัทธิเต๋าฝึกชิงชี่[3] สามฝ่ายล้วนฝึกพลังชี่[4] สุดท้ายเจิ้ง เหอ ชิง ชี่สามอย่างนี้มีวิธีการต่างกันแต่จุดมุ่งหมายเดียวกัน หล่อหลอมเป็นร่างกาย แสวงหาพลังชี่ของฟ้าดิน?”
เด็กแดงเงียบกริบ ก่อนเอ่ยทันที “ถะ…ถ้าอย่างนั้นก็ต่างกันไม่ใช่หรือ? หัวใจสำคัญต่างกัน”
“ทำไมถึงต่างกัน? วิถีของลัทธิขงจื๊อเล่าว่าต้องมีจิตใจ ‘ชอบธรรม’ วิถีของลัทธิเต๋าบอกว่าเป็นธรรมชาติ จิตใจแห่งการ ‘ขัดเกลา’ พุทธศาสนาแสวงหาการฝึกฝนจิตใจแห่ง ‘ความชัดแจ้ง’ จิตใจแห่งความชอบธรรม ขัดเกลาและชัดแจ้งสามอย่าง สิ่งที่แสวงหาไม่ใช่เจตนาเดิมหรือ? ในพุทธคัมภีร์ไม่ได้กล่าวว่ากีดกันของจากวิถีอื่นๆ กลับกัน เขาเห็นถึงจุดที่น่าชื่นชมไม่น้อย อีกอย่างมีหลายสิ่งมากที่ขงจื๊อ พุทธศาสนาและเต๋าเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ได้คิดโต้แย้งอย่างที่ชาวโลกคิดมากขนาดนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรแท้จริงไม่ได้แสวงหาชื่อเสียงของชาวโลก แต่ศึกษาซึ่งกันและกันและได้รับจากกันและกัน ตระหนักเจตนาเดิม แสวงหาการหลุดพ้นจิตใจ จะไปมีกลอุบายอะไรพวกนั้นได้อย่างไร? คนที่คิดใช้กลอุบายอาจจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรที่แท้จริง”
…………………….
[1] เจิ้งชี่ หมายถึงความชอบธรรม
[2] เหอชี่ หมายถึงความอ่อนโยน
[3] ชิงชี่ หมายถึงความบริสุทธิ์
[4] พลังชี่ หมายถึงลมปราณ