ตอนที่ 150 แผนการอันลึกซึ้งของเจ้าหมาป่าน้อย
บนภูเขาซึ่งอยู่ทางด้านหลัง
ยามสายลมพัดผ่านภูเขามาทำให้รู้สึกสดชื่น ขณะที่หยุนเชวี่ยกําลังเล่นหินเกลือสีแดงอยู่ก็อดที่จะครุ่นคิดไม่ได้
หินก้อนนี้มาอยู่ในตะกร้าของนางได้อย่างไร?
หยุนเชวี่ยเพียงขึ้นไปบนภูเขาซึ่งอยู่ทางด้านหลังและอยู่ในถ้ำนั้นแค่เพียงครู่เดียว หรือว่าจะเป็นสืออีผู้นั้น?
หากหินเกลือก้อนนี้มาจากภูเขาด้านหลัง ย่อมหมายความว่าบนภูเขามีเหมืองเกลือซ่อนอยู่ หรือว่า… ภูเขาทั้งลูกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าคือเหมืองเกลือขนาดมหึมา?
ทันใดนั้นดวงตาของหยุนเชวี่ยพลันสว่างไสวเป็นประกายขึ้นมา…
หากเป็นเช่นนั้นจริง ต่อไปคงจะไม่ใช่แค่หมู่บ้านไป๋ซีของพวกเขาแล้ว แม้แต่หมู่บ้านโดยรอบคงจะกลายเป็นมหาเศรษฐี!
ในสมัยโบราณตอนที่เสบียงค่อนข้างขาดแคลน การเฝ้าระวังเหมืองเกลือและเหมืองเงินย่อมไม่น้อยหน้าเช่นกัน
หยุนเชวี่ยยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้นขณะจิตวิญญาณแทบจะโบยบินออกไปจากร่าง
จนกระทั่งได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างหอมโชยมาจากทางภูเขา
ปลายจมูกของหยุนเชวี่ยขยับทันทีพร้อมมุดออกมาจากพุ่มไม้เพื่อตามกลิ่นนั้นไป
สิ่งที่เห็นคือสืออีนั่งอยู่หน้าถ้ำและกำลังใส่กิ่งไม้เข้าไปในกองไฟแต่ไม่รู้ว่ากําลังย่างสิ่งใดอยู่
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ดังขึ้นจากบริเวณพงหญ้า สืออีจึงเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาดอกท้อคู่หนึ่งที่หางตาโค้งงอราวกับตะขอ “เชวี่ยเอ๋อ เจ้ามานี่เร็วเข้า!”
“เจ้ามีความสามารถมาก” เมื่อหยุนเชวี่ยเดินเข้ามาใกล้จึงมองเห็นได้ชัดเจนว่า บนกองไฟมีไก่ป่าตัวหนึ่งถูกย่างจนเหลืองอร่ามและพร่างพรายไปด้วยน้ำมัน
เมื่อกลัวว่าเจ้าหมอนี่จะกินไม่อิ่ม หยุนเชวี่ยจึงไปขอหมั่นโถวสีขาวนวลสองลูกจากเหอยาโถว แต่สืออีกลับมีไก่ย่างแสนอร่อยกิน!
“ฮี่ฮี่ ข้าคำนวณเวลาดูแล้ว ทำให้รู้ว่าเจ้าน่าจะมาแล้ว!” สืออีหยิบไก่ป่าย่างสีเหลืองทองหนังกรอบขึ้นมาพลางโบกมันไปบริเวณปลายจมูกของหยุนเชวี่ยพร้อมยกคิ้วขึ้นอย่างลําพองใจ “หอมหรือไม่?”
หยุนเชวี่ยกลอกตามองบนก่อนจะเดินเข้าไปในถ้ำและหยิบใบไม้ขนาดใหญ่ขึ้นมาพัด “เจ้ามีความสามารถถึงเพียงนี้ ต่อไปข้าคงไม่ต้องเอาของกินมาให้เจ้าอีกแล้ว”
เส้นทางบนภูเขามีความคดเคี้ยวอย่างมากดังนั้นการเดินทางไปกลับจึงใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม มิหนำซ้ำยังต้องอดทนต่อแสงแดดอันร้อนแรง ร้อนผ่าวจนเหงื่อออกเปียกชุ่มไปทั้งตัว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมดีแล้ว เพราะไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดอาหาร ยังทำให้ไม่เหน็ดเหนื่อยด้วย
“คงไม่ดีกระมัง!” สืออีประจบประแจงตามหลังหยุนเชวี่ยไป “หากเจ้าไม่สนใจข้า ข้าคงกลายเป็นคนป่าบนภูเขานี้มิใช่หรือ?”
