บทที่ 273 ทำให้ข้าได้พบเจ้า

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีคลี่แผ่นไผ่ออกมา มองดูปราดหนึ่ง หลังจากวางลงแล้วก็อ่านเอกสารราชการต่อ

เจ้าอี่โหลวนั่งลงข้างตั่ง คว้าเอกสารมาจากในมือของนาง เอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรกันแน่?”

“ก็แค่ต้องการเจอข้ามิใช่รึ?” ซ่งชูอียิ้มพร้อมฉวยโอกาสกุมมือของเขา

เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว “เจ้าก็รู้ว่าข้าถามถึงอะไร!”

เดิมทีสำนักม่อมีความตั้งใจที่จะรับซ่งเจียนเข้าสำนัก เจ้าอี่โหลวก็รู้ดี ทว่าบัดนี้ซ่งเจียนไปแล้ว อาจารย์ลุงในฐานะผู้อาวุโสของสำนักม่อกลับยังจะพบซ่งชูอีตามแผนเดิม จะต้องมีแผนการอื่นเป็นแน่ ส่วนจะเป็นแผนอะไรนั้น ตอนนี้เจ้าอี่โหลวยังนึกไม่ออก

“หลายปีมานี้สำนักม่อค่อนข้างเสื่อมถอย การผูกมิตรอย่างกว้างขวางก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก เดิมทีข้าก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ทว่าช่วงนี้ได้ยินข่าวมามาก จึงรู้ว่าภายในสำนักม่อเกิดความวุ่นวาย อาจารย์ลุงของเจ้าพบข้า เกรงว่าคงต้องการหยิบยืมกำลังภายนอกเพื่อใครบางคนกระมัง” ซ่งชูอีไม่มีเจตนาที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทภายในสำนัก ในใจไม่มีความยินดียินร้าย ในตอนแรกนางคิดว่าเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างสำนัก แต่ไม่คาดคิดว่าจะคิดผิดแล้ว ที่จริงแล้วสำนักม่อไม่เคยสนใจสำนักเต๋าเลย แต่สนใจเพียงซ่งชูอีเท่านั้น

เจ้าอี่โหลวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “พวกเขาต้องการดึงเจ้าไปพัวพันด้วยรึ?”

เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าสถานการณ์วุ่นวายภายในของสำนักม่อเป็นอย่างไร ทว่าก็ไม่โง่ หลังจากพิจารณาดูแล้วก็พอเข้าใจภาพรวม

“เรื่องเล็กน้อย หากในโลกใบนี้มีคนที่มีวิธีทำให้ข้าทุ่มเทได้จริงๆ ข้าก็นับถือเขาแล้ว ออกแรงเสียบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไร” ซ่งชูอีกล่าวอย่างใจเย็น ในโลกใบนี้ผู้ที่สามารถบีบบังคับนางได้มีน้อยจนนับนิ้วได้ “การช่วยเหลือสำนักม่อก็เป็นเรื่องดีสำหรับข้า ทว่าอาจไม่ใช่เรื่องดีสำหรับรัฐฉิน ดังนั้นจึงต้องชั่งน้ำหนักดูก่อน หากถึงเวลานั้นแล้วข้าไม่ช่วยสำนักม่อ เจ้าจะโทษข้าหรือไม่?”

ซ่งชูอีมองเขา แสงไฟไหววูบสะท้อนอยู่ในดวงตา ใบหน้าขาวซีดมีความสว่างชั่วขณะหนึ่ง

กระเพื่อมคลื่นก่อตัวขึ้นในดวงตาของเจ้าอี่โหลว เขากุมมือของนางกลับ “เจ้าจำเป็นต้องถามเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ ใจของข้าแคบนิดเดียว จะนำเรื่องอื่นมาใส่ใจได้อย่างไร?”

คุณธรรมใต้หล้าอะไร ความรับผิดชอบแห่งสำนักอะไร ใช่ว่าเจ้าอี่โหลวจะแบกรับไม่ได้ ทว่าเขาไม่เต็มใจแบกรับต่างหาก พูดอีกนัยหนึ่งคือ หลังจากต้องตกระกำอยู่ในป่าเขาภายใต้การบ่อนทำลายเพื่ออำนาจและหลังจากได้เห็นความโสมมนานาชนิดในโลก จิตใจเขาก็เฉยเมย ความอคติรุนแรงฝังอยู่ในกระดูกของเขาเสียแล้ว หากไม่ได้พบกับซ่งชูอีผู้ที่ทำให้หัวใจของเขายึดติดอย่างแนบแน่น เขาก็อาจจะพเนจรอย่างไร้ที่พึ่งพาอยู่ในหุบเขา หรือไม่ก็วาดดาบฟาดฟันใต้หล้า เข่นฆ่าแหล่งที่มาของความชั่วร้ายทั้งหมดซึ่งก็คือ…มนุษย์

