หยางหวาเบะปาก “ท่านเศรษฐีคงคาดไม่ถึง จะบอกให้ ไม่ใช่หนึ่งหน่อ แต่หนึ่งจิน!”
“อะไรนะ? หนึ่งจินร้อยหยวน? พระเจ้า หน่อไม้พวกเราแต่ละหน่อใหญ่ๆ ทั้งนั้น เท่ากับว่าหน่อหนึ่งขายได้สองสามร้อยหยวนเหรอ?” มีคนร้องด้วยความตกใจ
หวังโอ้วกุ้ยตาเปล่งประกาย!
หยางผิงตอบ “ถูก หน่อหนึ่งได้หลายร้อยหยวน! ข้ามเรื่องนี้ไปก่อน หน่อไม้ธรรมดาจากภาคใต้มีราคาอยู่ราวๆ หนึ่งจินแปดเก้าหยวน ดีหน่อยก็ขายได้สิบถึงยี่สิบหยวนต่อหนึ่งจิน แต่หน่อไม้พวกเราดีกว่าทุกด้าน ดังนั้นการขายหลายสิบหยวนต่อหนึ่งจินจึงไม่ใช่ปัญหา! แต่ข้าวโพดที่พวกเราปลูกหนึ่งจินกี่หยวน? ห้าเหมา? หกเหมา? ถ้าผมจำไม่ผิด ปีก่อนจินละสองถึงสามเหมานี่? ผมจะไม่คำนวณราคาให้ทุกคน ทุกคนมองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว และยังมีเรื่องที่สำคัญมาก นั่นคือสินค้าแปรรูปจากหน่อไม้ก็จะล้ำค่าเหมือนกัน หน่อไม้แห้ง หน่อไม้ดองเป็นต้น…หน่อไม้ใช้เวลาโตเต็มวัยหนึ่งปีถึงตัดมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ เสื่อเย็นหรืออื่นๆ…นั่นคือเงินทั้งนั้น! ไผ่หนาวพวกเราสวยกว่าหน่อไม้ที่ขายข้างนอกเยอะมาก…ว้าว…พูดไม่ได้แล้ว แค่คิดๆ ก็เป็นเงินทั้งนั้น”
หยางผิงบรรยายอย่างสวยหรูจนทุกคนดวงตาเปล่งประกาย
ถานจวี่กั๋วเอ่ยเช่นกัน “นอกจากนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีป่าไผ่ ป่าไผ่พวกเราจึงหายาก เจ้าอาวาสฟางเจิ้งไม่ห้ามให้พวกเราไปขุดหน่อไม้บนยอดเขาวันละร้อยหน่อไม่ใช่เหรอ? ฉันว่าขายพวกนี้ไปหน่อยก็ดี! ขายหน่อไม้พวกนั้นนิดๆ หน่อยๆ ถือเป็นการโฆษณา ถ้าอยากกินหน่อไม้ดีที่คาดหวังก็ต้องมากินที่หมู่บ้านเอกดรรชนีเรา ชมป่าไผ่ กินหน่อไม้! หมู่บ้านเราจะได้พัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อน!”
“อันนี้ดี!”
ทุกคนหาต่างแสดงความคิดเห็นกันใหญ่ ไม่นานก็เจาะลึกออกมาเป็นระบบเศรษฐกิจที่เป็นวงล้อมต้นไผ่ จากนั้นดำเนินการ ทว่าหมู่บ้านไม่มีเงิน นี่คือความเสียหายจากภายนอก ดีที่ตอนนี้หยางหวาเป็นเศรษฐีแล้ว ลูกชายเฉินจินก็มีเงินทองอยู่บ้าง ถ้าระดมพลกันทั้งหมู่บ้าน เหมือนว่าทุกอย่างจะไม่ใช่ปัญหา…
ช่วงเวลาต่อมา เมื่อวางทิศทางใหม่อย่างมั่นคงแล้ว พวกชาวบ้านไม่ขายหน่อไม้บนยอดเขาแล้ว อยากกิน? ได้ มากินที่หมู่บ้าน!
