บทที่ 282 ขู่ให้คุกเข่า!
บทที่ 282 ขู่ให้คุกเข่า!

“อืม นายคงมุ่งอยู่แต่กับเรื่องทำธุรกิจจนไม่ได้สนใจข้อมูลเกี่ยวกับพวกแก๊งต่าง ๆ ในเมืองสินะ แต่ก็ไม่แปลก เอาเป็นว่าถ้านายไม่รู้ งั้นฉันจะเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ก็แล้วกัน”

จากนั้น โจวเฟยหู่ก็บอกข้อมูลทุกอย่างที่สำคัญในโลกใต้ดินของเมืองฮ่วยอันให้ฟังแบบคร่าว ๆ และปิดท้ายด้วยการบอกข่าวที่น่ากังวลใจในตอนนี้

“ตอนนี้แก๊งฉลามคลั่งร่วมมือกับหลิ่วอวี้จิงแล้ว และตอนนี้พวกมันเริ่มที่จะโจมตีแก๊งของฉันแล้วด้วย!”

ปัญหานี้กวนใจโจวเฟยหู่มาหลายวัน และเขาก็ไม่สามารถแก้มันได้ด้วยตัวเอง

ความขัดแย้งระหว่างเขาและอีกฝ่ายนับวันชักเริ่มจะหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ หลายวันที่ผ่านมา แก๊งวาฬยักษ์และแก๊งฉลามคลั่งเปลี่ยนแผนของตัวเองจากที่ในตอนแรกนิ่งเฉยรอเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว ตอนนี้กลับกลายเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีไปเรื่อย ๆ อย่างไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม ยังโชคดีที่แก๊งวาฬยักษ์และแก๊งฉลามคลั่งยังไม่เปิดการโจมตีเต็มรูปแบบ ไม่เช่นนั้นแก๊งพยัคฆ์เวหาคงเสียหายอย่างร้ายแรงไปแล้ว

ด้วยความต่างของจำนวนคน มันจึงไม่มีโอกาสเลยที่โจวเฟยหู่จะต้านทานได้นาน

อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากฟังจบ จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อฝั่งนั้นร่วมมือกันไปแล้วเราคงแก้ไขอะไรไม่ได้ เอาเป็นว่าจากนี้หากมีการปะทะกันหนัก ๆ โทรมาหาฉัน ฉันจะไปช่วยทันทีเมื่อถึงเวลา”

อวี้ฮ่าวหรานจำเป็นต้องช่วยเหลืออีกฝ่าย ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้แก๊งพยัคฆ์เวหาถูกกำจัดได้ เขายังจำเป็นต้องให้คนเหล่านี้ช่วยงานในหลาย ๆ อย่าง

“นี่นายตกลงจะช่วยเหลือฉันจริง ๆ งั้นเหรอ?”

โจวเฟยหู่ถามกลับด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

ก่อนที่จะมา เขาเตรียมคำพูดโน้มน้าวเอาไว้มากมายเผื่อว่าอวี้ฮ่าวหรานจะไม่ตกลง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเอ่ยปากช่วยเหลือเขาเองโดยที่ตัวเองไม่ได้ขอก่อนด้วยซ้ำ

สิ่งนี้ทำให้โจวเฟยหู่ดีใจมาก

“ใช่ โทรมาแล้วฉันจะไปช่วย” อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าอีกครั้ง

“ถ้างั้น…ถ้างั้น…ฉันขอขอบคุณนายมากจริง ๆ ที่ช่วยเหลือแก๊งของฉัน!” โจวเฟยหู่ขอบคุณด้วยสีหน้าตื้นตัน แต่แล้วเขาก็นึกถึงอีกเรื่องหนึ่งออกและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “จริงด้วย! เกือบลืมไปเลย ก่อนหน้านี้ หวังเหยียนเห็นหัวหน้าของแก๊งทั้งสองนั่นมาที่บริษัทของนาย นับจากนี้นายคงต้องระวังเอาไว้ให้ดี ฉันเชื่อว่าไอ้สองคนนั่นมันจะต้องเล่นงานนายด้วยแน่”

“มาที่บริษัทของฉัน?”

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่แล้วหลังจากครุ่นคิดได้สักพักหนึ่ง เขาก็ละเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

ในความคิดของอวี้ฮ่าวหราน ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องมากังวลกับเรื่องนี้ให้มากนัก ปล่อยให้ไอ้พวกนั้นกระโดดเข้ามาหาเขาเองจะดีกว่าเพื่อที่จะได้จัดการพวกมันทีเดียวให้จบ ๆ ไป

ด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีแผนอะไรมันก็เป็นแค่เรื่องตลก

หลังจากคุยกันไปได้อีกสักพัก โจวเฟยหู่ก็โล่งใจขึ้น ด้วยการช่วยเหลือของอวี้ฮ่าวหราน เขาไม่จำเป็นต้องกลัวฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไปแล้ว!