“ดีจริง” เจ้าอี่โหลวโน้มตัวกอดนาง กระซิบเสียงเบา “ที่ข้าได้พบเจ้า”

ท่าทางของซ่งชูอีอ่อนโยนลง ยกมือขึ้นโอบเอวที่แข็งแกร่งของเขา

ท่ามกลางความวุ่นวาย ชีวิตคนเหมือนต้นหญ้า ความรักยิ่งมีน้อย ต้องหวงแหนและทะนุถนอมมัน เหตุใดซ่งชูอีจะไม่ตระหนักถึงจุดนี้เล่า? บางคราวนางไม่ต้องการที่จะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด ทว่าความรู้สึกก็ลึกซึ้งเช่นกัน

กอดกันครู่หนึ่ง เจ้าอี่โหลวจึงปล่อยนาง ไม่ถามความเห็นของนางแต่กลับม้วนเอกสารเก็บแล้ววางไว้บนโต๊ะ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เลิกอ่านได้แล้ว พักผ่อนเร็วหน่อยเถิด ดูแลร่างกายให้ดี”

ซ่งชูอีมองดูท่าทีไม่ประนีประนอมของเขา ยิ้มอย่างจนปัญญา แต่ก็มิได้ดึงดันต่อไป

เจ้าอี่โหลวดับไฟ กอดซ่งชูอีอยู่บนเตียง ดวงตาคู่นั้นราวกับเป็นแสงดาวท่ามกลางแสงสลัว น้ำเสียงเจือปนความละอาย “ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”

“ดีขึ้นมากแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ย

พูดจบ ทั้งสองคนก็เงียบงัน เห็นได้ชัดว่าการที่เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จทำให้พวกเขาต่างรู้สึกมืดมนและหดหู่เล็กน้อย

จากนั้นไม่นาน ซ่งชูอีก็หัวเราะเยาะออกมา ใช้นิ้วจิ้มๆ ไปที่เจ้าอี่โหลวผู้ไม่มีความง่วงเลย “เกรงว่าพวกเราจะเป็นรายแรกที่ทำให้ทุกคนวุ่นวายเพราะเรื่องนี้ตั้งแต่ฟ้าดินอุบัติขึ้นมากระมัง!”

เจ้าอี่โหลวรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ตำหนินางว่า “เจ้ายังมีหน้ามาหัวเราะอีก! ไม่เคยเห็นคนป่าเถื่อนเยี่ยงเจ้ามาก่อนเลย!”

จะว่าไปเรื่องที่ซ่งชูอีบาดเจ็บนี้ก็ไม่อาจโทษเจ้าอี่โหลวได้จริงๆ เขารู้ตัวว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง นางดูเหมือนรู้เรื่องเป็นอย่างดี จึงปล่อยให้นางทำเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายนาง ใครจะรู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้ก็เป็นมือใหม่ ทำไม่เป็นยังไม่เท่าไรแต่ยังดื้อดึง จนทำให้ตัวเองบาดเจ็บปางตาย! เจ้าอี่โหลวรู้สึกโกรธมากทว่าเมื่อคิดถึงอาการบาดเจ็บของนางแล้วก็ไม่กล้าเอ่ยคำตำหนิ ใครจะไปรู้ว่านางไม่มีความรู้สึกผิดเลย อีกทั้งยังเอามาล้อเล่นอีก!

“ที่ไม่ป่าเถื่อนเจ้าก็ไม่เคยเห็น!” ซ่งชูอีเอ่ย

เจ้าอี่โหลวพูดไม่ออก ถอนหายใจอย่างแรง กล่าวอย่างหัวเสีย “นอน!”

ซ่งชูอีประคองเอวอันเมื่อยล้า เขาเอนตัวเข้าใกล้เขาและหลับไปในท่าที่สบาย

การได้นอนเตียงเดียวกับซ่งชูอีเป็นเรื่องทดสอบทักษะอย่างมาก นางสามารถนอนครบทุกซอกมุมของเตียงขนาดใหญ่ จากนั้นก็พันตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับผ้านวม ใช่ว่าเจ้าอี่โหลวเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทว่าตอนนี้นางบางเจ็บสาหัส ทว่าก็ยังไม่มีการสงวนท่าที มันจึงทำให้เขาทนไม่ได้จริงๆ ดึงนางออกมาจากผ้านวมอย่างอดทนอดกลั้นกลางดึกแล้วรั้งนางไว้ในอ้อมแขนจนถึงรุ่งเช้า

