บทที่ 274 วางอุบายโต้กลับอย่างเปิดเผย (1)

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“มีบัณฑิตผู้หนึ่งชื่อว่าสวีจ่างหนิงเคยไปแวะคารวะท่านกระมัง” ซ่งชูอีเอ่ย

เจินจวิ้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ระลึกอย่างถี่ถ้วนอยู่สักพักทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ “บุคคลนี้ ตอนที่เขามาแวะคารวะที่จวนข้าก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว ได้ยินอวี๋เอ๋อร์กล่าวว่าเคยมีวาสนาพบเข้าครั้งหนึ่ง ข้าจึงพบหน้าเขา”

“เจ้าเห็นว่าบุคคลนี้มีนิสัยอย่างไร?” สุดท้ายแล้วซ่งชูอีพบหน้าเขาอย่างเร่งรีบเพียงครั้งเดียว ไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ยิ่งไปกว่านั้นเจินจวิ้นสามารถมองคนได้อย่างทะลุทะลวงยิ่ง

“มีความเฉียบคมของสำนักนิติธรรม ทว่าไร้ความดื้อรั้นของสำนักนิติธรรม เป็นคนบุคคลที่มีชีวิตอยู่เพื่อชื่อเสียงจอมปลอม” เจินจวิ้นเห็นคนประเภทนี้มามากแล้ว จึงไม่เก็บมาใส่ใจ ดังนั้นเมื่อซึ่งชูอีถามเขาเมื่อครู่ เขาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้

สำนักนิติธรรมปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดังนั้นจึงมีความหัวรั้นและเฉียบคมอยู่บ่อยครั้ง ไม่ใคร่เป็นที่โปรดปรานนัก ทว่าก็มิวายมีคนแสวงหาความรุ่งเรืองและความมั่งคั่งโดยซ่อนตัวอยู่ภายใต้แนวคิดนี้

ซ่งชูอีพยักหน้า ครั้งแรกที่นางได้เห็นสวีจ่างหนิง ได้ฟังทฤษฎีของเขา ก็พอเดานิสัยใจคอของบุคคลนี้ออกสามถึงสี่ส่วนแล้ว

“เช่นนั้นก็ดี ข้ากลัวว่าเขาจะไม่แสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์เสียอีก” ซ่งชูอียิ้ม อดที่จะคิดถึงจีเหมียนมิได้ แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งยังดื้อรั้น ทว่าก็เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง

เจินจวิ้นกล่าวอย่างงุนงง “ท่านต้องการจะใช้คนผู้นี้?”

ซ่งชูอีเอ่ย “อืม เจ้าไปสืบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด ข้าต้องการพบเขา”

“ได้ ข้าจะไปสืบเดี๋ยวนี้” เจินจวิ้นประสานมือเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นท่านพักผ่อนให้เต็มที่ ข้าขอตัวก่อน”

“หาเขาเจอแล้วบอกเขาว่าสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ” ซ่งชูอีเอ่ย

เจินจวิ้นประหลาดใจยิ่ง เหตุใดจึงต้องให้ความสำคัญบุคคลหนึ่งเพียงนี้?

แม้ว่าเขาไม่เข้าใจว่าก็ไม่กล้ารีรอ กลับถึงจวนก็รีบสืบทันที พ่อค้าให้ความสำคัญกับเครือข่ายและข่าวสารมาก เจินจวิ้นคิดที่จะปักหลักสกุลเจินในรัฐฉิน จึงได้ทำงานอย่างหนักในสองด้านนี้ ทุกคนต่างรู้ว่าจวนกั๋วเว่ยเป็นเจ้านายของสกุลเจิน ไม่มีใครที่ไม่ไว้หน้าเขา อาศัยโอกาสนี้ เจินจวิ้นจึงสร้างความสัมพันธ์มากมายในเสียนหยางและวางจุดมืดสำหรับการรวบรวมข่าวสารไว้หลายแห่ง ดังนั้นการหาผู้ที่แสวงหาความโดดเด่นจึงง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ

ผ่านไปเพียงสองสามชั่วยามก็สามารถหาที่อยู่ของสวีจ่างหนิงได้แล้ว บุคคลนี้เคยมีปาฐกถาในโรงเตี๊ยมและชมรมป๋ออี้ทั่วนครเสียนหยาง ทว่าน่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจในทฤษฎีของเขา บวกกับเขาที่มีฐานะยากจนข้นแค้นอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งต้องอดมื้อกินมื้อ