เมื่อพูดคุยกันจบ โจวเฟยหู่ก็จากไปทันที

ขณะนี้สถานการณ์ของแก๊งพยัคฆ์เวหาอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาจะประมาทไม่ได้

หลังจากสามโมงเย็น อวี้ฮ่าวหรานออกจากบริษัทและไปรับถวนถวน ตามปกติ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถไปถึงโรงเรียนสอนเปียโน แต่เมื่อเขาเข้าไปด้านในห้องโถง เขาก็พบว่าลูกสาวของตัวเองกำลังร้องไห้อยู่!

“เกิดอะไรขึ้น!”

อวี้ฮ่าวหรานรีบเดินเข้าไปหาถวนถวนอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ฮือ…ถวนถวน…ฮือ…คนไม่ดี…คนนั้นผลักถวนถวน…”

ถวนถวนร้องไห้พลางชี้นิ้วไปที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนัก

ในทางกลับกัน เด็กผู้ชายที่ถูกชี้นิ้วใส่ไม่ได้แสดงสีหน้ารู้สึกผิด เขาตะโกนขึ้นเถียงทันที

“เงียบไปเลย! ฉันแค่แตะเธอนิดเดียวเอง เธอจะร้องไห้ทำไมเยอะแยะ น่าไม่อาย!”

เด็กชายเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดเลยสักนิด

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้คิดจะใส่ใจอะไรเด็กชายตัวกะเปี๊ยกนั่น แต่เมื่อเขาเห็นแผลข่วนเล็ก ๆ ที่แขนของถวนถวน ซึ่งมีเลือดไหลซิบ ๆ ดวงตาของเขาฉายแววโกรธขึ้นมาทันที

เขาจ้องเขม็งไปที่เด็กชายซึ่งยังคงแสดงสีหน้าอวดดี จนเด็กชายรู้สึกกลัวและถอยหนีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

แต่แล้วภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกเห็นโดยหญิงวัยหลางคนซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เธอรีบเดินเข้ามาบังเด็กชายและชี้หน้าด่าอวี้ฮ่าวหราน

“นี่แก! คนชั้นต่ำอย่างแกกล้าดียังไงถึงได้มาจ้องหน้าลูกชายของฉันแบบนี้!”

เสียงของหญิงวัยกลางคนนั้นแหลมและดังก้องไปทั้งห้องโถง

“ลูกชายของคุณผลักลูกสาวของผม! ดูที่แขนของลูกสาวผมนี่สิ มีรอยถลอกด้วย!”

อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย แต่เขายังคงใจเย็นพยายามใช้เหตุผลกับอีกฝ่ายพร้อมกับชี้ไปที่แขนของถวนถวน

ไม่ว่ายังไง นี่มันเป็นแค่เรื่องของเด็กทะเลาะกันซึ่งมันเล็กน้อย เขาไม่ต้องการทำให้เรื่องมันใหญ่โตโดยไม่จำเป็น

ในทางกลับกัน หญิงวัยกลางคนไม่ได้สนใจกับคำอธิบายของอวี้ฮ่าวหรานเลย

“แค่แผลเล็ก ๆ แค่นั้น แกถึงกับกล้าจ้องลูกชายของฉันงั้นเหรอ? คนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกแกพ่อลูกไม่มีสิทธิ์ที่จะมาใช้สายตาขู่ลูกชายของฉัน!”

เมื่อเห็นแม่ของตัวเองออกมาปกป้อง เด็กชายโผล่หน้ามาแลบลิ้นใส่อวี้ฮ่าวหราน ก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าแกล้งทำเป็นร้องไห้และตะโกนฟ้องแม่ตัวเอง

“แม่จ๋า…ผมกลัว…”

เมื่อเห็นว่าลูกชายของตัวเองเป็นแบบนี้ หญิงวัยกลางคนก็ยิ่งโมโห

“แกดูสิว่าแกทำอะไรลงไป! ลูกชายของฉันกลัวจนร้องไห้ใหญ่แล้ว ไอ้คนชั้นต่ำ พวกแกพ่อลูกรีบมาคุกเข่าขอโทษลูกชายของฉันเดี๋ยวนี้!”