ผลคือดึงดูดให้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่มากินหน่อไม้กันโดยเฉพาะ มีคนได้ยินว่าหน่อไม้มาจากบนเขาจึงขึ้นเขาไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไปเจอวัดเอกดรรชนีเลยแวะเข้าไปไว้พระ…
ช่วงนี้แสงธูปวัดเอกดรรชนีสว่างไสวอีกครั้ง
ฟางเจิ้งมองวัดเอกดรรชนีที่มีคนไปๆ มาๆ พลางยิ้มมีความสุข “ทำอย่างไรได้อย่างนั้นจริงๆ ดีกับคนก็ดีกับตัวเอง อมิตาพุทธ…”
ส่วนคนจากตีนเขาจะรบเร้าอย่างไรฟางเจิ้งไม่สนใจแล้ว เขาไม่ใช่นักธุรกิจ แต่สวดมนต์อย่างสงบ แก้ไขปัญหาให้คนเล็กน้อยก็พอ แน่นอนว่าคนที่มาถามส่วนใหญ่คือจะขุดหน่อไม้ไปได้สักสองต้นไหม หรือไม่ก็ล่ามโซ่ให้หมาตัวนั้นได้ไหม?
กระทั่งมีนักท่องเที่ยวเอาโซ่เหล็กอันใหญ่มา กลัวว่าฟางเจิ้งจะไม่มีไอ้นี่ใช้…
เย็นวันนั้นหมาป่าเดียวดายเลิกงานกลับมาก็เห็นโซ่เหล็กจึงโกรธร้องโวยวายเสียงดัง มันสาบานว่าถ้ามันอยู่ ใครก็อย่าหวังขุดหน่อไม้ของบ้านมัน!
ฟางเจิ้งเพียงแค่ยิ้มๆ กับเรื่องนี้ หมาป่าเดียวดายทำงานอย่างสุดความสามารถ แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี
แต่วันนี้ฟางเจิ้งต้อนรับแขกพิเศษท่านหนึ่ง เวลานี้ท้องฟ้าสว่างเล็กน้อย ญาติโยมคนอื่นยังไม่มา ฟางเจิ้งเปิดประตูไม่นานก็มีคนกระโดดเข้าไปในวัดเอกดรรชนี ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์
ฟางเจิ้งมองออกมาจากในอุโบสถพลันอึ้งอยู่กับที่ คนที่มาคือนักบวชเต๋ารูปหนึ่ง!
คนนี้สวมเสื้อคลุมกว้าง แขนเสื้อใหญ่ ส่วนหน้าของเสื้อยาวไปถึงน่องขา เย็บผ้าเนื้อหยาบหลายชั้น ดูเก้งก้างหนักและหนาอย่างเห็นได้ชัด ไว้เคราแพะ ในใบหน้าหล่อเหลามีการหลุดพ้นหลายส่วน โบกมือพลางแหงนหน้ามองต้นโพธิ์ ทำเสียงจิ๊ๆ ว่า “มีต้นไม้แปลกอยู่ที่นี่จริงๆ เกิดทางใต้ โตทางเหนือ นี่ถือว่ารนหาที่ตายหรือว่าปล่อยตามใจตัวเองกันแน่? ฮ่าๆ…”
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ ท่าน ต้นไม้นี้เป็นสายพันธุ์ที่แปลกมากจริงๆ ถือว่ารนหาที่ตายเถอะ”
นักพรตเต๋าอึ้ง ไม่นึกเลยว่าหลวงจีนรูปนี้จะพูดแบบนี้ จึงหัวเราะเบาๆ “ขอให้เป็นสุขอย่างหาที่สุดมิได้ อาตมานักพรตเต๋าเล่อเทียนผู้เชื่อมกับเต๋าโดยตรง หลวงพี่ท่านชื่ออะไร?”