ตอนที่เจินจวิ้นสั่งให้คนนำคำพูดของซ่งชูอีไปบอกสวีจ่างหนิงนั้น เขาดีใจราวกับคนบ้า เขาอยู่ในรัฐฉินนานหลายเดือน ยังเคยไปแวะคารวะซ่งชูอี ทว่ากลับถูกคนรับใช้กันออกไปด้วยข้ออ้างที่ว่า “ซ่งจื่อล้มป่วย” บวกกับไร้ที่ไปจึงรู้สึกหดหู่ใจนัก เดิมทีตั้งใจจะคิดวิธีหาค่าเดินทางไปเสี่ยงดวงในรัฐฉู่ ใครจะคิดว่าจะได้รับข่าวดีเช่นนี้!

สวีจ่างหนิงขจัดความหม่นหมองในไม่กี่เดือนไปจนสิ้น ดีใจจนออกนอกหน้า คิดว่าความรุ่งเรืองและความมั่งคั่งของตนได้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว! ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้ารีบเข้ามาด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความหวังแม้ว่าท้องฟ้าจะมืดแล้วก็ตาม

ก่อนที่สวีจ่างหนิงจะมาถึง ซ่งชูอีก็ได้รับข่าวจากเจินจวิ้นแล้ว ด้านบนมีบันทึกพฤติกรรมและสถานการณ์ล่าสุดของเขาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

ซ่งชูอีพึงพอใจกับการทำงานที่มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของเจินจวิ้นมาก

“ท่านเจ้าคะ สวีจ่างหนิงต้องการพบท่าน” หนิงยากล่าว

“เชิญเข้าเข้ามาเถิด” ซ่งชูอีก้มหน้าตอบกลับงานกิจการทหารสำคัญที่ถูกส่งมาในวันนี้ กั๋วเว่ยมิใช้ตำแหน่งที่ว่างงาน ทุกวันนางมีเรื่องสำคัญมากมายที่ต้องดำเนินการในทันที บางคราวล่าช้าเพียงหนึ่งเค่อก็จะชะลอการปฏิบัติการทางทหารทั้งหมด

สวีจ่างหนิงตามหนิงยาเข้ามาในห้องหนังสือ ครั้นเห็นว่าซ่งชูอีกำลังก้มหน้าอยู่ที่โต๊ะหนังสือ ก็มองไปรอบๆ ห้องทำงานอย่างอาจหาญ สะดุดที่ตาอัศจรรย์ในใจ เขาเดินทางไปทั่วสารทิศ เคยเห็นคฤหาสน์ของผู้สูงศักดิ์มาไม่น้อย เรียกได้ว่าเคยเห็นห้องหนังสือมาทุกรูปแบบ ห้องหนังสือทั่วไปนั้นสวยงามและสะดวกสบาย แต่กลับพูดได้ว่าเป็นเพียงห้องที่เหมาะแก่การอ่านหนังสือเท่านั้น แม้ว่าห้องของซ่งชูอีนี้ไม่ใหญ่ ทว่าเต็มไปด้วยเอกสาร แม้แต่บนโต๊ะก็ยังกองเป็นภูเขาขนาดย่อม

สวีจ่างหนิงคิดในใจ ที่แห่งนี้เดิมทีเป็นพระตำหนักของฉินกง มีหนังสือมากมายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก เขาคิดเช่นนี้ ทว่าไม่รู้ว่าหนังสือบางส่วนในห้องนี้ไม่ได้ถูกรวบรวมมาจากที่อื่น และมีหนังสือทางทหารและคำอธิบายประกอบที่เขียนโดยซ่งซูอีเสียสองส่วนแล้ว

“หนิงยา ไปต้มทังปิ่งเข้ามาหม้อหนึ่ง” ซ่งชูอีสั่ง

“เจ้าค่ะ” หนิงยาถอยออกไป

สวีจ่างหนิงละสายตากลับมา เห็นซ่งชูอีเหลือบตาขึ้นมองเขาพอดี “ท่านสวีเชิญนั่ง”

“ขอบคุณกั๋วเว่ย” สวีจ่างหนิงรีบสงวนท่าที หลังจากคำนับแล้วก็นั่งลง

“ท่านสวีไม่จำเป็นต้องมากพิธี” ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ท่าทางอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง

สวีจ่างหนิงก็ผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย กลับสู่ความโอหังดังปกติ ยิ้มอย่างพองาม “ว่ากันว่าหนังสือของฮุ่ยจื่อเต็มห้าคันรถ วันนี้ได้เข้ามายังห้องหนังสือของกั๋วเว่ย จึงรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า!”