ในขณะที่ตวาด หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาใกล้และทำท่าว่าจะจับแขน ถวนถวน

แน่นอนว่าเมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานทนไม่ไหวอีกต่อไป!

เพี๊ยะ!!

คนประเภทที่ไร้เหตุผลแบบนี้มันน่ารังเกียจจริง ๆ และที่สำคัญกล้าดียังไงถึงได้มารังแกลูกสาวของเทพอย่างเขา!

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตบแรงมากนักเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตายคามือ เขาแค่ตบให้หญิงวัยกลางคนเซไปเท่านั้น

หญิงวัยกลางคนต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าที่จะได้สติหลังจากถูกตบ แน่นอนว่าหลังจากนั้นเธอกรีดร้องราวกับคนเสียสติด้วยความเดือดดาล

“ก…แก!! แกกล้าดียังไงถึงมาตบหน้าฉัน!! แกตายแน่ ผัวของฉันกำลังจอดรถอยู่ ถ้าเขามาเมื่อไหร่ ฉันจะให้เขาจัดการกับพวกแกพ่อลูก!”

ในขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาหาในห้องโถงด้วยสีหน้างุนงง

“ที่รัก? เกิดอะไรขึ้น?”

“มันตบฉัน! ไอ้ชั้นต่ำนี่มันตบฉัน! สามี คุณรีบโทรหาเพื่อนคุณให้ส่งคนมาจัดการไอ้คู่พ่อลูกนี่ที!”

เมื่อเห็นว่าสามีของตัวเองมาแล้ว หญิงวัยกลางคนรีบโผเข้าไปกอดทันทีและทำท่าทีสะอึกสะอื้นราวกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วจ้องอวี้ฮ่าวหรานเขม็งทันที จากนั้นเมื่อเขาเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานใส่สูทราคาถูก ๆ แววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นดูถูกอย่างรวดเร็ว

“แกสองคนพ่อลูกคุกเข่าขอขมาเมียฉันสามครั้งเดี๋ยวนี้! คนจน ๆ อย่างแกกล้าดียังไงถึงมาตบเมียฉัน แกรู้ไหมว่าแกกำลังเล่นอยู่กับใคร!”

แน่นอนว่าการทะเลาะกันเสียงดังขนาดนี้ย่อมดึงดูดความสนใจจากทั้งครูสอนเปียโนหลายคนและบรรดาผู้ปกครองของเด็กที่กำลังมารับลูกกลับบ้าน พวกเขาทั้งหลายต่างเตรียมที่จะก้าวเข้ามาโน้มน้าวให้เลิกแล้วต่อกัน

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกโมโหขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้าที่หยิ่งผยองของอีกฝ่าย เขาหัวเราะขึ้นอย่างเย้ยหยัน

“หึหึหึ วิเศษจริง ๆ เลยนะพวกแกเนี่ย ไหนลองบอกฉันมาหน่อยสิว่าคนชั้นสูงอย่างพวกแกมันเป็นใคร?”

ในดินแดนแห่งเทพสรรพชีวิตนับพันล้านต่างคุกเข่าบูชาเขา แต่วันนี้มนุษย์ธรรมดากลับบอกให้เขาคุกเข่าคำนับให้? รนหาที่ตายชัด ๆ!

ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าหยิ่งยโสมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำถามนี้ของอวี้ฮ่าวหราน เขาเชิดคางขึ้นก่อนที่จะแนะนำตัวเอง

“ฉันคือประธานบริษัทเครื่องกลจิ่นหลาน! ไอ้ยาจก แกกล้าที่จะทำให้ฉันโมโหงั้นเหรอ? แกรู้ไหมว่าฉันสามารถฆ่าแกได้ง่าย ๆ ด้วยเศษเงินของฉัน!”

บริษัทของเขานั้นไม่ใช่บริษัทเล็ก ๆ ซึ่งตัวเขานั้นถูกจัดว่าอยู่ในสังคมชนชั้นสูงของเมือง

มันเป็นเรื่องไม่ยากเลยหากเขาจะจ้างวานพวกนักเลงฆ่าคนธรรมดาสักคน

“ฉันแนะนำว่าให้แกคุกเข่ากราบขอร้องฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันรับรองเลยว่าพวกแกพ่อลูกจบเห่แน่!”

ชายวัยกลางคนยังคงข่มขู่ด้วยสีหน้าหยิ่งยโส

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานได้รู้แล้วว่าเด็กผู้ชายนั่นทำไมถึงนิสัยเสียได้ขนาดนี้ ที่แท้มันก็เป็นพันธุกรรมของพ่อแม่นี่เอง!