ท้องฟ้ามืดครึ้ม เจ้าอี่โหลวมองดูคนที่หลับสนิทอยู่ในอ้อมแขน ไร้การระวังตัวและการคิดวางแผน เพราะว่าแขนขาถูกรั้งไว้จึงเบะปากออกมาราวกับไม่พอใจ เผยให้เห็นความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเล็กน้อย มุมปากของเจ้าอี่โหลวยกยิ้ม จุมพิตแก้มของนางแผ่วเบา ความคับแค้นใจหายไปทั้งคืน

นึกขึ้นได้ว่าวันนี้จะต้องไปพบจีเจ่อ เจ้าอี่โหลวปล่อยนางช้าๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงไปล้างหน้าล้างตา

เมื่อวานฝนตกไปแล้ว เช้านี้นอกหน้าต่างเต็มไปด้วยหมอกขมุกขมัว ไอน้ำก่อตัวหนา ยังคงไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ ซ่งชูอีนอนหลับจนเกือบเที่ยงจึงจะตื่นขึ้นมาช้าๆ

ไม่เห็นเงาของเจ้าอี่โหลวข้างกายแล้ว นางอึ้งไปครู่หนึ่ง รีบเอ่ยถาม “หนิงยา! กี่ยามแล้ว!”

เสียงฝีเท้าดังตึงตึงตึงดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงที่ชัดเจนของหนิงยา “ท่านเจ้าคะ ท่านตื่นแล้วหรือ บัดนี้ท่านเจินมารอท่านกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว!”

ซ่งชูอีตบศีรษะ “ชักช้า! เหตุใดจึงไม่เรียกข้า?”

หนิงยาดึงม่านขึ้น ได้ยินซ่งชูอีคล้ายไม่พอใจ จึงรีบพูดขึ้น “เมื่อเช้าท่านแม่ทัพสั่งบ่าวมิให้ปลุกท่าน ท่านเจินได้ยินว่าท่านป่วย จึงไม่ให้บ่าวมาปลุกท่านเจ้าค่ะ”

ทุกคนล้วนหวังดี ซ่งชูอีจึงไม่สามารถพูดอะไรได้ เอ่ยเพียงว่า “ครั้งหน้าก็มาปลุกข้า”

“เจ้าค่ะ” หนิงยาเห็นซ่งชูอีขยับตัวก็รีบหยิบเสื้อคลุมด้วยความรวดเร็ว วางบนฉากเตี้ยใกล้ๆ จากนั้นก็ประคองนางลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อ

ซ่งชูอีมีบางเรื่องต้องการไหว้วานให้เจินจวิ้นทำ เมื่อวานเพิ่งจะให้คนเชิญเขามาในวันนี้ แม้เรื่องจะไม่ด่วนมากทว่าเจินจวิ้นเป็นหัวหน้าตระกูลใหญ่ เดิมทีไม่มีกำลังคนเพียงพออยู่แล้ว ต้องแบกรับธุระมากมาย อย่าว่าแต่หนึ่งชั่วยามเลย แม้แต่สองเค่อก็ไม่อาจล่าช้าได้

หลังจากจัดการตัวเองอย่างง่ายๆ ซ่งชูอีก็ไปที่ห้องหนังสือ ทันทีที่นางเดิน บริเวณนั้นก็เจ็บปวด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เจินจวิ้นเห็นจึงไม่ได้ไปที่ห้องโถงหลัก

เจินจวิ้นรู้ว่าซ่งชูอีตื่นแล้วก็รู้สึกโล่งใจ ตามหนิงยาไปยังห้องหนังสือ

ทันทีที่เข้ามาในห้องก็เห็นซ่งชูอีกำลังพิงอยู่ที่เท้าแขน ถือถ้วยชาในมือ ผมไม่ได้ถูกมัดอย่างเรียบร้อยเช่นปกติทว่าถูกปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง หน้าตาธรรมดานั้นดูเกียจคร้าน ท่าทีสบายๆ เพียงแต่ใบหน้าซีดขาว ทำให้ลักษณะของนางทีซีดขาวอยู่แล้วดูบอบบางเข้าไปอีก

“ให้เจ้ารอนานแล้ว” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด “นั่ง”

เจินจวิ้นนั่งลงพลางเอ่ยว่า “ได้ยินว่าท่านป่วย จึงมิได้ให้แม่นางหนิงยารบกวน เมื่อวานได้รับเชิญจากท่าน ข้าก็ได้จัดการธุระเรียบร้อยแล้ว รอนิดหน่อยไม่เป็นปัญหา”

“เช่นนั้นก็ดี วันนี้เขิญเจ้ามา มีเรื่องหนึ่งต้องการไหว้วานให้เจ้าทำ” ซ่งชูอีเอ่ย

เจินจวิ้นขึงขัง “ท่านเชิญกล่าว”