จวงจื่อเคยกล่าวว่า ‘ฮุ่ยซือมากสามารถ หนังสือของเขามีห้าคันรถ เหตุผลของเขาหยิ่งยโส วาจาของเขาก็ไม่เถรตรง’

คำกล่าวนี้กำลังวิพากย์วิจารณ์ฮุ่ยซือ บอกว่าฮุ่ยซือมีความรู้ท่วมหัว แม้ว่าหนังสือของเขามากพอที่จะบรรทุกใส่ห้าคันรถ ทว่าเหตุผลที่เขากล่าวโดยมากนั้นผิดพลาดและยุ่งเหยิง พูดจาก็ไม่รู้จักกาลเทศะ คำวิจารณ์ที่จวงจื่อมีต่อเขานั้นเหมือนขวานผ่าซาก ไม่อ่อนหวานเพราะเห็นว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ทว่าทุกคนรู้ว่าเขากับฮุ่ยซือมีมิตรภาพอันลึกซึ้ง ทั้งยังนึกว่าเป็นการหยอกล้อระหว่างเพื่อน และตีความเป็น “มนุษย์มิใช่นักปราชญ์ย่อมทำผิดพลาดได้” โดยทั่วไปแล้วประโยคครึ่งแรกจะหยิบยกมาเพื่อยกย่องความรู้ผู้อื่น

ทว่าตามความเข้าใจของซ่งชูอี ครั้นอาจารย์บอกหนึ่งก็เป็นหนึ่ง จะไม่มีทางมีสองเป็นอันขาด ดังนั้นนางจึงแสดงออกอย่างเฉยเมยต่อการยกย่องเช่นนี้ “มิบังอาจ”

การประจบสอพลอไร้ผล สวีจ่างหนิงรู้สึกเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย

“ท่านสวีเห็นว่าตัวเองเป็นเช่นไร?” ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อพลางมองเขา

สวีจ่างหนิงอึ้งเล็กน้อย ไม่ใคร่เข้าใจความหมายของซ่งชูอีนัก ครุ่นคิดสองสามลมหายใจก่อนเอ่ยว่า “ผิดถูกเป็นอย่างไร ปิดฝาโลงจึงตัดสิน ข้าน้อยไม่รู้ว่าควรตอบเว่ยกั๋วอย่างไร”

“หึ” ซ่งชูอีหัวเราะเบาๆ ปิดฝาโลงจึงตัดสินคำนี้ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้ได้ จะต้องมีคนระลึกถึงคุณประโยชน์ของบุคคลนั้นหลังปิดฝาโลงจึงจะเหมาะสม อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีหัวเราะเยาะนั้นมิได้มีเพียงสิ่งนี้ ดูจากคำตอบของสวี่จ่างหนิงก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คนตรงไปตรงมานัก การแสดงออกจึงเยือกเย็นลงเล็กน้อย “ใครว่าคุณธรรมจะต้องให้ผู้อื่นมาประเมิน? ในเมื่อท่านไม่ต้องการปฏิบัติด้วยความจริงใจ ข้าก็ไม่อยากบังคับ ไม่มีประโยชน์ที่จะคุยกันอีก ท่านสวีเชิญกลับไปเถิด”

ซ่งชูอีเอ่ยคำพูดที่ไร้ความปรานีเช่นนี้ก็มีความตั้งใจที่จะทดสอบเช่นกัน นางอยากรู้ว่าบุคคลนี้มีความอดทนในการแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์มากเพียงใด