ทันทีพูดจบแล้วเขารีบดึงน่องไก่ออกมาเป่าไปสองรอบก่อนจะยื่นไปตรงหน้าหยุนเชวี่ยด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ “ข้าให้”
“ข้าไม่ชอบน่องไก่ ข้าต้องการปีกไก่”
“ฮี่ฮี่ ได้” สืออีคาบน่องไก่ไว้ในปากอย่างว่าง่าย แล้วดึงปีกใหญ่ออกมาจากตัวไก่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หยุนเชวี่ยมองอีกฝ่ายพลางพองไว้ในปากขณะรับมันมาอย่างรังเกียจและยกนิ้วขึ้นดึงเนื้อปีกออกวางบนใบไม้ โดยเหลือไว้เพียงส่วนปลายปีกที่จะแทะไว้
หยุนเชวี่ยเป็นคนเรื่องมากสำหรับการกิน และเห็นว่าบริเวณที่เนื้อหนามากเกินไป ความร้อนในการย่างอาจไม่ทั่วถึง ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่อร่อยเท่ากับส่วนที่บางเฉียบที่สุด
สืออีนั่งลงด้านข้างนางพร้อมกัดน่องไก่คําหนึ่งหรี่ตามองหญิงสาวที่ค่อย ๆ แทะปลายปีกไก่อย่างพิถีพิถัน แม้แต่เนื้อบนกระดูกยังไม่หลงเหลือไว้แม้แต่น้อย
“เจ้ามองอันใด?” หยุนเชวี่ยเลียมุมปาก เปลือกตากระตุกขึ้นเล็กน้อยขณะดวงตาของหยุนเชวี่ยเผชิญหน้ากับดวงตาที่กำลังยั่วยวนของอีกฝ่าย
“เชวี่ยเอ๋อ เหตุใดเจ้าถึงไม่กินตรงเนื้อด้วยเล่า?”
“ข้าฉันไม่ชอบกินเนื้อ” หยุนเชวี่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
“…” สืออีหลุบตาลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจซึ่งเกิดขึ้นมาในฉับพลัน
เมื่อมีความคิดว่าหยุนเชวี่ยดีกับตนเองและสงสารเขามากจึงต้องการให้เขากินเนื้อมากขึ้น ถึงกับจงใจบอกว่าไม่ชอบกิน…
หญิงสาวที่ดีเช่นนี้ ต่อไปข้าจะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดี ไม่ให้หญิงสาวได้รับความคับข้องใจ ด้วยเหตุนี้ทำให้สืออีเกิดความประทับใจยิ่งนัก และซึ้งใจจนแทบจะร้องไห้!
สืออีถือไก่ย่างพลางจ้องมองหยุนเชวี่ยโดยไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใดออกมา ทว่าหัวใจของเขากำลังเต้นระรัว ขณะไม่รู้ว่าหยุนเชวี่ยเพียงชอบแทะส่วนปลายของปีกไก่อย่างแท้จริงหรือไม่
“เชวี่ยเอ๋อ ต่อไปข้าจะออกไปหาเงินซื้อเนื้อให้เจ้าและจะซื้อให้เจ้ากินทุกวัน”
หยุนเชวี่ยดูดนิ้วตนเอง “มีเงินแล้วต้องกินเนื้อทุกวันเลยหรือ!”
“แล้วเจ้าอยากกินอันใด?”
“กุ้งก้ามกราม ปูจักรพรรดิ คาเวียร์ รังนก สิ่งที่มีราคาแพงทุกอย่างข้ากินได้หมด!”
“…” สืออีฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจแต่กลับไม่เข้าใจ จึงทำเพียงพยักหน้า “เช่นนั้น เจ้าอยากกินอันใดข้าจะซื้อให้”
“ประจบสอพลอ” หยุนเชวี่ยชําเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหยิบหินเกลือโปร่งแสงออกมาจากอกเสื้อ “เจ้าเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนหรือไม่?”
“หินก้อนนี้ไม่เห็นจะงดงามสักนิด” สืออีไม่ใส่ใจ “ต่อไปข้าจะซื้อหยกให้เจ้าใส่จนเขียวชอุ่มไปทั้งตัว”
“เจ้าเข้าใจอันใดบ้าง! เจ้ารู้หรือไม่ของพวกนี้มันมีประโยชน์มาก?” หยุนเชวี่ยกลอกตาแล้วถามอีกรอบ “เจ้าเคยเห็นหินที่มีลักษณะเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?”
“ดูเหมือนว่า…จะเคยเห็นมัน” สืออีกล่าวด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
หญิงสาวมักจะชอบเครื่องประดับมิใช่หรือ? เชวี่ยเอ๋อไม่ต้องการมันก็ไม่เห็นต้องดุเขาถึงเพียงนี้?
“นึกออกแล้ว?!” หยุนเชวี่ยกระโดดขึ้นมาจากพื้น “เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่ใส่มันลงในตะกร้าของข้า?”