“อาตมาฟางเจิ้งแห่งวัดเอกดรรชนี” ฟางเจิ้งเห็นอีกฝ่ายไม่บอกฐานะตน เขาย่อมไม่กล้าพูด จะได้ไม่ให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาใช้ฐานะข่ม
นักพรตเต๋าเล่อเทียนยิ้ม “ที่แท้ก็หลวงพี่ฟางเจิ้ง หลวงพี่มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล อาตมาได้ยินมานานแล้วเลยมาเยี่ยมเยือนโดยเฉพาะ…อืม…ไม่กะทันหันไปใช่ไหม?” ก่อนหน้านี้นักพรตเต๋าเล่อเทียนยังมีท่าทีเคร่งขรึม พริบตาเดียวเผยความซุกซนของเด็กน้อยหลายส่วน
เห็นดังนั้นฟางเจิ้งอดหัวเราะไม่ได้ เขารู้ว่าศาสนาเต๋าแสวงหานิสัยของทารกที่คลอดใหม่ ต่างกับพุทธศาสนาทุกอย่าง ทว่าฟางเจิ้งก็ต่างกับพุทธสาวกส่วนใหญ่ อย่างน้อยเขาก็เป็นพวกที่ไม่ทำตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ อีกทั้งเขามีความเป็นไต้ซือดั้งเดิมไม่มากจริงๆ
ฟางเจิ้งยิ้ม “ไม่กะทันหัน…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี มีน้ำไหม? อาตมารีบมาเลยกระหายเล็กน้อย ขอดื่มน้ำได้ไหม?” พูดจบนักพรตเต๋าเล่อเทียนชำเลืองตามองพระเวทโพธิสัตว์ตรงปากประตูแวบหนึ่ง รู้ว่าที่นี่ไม่ดูแลนักบวชธุดงค์
ฟางเจิ้งพยักหน้าก่อนเดินไปตักน้ำให้ที่ห้องครัวด้วยตัวเอง
นักพรตเต๋าเล่อเทียนรับมายกขึ้นดื่มหมด ก่อนร้องด้วยความตกใจ “บ่ะ…อร่อยมาก! อร่อยมาก! อร่อยจริงๆ! หลวงพี่ฟางเจิ้ง วัดนี้ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ ดีกว่าวัดเต๋าของอาตมาเยอะมาก น้ำก็อร่อยมาก”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “นักพรตเต๋ามาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ว่างๆ เลยออกมาเที่ยวเล่น มองฟ้า มองดิน มาเดินเล่นเท่านั้น” ระหว่างที่นักพรตเต๋าเล่อเทียนกำลังพูดอยู่นั้นก็เห็นแสงทองสว่างอยู่ไกลๆ จึงยิ้มอย่างมีความสุข “ดวงตะวันขึ้นฟ้าแล้ว จิ๊ๆ สวยจริงๆ”
“นักพรตเต๋าไม่เคยเห็นตะวันขึ้นฟ้าหรือ?” ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว แค่ตะวันขึ้นฟ้าเอง เห็นครั้งแรกก็คงตกใจในความงาม พอนานเข้ามันจะอะไรขนาดนั้น?
ไม่คาดคิดเลยว่านักพรตเต๋าเล่อเทียนจะส่ายหน้า “มองทุกวัน แต่มองไม่พอ ท่านมองดอกไม้ หญ้าและต้นไม้ จิ๊ๆ มันสวยจังเลย” ขณะพูดอยู่นี้ นักพรตเต๋าเล่อเทียนเผยความสง่างาม ทั้งตัวดูเหมือนมาพร้อมกับวงแหวนความสุข มองอะไรก็มีความสุขไปหมด ราวกับว่าทุกเรื่องราวธรรมดาๆ มีความโดดเด่นในตัวเองเมื่ออยู่ในสายตาเขา
ฟางเจิ้งมองเล่อเทียนเหมือนมีความคิด
ตอนนี้เองเด็กแดงออกมาแล้ว มองนักพรตเต๋าเล่อเทียนแล้วแค่นเสียงขึ้นจมูก “จมูกโค[1] มาจากไหนกัน…”
เล่อเทียนอึ้งไป ฟางเจิ้งอึ้ง รีบกล่าว “จิ้งซิน อย่าเสียมารยาท ยังไม่ขอโทษอีก!”
เด็กแดงไม่พอใจมาก ไม่สบอารมณ์ ไม่อยากขอโทษ นักพรตเต๋าเล่อเทียนเห็นแบบนั้นจึงหัวเราะเสียงดัง “หลวงพี่ฟางเจิ้งอย่าถือโทษเลย อาตมาเป็นจมูกโคจริงๆ เด็กน้อยพูดความจริง ไม่ใช่คำโกหก ไม่มีอะไรต้องตำหนิ เด็กน้อย เธอแต่งตัวน่าสนใจ ชื่ออะไรเรา?”
ฟางเจิ้งตะลึงงัน ยิ่งมองนักพรตเต๋ารูปนี้ก็ยิ่งรู้สึกต่างออกไป โดยเฉพาะคำพูดนั้นที่ว่าไม่ใช่คำโกหก ไม่มีอะไรต้องตำหนิ ขอเพียงอีกฝ่ายพูดจากใจจริง เอ่ยความจริง…ก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรต้องตำหนิจริงๆ แต่ว่านี่ถือเป็นการด่าคน หรือว่าจะไม่เอาเรื่อง? ฟางเจิ้งไม่เข้าใจเล็กน้อย
………………………………………….
[1] จมูกโค เป็นคำดูหมิ่นนักพรตเต๋า เพราะเมื่อก่อนนักพรตเต๋าจะไว้ผมสูงเหมือนกับจมูกโค