สีหน้าของสวีจ่างหนิงดูอับอายไปชั่วขณะ ร่างกายตึงเครียด ทว่าก็ผ่อนคลายไม่นานหลังจากนั้น ประสานมือคำนับ “กั๋วเว่ยได้โปรดให้อภัย ข้าน้อย…เพียงไม่เข้าใจจุดประสงค์ของกั๋วเว่ย ดังนั้นจึงระวังตัวไว้ก่อน”

ซ่งชูอีมองเขาอย่างใจเย็น ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะดังกังวาล “เช่นนี้ก็ถูกแล้ว ข้าคนนี้ เกลียดคนพูดจาอ้อมค้อมข้ามากที่สุด”

หากอ้อมค้อมอย่างมีระดับก็แล้วไป สำหรับคนที่ฝีมือไม่เท่าไรแต่ยังเลี่ยงที่จะกล่าวตรงประเด็น ซ่งชูอีรำคาญเป็นที่สุด

สวีจ่างหนิงถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็หัวเราะตามน้อยๆ

“ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ปกปิดอีกต่อไป ข้าต้องการมอบอนาคตให้ท่าน ทว่าข้าจำเป็นต้องเข้าใจความต้องการของท่านก่อน” ซ่งชูอีกล่าว

สวีจ่างหนิงข่มความดีใจแทบคลั่งไว้ในใจ แต่ก็ไม่กล้าเสแสร้งอะไรอีก รีบประสานมือเอ่ย “ขอบคุณกั๋วเว่ย! หากสามารถมีอนาคตได้ จ่างหนิงจะตอบแทนท่านด้วยชีวิต!”

คำนี้ หากเป็นบัณฑิตกล่าวก็จะเป็นที่น่าตกตะลึงอย่างมาก ทว่าหากเป็นกุนซือ โดยเฉพาะกุนซือที่กระตือรือร้นในการหาวิธีเยี่ยงสวีจ่างหนิง ครั้นกล่าวคำพูดเยี่ยงนี้ออกมา ซ่งชูอีก็ถือว่าเป็นเพียงลมผ่านหูเท่านั้น “ตอบแทนด้วยชีวิตนั้นไม่จำเป็นหรอก ข้าแค่ต้องการให้ท่านช่วยอะไรข้าเล็กน้อยสักเรื่อง”

“กั๋วเว่ยได้โปรดสั่ง!” สวีจ่างหนิงกล่าววด้วยสีหน้าขึงขัง

ซ่งชูอีเอนตัวหาที่พักแขน “อนาคตที่ข้าจะให้ท่านมิได้อยู่ในรัฐฉินทว่าอยู่ในรัฐเว่ย”

สวีจ่างหนิงสงสัยในใจ ต่อให้กั๋วเว่ยในรัฐฉินจะแข็งแกร่งเพียงใดก็สามารถยื่นมือไปถึงรัฐเว่ยได้หรือ? แล้วจะให้อนาคตเขาได้อย่างไร?

“ขอกล่าวคำที่ทำให้ท่านสวีขุ่นเคืองอยู่สักหน่อย” มุมปากของซ่งชูอียกยิ้ม “ความรู้ของท่านสวีไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจผู้คน ไร้ความภาคภูมิใจทว่ามีความเย่อหยิ่ง วาจาเฉียบคมของสำนักนิติธรรมก็ไม่เป็นที่ชวนโปรดปรานเช่นกัน”

ซางจวินกระทำการอย่างยุติธรรมโดยไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น พูดจาดุร้ายอย่างเห็นได้ชัด จวงจื่อวาจาเฉียบคม เปรียบได้กับพิษที่เชือดเฉือนคอ เมิ่งจื่อพูดจาฉะฉาน ไม่เคยเว้นช่องว่างใดๆ…คนเหล่านี้ล้วนมีความภาคภูมิใจ วาจาคมกริบดุจดาบแหลมคม แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้ผู้คนยกย่องพวกเขา เพียงเพราะความสามารถพวกเขานั้นเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง

หากความรู้ไม่เพียงพอ ทว่ายังมีวาจาแหลมคมเลียนแบบผู้อื่น รังแต่จะทำให้คนรังเกียจเท่านั้น

