ตอนที่ 298 เอื้อผลชาวบ้าน

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงขมวดคิ้ว เป็นอย่างที่ระบบว่าไว้จริงๆ จะถ่ายทอดคัมภีร์กันง่ายๆ ไม่ได้ จะแจกจ่ายของมั่วซั่วไม่ได้! ไม่อย่างนั้นไม่เพียงแต่ไม่มีค่า แต่ยังสร้างปัญหาเยอะ

ดังนั้นวันที่สองฟางเจิ้งจึงวางป้ายไว้ว่าห้ามขุดหน่อไม้บนยอดเขา!

คนจากแปดหมู่บ้านสิบลี้ตอนนี้ใครบ้างไม่รู้ว่าฟางเจิ้งเป็นใคร? ทุกคนได้ยอมรับฟางเจิ้งเป็นนักบวชมหัศจรรย์นานแล้ว ฟางเจิ้งบอกว่าห้ามขุด พวกชาวบ้านจึงไม่ขุดทันที ทว่านักท่องเที่ยวไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น ยังคงไปขุดกัน แม้แต่ป้ายของฟางเจิ้งยังไม่รู้เลยว่าถูกใครดึงออกแล้วโยนทิ้งไป

ฟางเจิ้งจนปัญญา จึงเตะหมาป่าเดียวดายทีหนึ่ง “จิ้งฝ่า นายต้องออกโรงแล้ว”

หมาป่าเดียวดายมองฟางเจิ้งด้วยความขมขื่นในใจ เวลาทำเรื่องไม่ดีมักเป็นมันตลอด…ตอนที่โยนความผิดก็เป็นมันอีก ทำไมชีวิตมันถึงขมขื่นแบบนี้!

หมาป่าเดียวดายหอนไปทีหนึ่งก่อนพุ่งทะยานไป นั่งยองอยู่ข้างป่าไผ่ ขอเพียงมีคนเข้าใกล้ไผ่หนาว มันจะแยกเขี้ยวทำท่าทางกระหายเลือดทันที ในที่สุดพวกนักท่องเที่ยวก็ตกใจกลัว

แต่ว่า…

“เจ้าหมา กินซาลาเปาสิ เราเป็นเพื่อนสนิทกันนะ ฉันจะขุดหน่อไม้สักสองหน่อโอเคไหม?”

“เจ้าหมา กินกระดูกสิ กระดูกติดเนื้อนะ”

“น่องไก่ไหม…”

ทว่าหมาป่าเดียวดายชำเลืองตามองพวกเขาด้วยสีหน้ามองคนปัญญาอ่อน ก่อนกวาดกระดูกติดเนื้อ น่องไก่และซาลาเปากลับไปอย่างไม่เกรงใจ หมาป่าเดียวดายไม่ใช่หมาโง่ ผีก็รู้ว่าในนั้นมียาพิษหรือไม่ ขืนกินไปแล้วท้องร่วงหรือตายล่ะจะทำอย่างไร? จะต้องระวังคนเอาไว้ไม่ใช่หรือ…

ทุกคนใช้ทุกวิถีทาง ติดสินบนก็ไม่สำเร็จ เลยล้มเลิกด้วยความจำใจ

ห้ามขุดหน่อไม้บนเขา แต่หน่อไม้อร่อยแบบนี้จะไปเอาจากไหน? มีคนสนใจที่หลังภูเขา ทว่าหน่อไม้ที่ขุดมาแม้จะอร่อยกว่าในตลาด ทว่ายังห่างชั้นกับบนยอดเขา เวลานี้มีแต่เสียงต่อว่าไปทั่ว แต่มีคนฉลาดพลันเบนเป้าหมายไปที่ตัวชาวบ้านหมู่บ้านเอกดรรชนี ชาวบ้านเหล่านี้อาจจะมีหน่อไม้บนยอดเขาไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงเริ่มมีคนเข้าไปซื้อที่หมู่บ้าน หน่อละสิบหยวน ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็ดีใจ นี่ได้ราคากว่าขายข้าวเยอะ

หวังโอ้วกุ้ยได้ยินว่ามีคนเข้ามาในหมู่บ้านจะซื้อหน่อไม้ในราคาสูงจึงหารือกับหยางผิง พลันรู้สึกว่าในนี้มีโอกาสสร้างผลประโยชน์ครั้งนี้ เลยพาหยางผิงไปเรียกรวมชาวบ้านทุกคน ให้ทุกคนอย่ารีบร้อนขาย พวกเขาจะไปสำรวจราคาในตลอดก่อน จากนั้นค่อยตัดสินราคาร่วมกันส่งขายออกข้างนอกอีกที

