ตอนที่ 149 ผู้ที่มีจิตใจชั่วร้าย
“ดึกดื่นป่านนี้แล้ว จะไปไหน?” แม้แต่แม่นางเหลียนยังนอนไม่หลับและกําลังทํางานเย็บปักถักร้อยอยู่ข้างเตียง
“ท่านพ่อกรนเสียงดัง ทำให้ข้านอนไม่หลับ” หยุนเชวี่ยก้มตัวลงและยกรองเท้าขึ้น “ข้าจะไปหาเหอยาโถว”
“เขายังไม่นอนหรือ?”
“คงยัง เพราะได้เวลาทำงานแล้ว” หยุนเชวี่ยผลักประตูพร้อมโบกมือ “ท่านแม่ ข้าไปแล้ว”
“วิ่งเข้าเมืองทั้งวัน ไป ๆ มา ๆ หลายสิบลี้ ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยบ้างหรืออย่างไร” แม่นางเหลียนส่ายหน้าขณะมองรองเท้าในมือที่ใกล้จะเสร็จด้วยแววตาฉายแววปวดใจ
“ครอบครัวเราต้องขอบคุณเชวี่ยเอ๋อ” หยุนเยี่ยนไม่ได้หลับและกำลังหันหน้าไปเปิดม่านพลางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ข้าเองก็ช่วยอันใดไม่ได้เลย”
“เชวี่ยเอ๋อเป็นเด็กแก่นแก้วและชอบวิ่งออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก ส่วนนิสัยของเจ้านั้นอ่อนโยน การที่เจ้าช่วยดูแลบ้านให้เรียบร้อย ข้าที่เป็นแม่ย่อมมีความสุขแล้ว” ใบหน้าของแม่นางเหลียนเผยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ และเมื่อหันหน้าไปมองบุตรชายคนเล็กที่กำลังหลับสนิทรอยยิ้มนั้นยิ่งกว้างขึ้น “ยังมีเสี่ยวอู่ที่อ่านออกเขียนได้ แม้แต่หวังหลี่เจิ้งยังชมเชย!”
ทุกวันนี้เหลียนซื่อรู้สึกพอใจแล้ว แม้จะมีเงินไม่มาก แต่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องคอยระวังความรู้สึกของผู้ใดอีก
ลูกทุกคนมีกินอิ่มท้องและเห็นบุตรสาวค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างงดงาม ผู้เป็นแม่ย่อมดีใจเป็นธรรมดา
“ต่อไปเจ้าต้องมีชีวิตที่สุขสบาย ต้าหวังขยันขันแข็งอีกทั้งยังเอาการเอางาน เมื่อเอ่ยถึงบ้านเขาข้าก็วางใจ…” แม่นางเหลียนบ่นพลางคิดถึงบุตรสาวคนรองด้วยดวงตาที่หรี่ลงจนเห็นริ้วรอยบนใบหน้า “เจ้าบอกว่าน้องสาวเจ้ากับเหอยาโถวสนิทสนมกันมากและไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดจนแทบจะตัวติดกัน…”
“ท่านแม่ ท่านคิดจะทําอันใด? เชวี่ยเอ๋ออายุยังน้อยอยู่เลย” หยุนเยี่ยนพูดไม่ออก เนื่องจากมารดาผู้อื่นล้วนต้องการเก็บบุตรสาวเอาไว้กับตนเองอีกสักสองปี เหตุใดท่านแม่ของนางถึงคิดแต่เรื่องที่จะแต่งพวกนางสองพี่น้องออกไปเล่า?