สีหน้าของสวีจ่างหนิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาต้องอดมื้อกินมื้อดังนั้นจึงรีบร้อนหาวิธี ด้วยเหตุนี้จึงสามารถบากหน้าร้องขอคนอื่นได้ แต่กลับไม่มีความนับถือตัวเองเลยแม้แต่น้อย ได้รับการดูแคลนตรงๆ เช่นนี้ ทำให้เขาอับอายเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดีโอกาสครั้งใหญ่อยู่ตรงหน้าแล้ว ในชั่วขณะหนึ่งเขากลับทนไม่ได้ที่จะยอมอดตายเพื่อความภาคภูมิใจในตนเอง

การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาไม่รอดพ้นสายตาของซ่งชูอีแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้ทั้งหมดเป็นเพียงการทดสอบของซ่งชูอีเท่านั้น นางหยุดก่อนที่มันจะไปไกลมากกว่านี้ สวีจ่างหนิงมิใช้ผู้ที่มีจิตใจกว้างขวาง ขืนทำต่อไป แม้ว่าเขาจะไม่เดินจากไปด้วยความโกรธก็ตาม แต่เกรงว่าคงจดจำความเกลียดชังของวันนี้ไว้ในใจแล้ว

“ท่านสวีอาจโกรธที่ข้าใช้คำพูดรุนแรง ทว่าข้ามิได้กล่าวเหลวไหลเพื่อใส่ร้ายท่าน เชื่อว่าท่านคงแยกแยะได้ เพียงแต่ข้าต้องการผลักดันท่านสู่ตำแหน่งสูง ถ้าหากท่านไม่ชอบเว่ยอ๋อง แม้ว่าข้าจะมีความสามารถขึ้นสู่ท้องฟ้าแต่จะดำเนินการต่อไปได้อย่างไร?” ซ่งชูอีโยนสิ่งล่อใจอย่างทันท่วงที

สีหน้าของสวีจ่างหนิงเปลี่ยนไปตามคาด “จ่างหนิงจดจำคำสอนของกั๋วเว่ยแล้ว!”

“ให้ท่านอยู่ในรัฐฉิน หาข้าวให้ท่านกิน มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้าเลย ทว่าข้าเห็นว่าท่านมิได้มีความทะเยอทะยานเพียงแค่นี้ ข้าตั้งใจวางแผนให้ท่านเข้าเว่ย เพื่อตำแหน่งขุนนางขั้นสูง” ซ่งชูอีเอ่ย

นิสัยของสวีจ่างหนิงไม่น่ารื่นรมย์นัก ทว่ามีสติปัญญาอยู่บ้าง ครั้นพูดมาถึงตรงนี้เขาก็มิได้ปิดบังอีก “พระคุณยิ่งใหญ่ของกั๋วเว่ยจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่างเป็นแน่ หากมันไม่อยู่เหนือความสามารถของจ่างหนิง จ่างหนิงก็จะทำ แม้ว่าจ่างหนิงจะมิใช่สุภาพบุรุษผู้สูงส่ง ทว่าก็เข้าใจเรื่องความจงรักภักดี หากรัฐฉินปฏิเสธ ข้าน้อยก็ไม่เต็มใจที่จะเป็นสายลับในรัฐเว่ยเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน”

ความหมายของสวีจ่างหนิงก็คือ การเป็นสายลับฉินในรัฐเว่ยนั้นสามารถทำได้ ทว่าหากรัฐฉินปฏิเสธเขา เขาก็จะไม่เป็นหมากตัวนี้ด้วยความคลุมเครือ ที่กล่าวว่า “ไม่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน” เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เนื่องจากการเป็นตัวหมากจำต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะถูกทอดทิ้ง เขาจึงกำลังถามถึงทางเลือกกับซ่งชูอี

“ฮ่า ในที่สุดท่านสวีก็กล่าวคำที่บ่งบอกถึงสถานะของกุนซือแล้ว ทว่าข้าเป็นกั๋วเว่ยแห่งรัฐฉิน เป็นที่ธรรมดาที่จะออกอุบายรัฐเว่ยด้วยกองกำลังทั้งหมดเพื่อเสริมสร้างกองทัพ จะใช้สายลับได้อย่างไร?” น้ำเสียงในคำพูดของซ่งชูอีนั้นไม่อาจปฏิเสธได้

“เช่นนั้นมันคือ…” ทันใดนั้นสวีจ่างหนิงก็พอเข้าใจแล้ว