พวกชาวบ้านย่อมเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นตนขายถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้

ฉะนั้นหยางผิงเลยศึกษา หวังโอ้วกุ้ยนั่งอยู่ตรงหน้าฟางเจิ้ง ผิวแทนเค้นรอยยิ้มจนหน้าเป็นรอยจีบ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านดูสิ หน่อไม้นี่…”

ฟางเจิ้งวางชามในมือลง ยิ้มเรียบๆ “ประสกก็เห็นแล้วว่าอาตมาไม่สนใจว่าทุกคนจะไปขุดหน่อไม้ที่ไหน แต่คนมากเกินไป หน่อไม้ก็มีจำกัด ถ้าขุดแบบนี้ต่อไปจะทำลายราก อีกอย่างจะทำลายความสงบบนภูเขาด้วย…”

“ผมรู้ ท่านว่าแบบนี้โอเคไหม ทุกวันหมู่บ้านเราจะส่งคนมาขุดเล็กน้อย ส่วนจะขุดได้เท่าไรท่านกำหนดได้เลย จากนั้นพวกเราเอาลงไปขาย เพิ่มรายได้ให้กับพวกชาวบ้านเป็นไง?” หวังโอ้วกุ้ยหยั่งเชิงถาม

ฟางเจิ้งยิ้ม “ประสก ประสกว่าทำไมหน่อไม้บนเขาถึงเป็นที่นิยมกันขนาดนี้ล่ะ?”

“มันอร่อย! ผมลงทุนไปซื้อหน่อไม้จากทางใต้กับนำเข้าที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาเลย รสชาติต่างกันราวฟ้าดิน เทียบกับหน่อไม้พวกเราแล้ว เอาเข้าปากไม่ได้เลย ทุกคนไม่ใช่คนโง่ ถ้าคนในเมืองกินหน่อไม้พวกเราแล้ว ใครจะไปกินหน่อไม้พวกนั้น” หวังโอ้วกุ้ยพูดอย่างมีเหตุผล

ฟางเจิ้งถามต่อ “แล้วทำไมหน่อไม้ตรงตีนเขาจะสู้หน่อไม้ข้างนอกไม่ได้?”

หวังโอ้วกุ้ยมึนงง พอตรึกตรองดีๆ ถึงหน่อไม้ตรงตีนเขาจะสู้บนยอดเขาไม่ได้ แต่เทียบกับหน่อไม้ข้างนอกแล้ว รสชาติก็ยังดีกว่ามาก!

ฟางเจิ้งกล่าว “ประสก หน่อไม้บนภูเขามีจำกัด หน่อไม้ตรงตีนเขาเติบโตเป็นผืน ทำไมประสกต้องกลัดกลุ้มเพราะหน่อไม้ไม่กี่หน่อบนเขาด้วย? ไม่มีหน่อไม้บนเขาแล้ว ถ้าโยมเหล่านั้นอยากกิน ก็คงจะไม่ซื้อหน่อไม้ตรงตีนเขาแล้ว”

หวังโอ้วกุ้ยตบเข้าที่หน้าผาก พูดยิ้มๆ “โอ สมองผมนี่ มัวแต่คิดว่าหน่อไม้บนยอดเขาดี แต่ดันลืมแผนธุรกิจใหญ่ๆ แบบนี้ไปได้! เอ่อ…เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง หน่อไม้บนเขานั่นให้ไม่ได้เลยจริงๆ เหรอ?”

ฟางเจิ้งยิ้ม “วัดอาตมามีอยู่ไม่กี่คน จะกินได้เท่าไร? ถ้าประสกอยากได้ก็ขึ้นเขามาขุดลงไปได้วันละหนึ่งร้อยหน่อ มากกว่านี้จะทำลายผืนป่า” ฟางเจิ้งคำนวณแล้ว ด้วยความเร็วในการเติบโตของไผ่หนาว ขุดวันละร้อยหน่อไม่น่าจะส่งผลเสียหายต่อป่าไผ่ ขณะเดียวกันจะได้ขวางไม่ให้ไผ่หนาวเติบโตเร็วเกินไปด้วย ถึงต้นไผ่จะดี แต่ถ้าเติบโตมากเกินไปก็อาจจะไม่ดีนัก