“อย่ามองว่านางยังเด็ก ที่แท้นางคือสตรีที่มีใจนักเลงใจผู้หนึ่ง!” แม่นางเหลียนปิดปากขณะแอบหัวเราะ “ข้าเห็นว่าเหอยาโถวก็ไม่เลว แม้จะเหมือนสตรีมากไปสักหน่อยแต่หน้าตาเรียบร้อยดี มิหนำซ้ำจิตใจยังงดงาม แล้วอีกอย่างอาสะใภ้เหอของเจ้าอยู่ใกล้พวกเรา ต่อไปจะต้องปฏิบัติต่อเชวี่ยเอ๋อเหมือนลูกสาวในไส้อย่างแน่นอน…”
ยิ่งคิดนางเหลียนยิ่งมีความสุขทำให้อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ตระกูลอู๋อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ส่วนตระกูลเหอนั้นอยู่ใกล้กว่า พอออกจากประตูใหญ่ก็เลี้ยวไปและอ้อมมาย่อมถึงแล้ว ต่อไปบุตรสาวทั้งสองจะอยู่ใกล้ชิดตัวเองแม้จะแยกเรือนไป มันจะดีมากเพียงใดหากทําอาหารอร่อยแล้วยกไปให้ขณะที่ยังคงร้อนอยู่
หยุนเยี่ยนพูดไม่ออก “ข้าคิดว่าเหอยาโถวคงไม่สามารถปราบพยศเชวี่ยเอ๋อได้อย่างแน่นอน”
“คงมีไม่กี่คนที่สามารถยับยั้งนิสัยของเชวี่ยเอ๋อได้ ขอเพียงทั้งสองคนมีชีวิตที่ดี เรื่องอื่นไม่ต้องใส่ใจ ฮ่าฮ่าฮ่า”
แม่นางเหลียนตกอยู่ในห้วงแห่งความหวังอันแสนวิเศษ นางหัวเราะยกยิ้มจนร่างกายสั่นเทา
หยุนเยี่ยนจึงได้แต่นอนอยู่ข้างเตียงอย่างจนปัญญา เนื่องจากไม่ว่าจะมองอย่างไรเหอยาโถวคงเป็นได้เพียงลูกสมุนตัวน้อยของหยุนเชวี่ยเท่านั้น
หยุนเชวี่ยเปิดดูอาหารในหม้ออีกครั้งและพลิกดูตะกร้าอยู่นาน ทว่าพบแต่ขนมเปี๊ยะชิ้นเดียว เนื่องจากตอนเที่ยงหยุนลี่เต๋อกับคนขายเนื้อแซ่อู๋ดื่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อยดังนั้นอาหารจึงหมดเกลี้ยง
เมื่อไม่มีทางทางเลือกอื่น หยุนเชวี่ยจึงเก็บขนมเปี๊ยะที่เหลือไว้ในอ้อมแขน เนื่องจากเห็นว่ามีน้อยย่อมดีกว่าไม่ได้กินอันใดเลย
ตอนที่หยุนเชวี่ยออกไป บังเอิญพบกับแม่นางจ้าวที่สวมหมวกไม้ไผ่ขนาดใหญ่บังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่งและยกคางขึ้นมองนาง
“ท่านป้าใหญ่จะไปที่ใดหรือ?”
“จะไปที่ใดได้อีก? ข้าต้องลากหมูออกไปน่ะสิ! ครอบครัวนี้ไม่มีผู้ใดต้องแบกรับปัญหาหนักเช่นข้าอีกแล้ว!” แม่นางจ้าวกล่าวอย่างไม่พอใจ
แม่นางจ้าวยังคงโกรธเคืองอยู่เรื่องที่ถูกหยุนชิ่วเอ๋อทําร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่ใช่เพราะต้องอยู่ในบ้านนี้ นางจะรับคําสั่งดังกล่าวได้อย่างไร?
“แล้วจะลากไปที่ใด?” หยุนเชวี่ยอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าจะถามให้มากความเพื่ออันใด ข้าเพียงทำตามคำสั่งเจ้าของบ้านเท่านั้น!” แม่นางจ้าวอารมณ์เสียขณะบิดเอวเดินนําหน้าไป
พวกเขาขายหมูป่วยอย่างไร้มโนธรรม?
