ตอนที่ 1 อย่าผิดสัญญานะ (1)

ยัยจอมกวนป่วนหัวใจนายไอดอล

ช่วงปลายฤดูร้อน ดวงอาทิตย์สว่างสวยงามขณะที่รถบีเอ็มดับเบิลยูสีแดงคันหนึ่งแล่นไปตามถนน 

 

 

เสียงเอ็ดของเฉียวมู่ดังขึ้นภายในรถ 

 

 

“อันซย่าซย่า เธออายุเท่าไหร่แล้วเนี่ยถึงเอาแต่ไล่ตามดาราอยู่ได้ เลิกเป็นติ่งบ้าๆ อะไรของเธอจะได้ไหม นี่ ได้ยินที่ฉันพูดไหม” 

 

 

“เออ…เดี๋ยวนะ ฉันกำลังอยู่ท่ามกลางสงคราม! รอให้ฉันจบสงครามนี้ก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน ฮ่าๆ” น้ำเสียงอ่อนหวานตอบ 

 

 

เฉียวมู่มองค้อนสวยๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะหักพวงมาลัยอย่างดุเดือดจอดรถเข้าข้างทาง หล่อนสั่ง “ฉันจะเข้าบริษัทไปทำธุระสักหน่อย ทำตัวดีๆ รออยู่ที่นี่แล้วอย่าหนีไปไหนเสียล่ะ” 

 

 

อันซย่าซย่าไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ได้แต่ตอบ “อืมๆๆ” ยังคงง่วนอยู่กับการตอบโต้กับคนในเวยปั๋ว ด่าทอโจมตีกลุ่มแฟนไอดอลฝั่งตรงข้ามที่ชื่อสตาร์รี่ไนต์ 

 

 

นิ้วเรียวยาวของเธอพลิ้วขยับอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมาราวกับได้ปลดเปลื้องภาระอันใหญ่หลวงออกไปแล้ว 

 

 

หือ? ถ้าไอดอลกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ป๊อบปูลาร์ที่สุดอย่างที่เขาว่ากัน ทำไมระดับพาวเวอร์ของพวกแฟนๆ ถึงได้อยู่แค่ระดับห้าเอง 

 

 

และแล้วเธอก็ดีใจอยู่ได้เพียงแค่เกือบๆ สองวินาทีเมื่ออยู่ๆ รถก็เกิดกระตุกอย่างรุนแรง ใบหน้าเล็กๆ ของอันซย่าซย่าเต็มไปด้วยความช็อกสุดขีดเมื่อเห็นจะๆ กับตาตัวเองว่ารถไหลไปข้างหลัง 

 

 

ในกระจกมองหลังของรถ อันซย่าซย่าอยากจะร้องไห้ออกมากับฉากเหตุการณ์นั้นแต่ก็ร้องไม่ออก 

 

 

เฉียวมู่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอมาตลอดหลายต่อหลายปี เธอพอจะทนยอมรับได้ว่าญาติสาวชอบความเร็ว ถึงแม้ความสามารถในการขับรถจะแย่ก็ตาม แต่ไอ้การจอดรถบนทางลาดชันนี่มันเกินเลยคำว่าแย่ไปได้อีก! 

 

 

ด้วยแรงเฉื่อย รถค่อยๆ ไหลลงไปตามทางลาด และด้วยสายตาเฉียบคมของอันซย่าซย่า เธอสังเกตเห็นรถปอร์เช่เงางามคันหนึ่ง… 

 

 

ปึ้ง!  

 

 

เธอได้แต่มองด้วยความหวาดกลัวเมื่อรถสองคันชนกัน 

 

 

ในชั่วขณะนั้นเอง อันซย่าซย่ารู้สึกเลยว่าโลกทั้งใบตกอยู่ในความเงียบสงัด 

 

 

อึดใจต่อมา หญิงสาวเปิดประตูรถอย่างงุ่มง่ามเพื่อออกมาดูสถานการณ์ 

 

 

โชคยังดี รถแค่ไหลไปแตะเข้ากับกันชนของรถอีกคันเบาๆ เลยทิ้งไว้แค่รอยเล็กน้อยขณะที่รถของญาติผู้พี่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ 

 

 

อันซย่าซย่าแอบส่องมองไปที่รถปอร์เช่คันนั้น กระจกหน้ารถดำสนิทมองไม่เห็นอะไรข้างในเลย 

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครก้าวออกมาจากรถ เธอจึงสรุปเอาว่าไม่มีใครอยู่ในรถคันนั้น… 

 

 

หญิงสาวรีบวิ่งไปแล้วเอามือถูกรอยครูดนั้น 

 

 

เอ๋? มันลบไม่ออกหรอกเหรอ 

 

 

อันซย่าซย่ามองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จึงตัดสินใจยกกระโปรงขึ้นเช็ด 

 

 

ยังไงก็ไม่ยอมออก… 

 

 

จบกัน… ดูเหมือนว่าพวกเธอคงต้องจ่ายค่าเสียหายสินะ 

 

 

และหลังจากที่ต้องจ่ายเงินค่าเสียหายแล้ว วันนี้เฉียวมู่ก็อาจจะไม่เลี้ยงหมูกระทะเธอแล้ว พอคิดถึงชีวิตอันโศกเศร้าจากการไม่ได้กินเนื้อแบบนั้นแล้ว อันซย่าซย่าจึงข่วนกระจกรถปอร์เช่อย่างบ้าคลั่ง 

 

 

ทันใดนั้นเอง กระจกสีดำสนิทของรถก็เริ่มเลื่อนต่ำลง น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น “นี่คุณ คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่ได้เป็นบ้า” 

 

 

อันซย่าซย่าอึ้งไป มีคนอยู่ในรถเหรอเนี่ย!  

 

 

เธอเหลือบมองทางหางตาเข้าไปยังข้างในตัวรถ เห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง เขาแต่งชุดสีดำล้วนธรรมดาๆ และสวมแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ 

 

 

อันซย่าซย่าไม่รู้จะทำอย่างไรพลางตอบตะกุกตะกัก “ฉันขอโทษสำหรับเรื่องยุ่งยากนี้ด้วยนะคะ… แต่คุณจะกรุณารอจนกว่าญาติฉันจะกลับมาได้ไหม เธอจะได้ปรึกษากับคุณเรื่องค่าเสียหาย” 

 

 

ชายหนุ่มยิ้มหัวเราะเย็นชา รอยโค้งบนริมฝีปากบางๆ ของเขาดึงดูดใจเธออย่างคาดไม่ถึงระหว่างที่ตอบ “เหรอ คุณคิดว่าจะชดใช้ผมเท่าไหร่ล่ะ” 

 

 

อันซย่าซย่ายิ้มเขินๆ “มีแค่รอยครูดเล็กน้อย… สองร้อยหยวนพอไหมคะ” 

 

 

ชายหนุ่มจ้องมองเธอด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก 

 

 

อันซย่าซย่าเดาอารมณ์เขาไม่ออกจึงถามออกไป “คุณไม่พอใจอะไรหรือเปล่าคะ” 

 

 

“ผมเพิ่งแน่ใจความประทับใจแรกที่มีต่อคุณ นี่คุณ คุณสติไม่ดีจริงๆ ด้วย” 

 

 

อันซย่าซย่ากัดปากตัวเอง ยั้งใจเถียงสู้ไม่ได้ “นายสิสติไม่ดี ครอบครัวนายก็สติไม่ดีด้วย! ถ้าจ่ายค่าเสียหายเป็นเงินยังไม่พอ แล้วจะเอาอะไรอีก จะให้เอาเนื้อตัวเข้าแลกหรือไง”