หวังโอ้วกุ้ยได้ยินแบบนั้นพลันยิ้มร่าเริง คิดคำนวณในหัวอย่างรวดเร็ว จากนี้หมู่บ้านไม่ทำอย่างอื่นแล้ว แต่จะขายหน่อไม้! ทว่าจะขายหน่อไม้บนเขาง่ายๆ ไม่ได้ หลังจากบรรจุอย่างดีที่สุดแล้วจะทำเป็นของขวัญชั้นยอดส่งออกไปขาย อีกไม่นานหมู่บ้านเอกดรรชนีคงได้หลุดพ้นจากความยากจน?

แต่หวังโอ้วกุ้ยก็รู้ว่าอนาคตอันสวยงามมาจากวัดเอกดรรชนีทั้งหมด มาจากฟางเจิ้ง จึงเอ่ยขึ้นว่า “หลวงพี่ฟางเจิ้งวางใจเถอะ ท่านดีกับหมู่บ้าน หมู่บ้านจะต้องตอบแทนเป็นเท่าตัว รอได้เงินมาแล้ว ผมจะช่วยท่านสร้างวัดใหม่!”

ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ พวกโยมดูแลอาตมาตอนเด็ก นั่นคือบุญคุณ ตอนนี้ก็แค่ทดแทนคุณไม่ใช่หรือ เป็นเพียงเหตุและผลเท่านั้น ประสกอย่าใส่ใจ”

หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะเสียงดัง “มันคนละเรื่องกันสิ ตอนนั้นควรดูแลท่านอยู่แล้ว เอาเถอะ ไม่พูดแล้ว ผมจะลงเขา ต้องคิดเรื่องนี้ให้ดีๆ”

เอ่ยจบ หวังโอ้วกุ้ยก็วิ่งไปด้วยท่าทีรีบร้อน คนอายุสี่สิบกว่าแต่เหมือนเด็กเล็ก

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ หลายปีมานี้นี่ถือว่าเขาได้ช่วยอะไรหมู่บ้านบ้าง จัดการเหตุและผลในอดีต ตอนนี้จึงค่อนข้างพอใจ…

ส่วนหมู่บ้านจะหาเงินอะไรนั้น ฟางเจิ้งไม่คิดมาก ถึงอย่างไรระบบก็ไม่ให้เขาทำการค้าขาย ไผ่หนาวอยู่ในมือเขาก็คือไผ่ ไปอยู่กับชาวบ้านยังช่วยคนได้ด้วย เสร็จสิ้นเหตุและผล ทำไมจะไม่ดีใจล่ะ?

หวังโอ้วกุ้ยลงเขาไปหาถานจวี่กั๋ว รอจนหยางผิงกลับมาแล้วจึงเรียกรวมคนที่มีความสามารถในหมู่บ้าน เล่าถึงแผนการยิ่งใหญ่ของตน ในเมื่อหน่อไม้สร้างรายได้มากขนาดนี้ พวกเขายังต้องปลูกข้าวโพดดำนาธรรมดาอีกหรือ? แค่ดูแลป่าไผ่อย่างเดียวก็พอ ป่าไผ่ใหญ่ขนาดนั้น แถมดูจากท่าทางแล้วยังขยายไปได้ต่อ…

“ฉันว่าโอเค ถึงยังไงประเทศก็ส่งเสริมให้คืนที่นาสู่ป่า พวกเราคืนที่นา คืนให้ป่าไผ่ ถือว่าได้ตอบรับคำร้องจากประเทศด้วย อีกอย่างไผ่หนาวโตเร็ว ยิ่งต้นใหญ่ น้ำหนักมาก ราคายิ่งสูง ดีกว่าปลูกพืชเศรษฐกิจธรรมดาเยอะ” ถานจวี่กั๋วมองจากมุมนโยบายของประเทศก่อน

หยางผิงกล่าว “ที่สำคัญคือราคา! พวกอารู้ไหมว่าพ่อค้าหน้าเลือดในอำเภอซงอู่สร้างกระแสหน่อไม้จากยอดเขาเอกดรรชนีไปราคาสูงเท่าไรแล้ว?”

ทุกคนส่ายหน้า

หยางผิงยื่นออกมานิ้วเดียว “ราคานี้!”

“หน่อละร้อยหยวน?” เศรษฐีใหม่หยางหวาถาม

…………………