หยุนเชวี่ยเบ้ปากด้วยความเข้าใจ หากหมูป่วยเป็นโรคทั่วไป เนื้อหมูที่ปรุงด้วยความร้อนสูงย่อมไม่สามารถทำให้ผู้ที่บริโภคเสียชีวิต แต่อาจมีคนบางคนโชคร้ายที่กินแล้วอาเจียนคลื่นไส้จนถึงชักได้
จะว่าไป เรื่องนี้คือการหลอกลวงผู้คน หากไม่มีปัญหาตามมาคงไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดเรื่องร้ายขึ้น ทางฝั่งที่สูญเสียย่อมต้องเรียกร้องค่าทำขวัญ
หยุนเชวี่ยตระหนักว่าสิ่งที่ตนเองพูดออกไปย่อมไร้ประโยชน์ แม้จะพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยความปรารถนาดี แต่คงถูกมองว่ามีเจตนาร้าย จึงได้แต่มองดูแม่นางจ้าวก้าวเท้าเดินตรงไปยังทางเข้าหมู่บ้าน
บ้านตระกูลเหอ
เมื่อหยุนเชวี่ยเดินไปข้างหน้า ปรากฏว่าอีกฝ่ายมาถึงแล้ว
เหอยาโถวทําหน้าเหมือนตื่นนอนเมื่อไม่นานมานี้ ขณะผมร่วงหล่นลงมาบนไหล่และหาวด้วยดวงตาสะลึมสะลือ
“บ้านเจ้ายังมีอันใดให้กินหรือไม่?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ
“มีสิ หมั่นโถวที่กินตอนเที่ยงยังเหลืออยู่แต่มันคงแห้งหมดแล้ว เกิดอันใดขึ้น เจ้าหิวรึ?” เหอยาโถวลากรองเท้าเข้าไปในครัวพลางกล่าวว่า “เอาเป็นว่า ข้าจะหาของว่างให้เจ้ากินสักหน่อย”
“หมั่นโถวก็พอแล้ว” หยุนเชวี่ยเดินตามเข้าไป
ห้องครัวของตระกูลเหอมีรูปแบบคล้ายกับบ้านของนาง โดยด้านหนึ่งเป็นเตา ส่วนอีกด้านเป็นห้องครัวขนาดใหญ่ แต่สะอาดสะอ้านและเปิดโล่งกว่าบ้านของนางมาก
สำหรับหม้อและกระทะ มีดหั่นผัก และขวดน้ำส้มสายชูกับกระปุกใส่เกลือล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งไม่เหมือนกับแม่นางเฉินที่เตามีชั้นคราบน้ำหนาฉาบอยู่ ทำให้รู้ว่าคนผู้นี้ทำความสะอาดครัวตามใจตัวเอง หากแม่เฒ่าจูไม่คอยดุด่า ห้องครัวย่อมถูกนางทําให้เป็นคอกหมูได้
“ในหม้อนี้มีข้าวต้มที่ยังอุ่นอยู่ ข้าจะตักใส่ชามให้” เหอยาโถวเปิดตู้ออก
“ไม่ต้องวุ่นวายหรอก เพราะไม่ใช่ข้าที่จะกิน”
“เอาไปให้คนผู้นั้น?” เหอยาโถวเชิดคางขึ้นพร้อมชี้ไปด้านหลัง “วันนี้บ้านข้าไม่มีอันใดเหลือ เอาหมั่นโถวไปให้สองลูกก็พอแล้ว”
จะกินดีอันใดนักหนา? หมั่นโถวสองลูกก็นับว่าเพียงพอแล้ว ใช่ว่าอาหารการกินในหมู่บ้านจะมีอันใดมากนัก
“นี่สําหรับคนผู้นั้น” เหอยาโถวกลอกตาโดยไม่มีความกระตือรือร้นเหมือนก่อนหน้านี้พร้อมยกตะกร้าขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงดีกับเขานัก?”
“ช่วยชีวิตเขาแล้วจะทนดูเขาหิวตายได้อย่างไร?” หยุนเชวี่ยเลือกหมั่นโถวสองลูกซึ่งดูเหมือนจะนิ่มที่สุดด้วยรอยยิ้มกว้าง “ขอบคุณมาก”
“หากจะขอบคุณก็ควรเป็นเขา แต่อย่าลืมบอกด้วยว่าเขากินหมั่นโถวแป้งขาวของบ้านข้า!”
“ได้ ข้าจะบอกให้เขาระลึกถึงบุญคุณอันใหญ่ของเจ้า!”
“ข้าไม่อยากใส่ใจเขานัก…”
“เช่นนั้นข้าไปก่อนแล้ว!”
“ระวังตัวด้วยนะ” เหอยาโถวส่งนางไปที่ประตูอย่างเกียจคร้าน แต่ทันใดนั้นเขาดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายแล้วเอ่ยถามอย่างงุนงง “เชวี่ยเอ๋อ เจ้าว่าคนผู้นั้นหน้าตาดีหรือไม่ เจ้าชอบเขาหรือ?”
หยุนเชวี่ยทำเพียงกระพริบตาปริบ ๆ
“เจ้าอย่าให้เขาหลอกได้ แม้แต่เขาเป็นผู้ใด ชื่อแซ่อันใดหรือบ้านทําอันใดพวกเราก็ไม่รู้ แล้วถ้าเขามิใช่คนดีเล่า?” เหอยาโถวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“…”
“ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่า เด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นั้นเป็นคนใจร้าย รู้หน้าไม่รู้ใจ เจ้าต้องระวังตัวให้มาก! จําได้หรือไม่?”
หยุนเชวี่ย…