สืออีรู้สึกตกใจกับการแสดงออกของหญิงสาวและอดไม่ได้ที่จะหดตัวถอยหลังขณะส่ายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่ใช่จริง ๆ”
สืออีไม่ได้โง่เขลา เหตุใดต้องบอกว่าตนเองโยนก้อนหินลงไปในตะกร้าของผู้อื่นด้วย?
“แล้วเจ้าไปเจอมันที่ใด?” หยุนเชวี่ยเม้มปากแน่นขณะดวงตากลมโตสีดําสนิทจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย
“ข้าขอคิดดูก่อน…” สืออีทําให้หญิงสาวเผยท่าทีประหม่า “ถึงอย่างไรมันก็ดูคุ้นตา ข้าจะลองนึกดู…”
สิบห้านาทีต่อมา
หยุนเชวี่ย “นี่ เจ้านึกออกแล้วหรือยัง? ไม่มีอันใดผิดปกติกับสมองของเจ้าใช่หรือไม่?”
“ใกล้นึกแล้ว เจ้าอย่าด่วนใจร้อน อีกประเดี๋ยวคงคิดได้แล้ว” สืออีที่อยู่ด้านข้างใช้มือข้างหนึ่งค้ำศีรษะตนเองอย่างเกียจคร้านพลางหันหน้าไปมองหยุนเชวี่ยพร้อมหรี่ดวงตาลงครึ่งหนึ่ง
ตอนนั้นหยุนเชวี่ยวาดรูปวงกลมลงบนพื้นอย่างเบื่อหน่าย
“เชวี่ยเอ๋อ แม่ของเจ้าหมั้นหมายผู้ใดให้กับเจ้าหรือยัง?” ดูเหมือนสืออีจะเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ยัง ข้าอายุเพียงเท่าใดเอง” เชวี่ยเอ๋อตอบตามตรง “แต่พี่สาวข้ามีคู่หมายแล้ว และเขาเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกับเรา”
“อ๋อ เจ้ายังอายุน้อยอยู่ อีกสักสองถึงสามปีคงยังไม่สาย”
“อืม… ไม่ต้องพูดแล้ว รีบคิดเร็วเข้า!”
หลังจากนั้นไม่นาน
“เชวี่ยเอ๋อ ที่บ้านเจ้ามีพี่สาวอยู่อีกหรือ? แล้วนางหมั้นหมายกับคนแบบใดกัน?” สืออีหลุบตาลงราวกับต้องการเก็บซ่อนดวงตาจากแสงแดดในยามบ่ายของฤดูร้อน
“เขาเป็นลูกชายของลุงอู๋ในหมู่บ้านเรา รูปร่างสูง คิ้วหนา ตาโต และเป็นคนดีมาก” หยุนเชวี่ยหาวอย่างเกียจคร้าน
มุมปากของสืออีโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “แล้วในอนาคตเจ้าอยากได้สามีเช่นไร?”
“ต้องเป็นคนที่มีจิตใจดี และต้องหน้าตาดีด้วย…”
แม้หยุนเชวี่ยจะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่ถึงอย่างไรสองข้อนี้ย่อมเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดสําหรับลูกสะใภ้ในหมู่บ้านที่มักจะพูดคุยกันว่า สิ่งสำคัญในการแต่งงานกับชายหนุ่มคือการกินดีอยู่ดีและได้แต่งตัวงดงาม ทว่าในความคิดของหยุนเชวี่ยกลับแตกต่างออกไปเพราะนางสามารถหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวได้ ต่อไปหากมีเงินแล้วจะให้แต่งตัวงดงามเท่าใดย่อมทำได้
สืออียกมือลูบคางโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่ด้านข้างไม่มีอ่างน้ำ มิฉะนั้นเขาต้องรีบส่องดูตนเองว่ามีลักษณะเช่นนั้นหรือไม่
“เชวี่ยเอ๋อ…”
“เจ้ายังนึกไม่ออกอีกรึ เดี๋ยวพระอาทิตย์จะตกดินแล้วนะ!”
“อย่าด่วนใจร้อนไป เดี๋ยวข้าจะไปส่งเจ้าที่เชิงเขา”
“มิต้องหรอก ข้ามีขาเดินไปเองได้!”
ผ่านไปอีกสักพัก…
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าคิดว่าเด็กผู้ชายคนนั้นที่อยู่กับเจ้าหน้าตาดีหรือไม่?”
“นับว่าใช้ได้เลยทีเดียว เหอยาโถวเป็นเด็กหนุ่มที่โดดเด่นประจำหมู่บ้านไป๋ซีของเรา… แต่ข้าว่า วันนี้เจ้าพูดมากเกินไป ข้าชักจะรำคาญแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่แหละเดี๋ยวข้าจะเดินกลับไปเอง!”