นอกเหนือจากเรื่องนี้ เว่ยเต้าจื่อไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี เพียงแต่รู้สึกว่าการเดินทางมาเสียนหยางครั้งนี้ไม่เสียเที่ยว ดีเลวอย่างไรก็ได้เปิดหูเปิดตาสักครั้ง
“เฮ้อ! ใต้หล้าอันกว้างใหญ่ ทุกสรรพสิ่งล้วนมีทางของมันในการสร้างความหัศจรรย์เหนือคำบรรยาย!” เว่ยเต้าจื่อเงยหน้าถอนหายใจครู่หนึ่ง แล้วกลับห้องไปนอนต่อ
หลังจากเจ้าอี่โหลวป้อนยาให้ซ่งชูอีแล้วก็ให้หนิงยาเฝ้า ส่วนเขารีบไปลางานกับซือหม่าชั่วด้วยความรวดเร็วแล้ว
พระอาทิตย์ที่เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้าในยามเช้าค่อยๆ ซ่อนตัวอยู่ในชั้นเมฆอีกครั้ง เมฆดำมืดครึ้มก่อตัวตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเวลาพลบค่ำฝนจึงเริ่มตก ดับความร้อนแห้งของหล่งซีในช่วงต้นฤดูร้อน
หัลงจากซ่งชูอีดื่มยาไข้ก็ค่อยๆ ลดลง ทว่าอารมณ์ของเจ้าอี่โหลวยังคงร้อนรุ่ม ตราบที่ปกป้องนางทุกย่างก้าวเท่านั้นจึงจะสบายใจ
สายฝนตกกระทบชายคาดังเปาะแปะ เย็นสบายและเงียบสงบ ทั้งเมืองเสียนหยางถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางหมอกพิรุณ คนเดินถนนมีน้อยมาก
ในสายฝน รถม้าสีเทากำลังเคลื่อนตัวไปบนถนนสายหลักช้าๆ และหยุดลงตรงหน้าจวนของจวงจื่อ เด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกคนหนึ่งลงมาจากรถม้าเป็นคนแรก มือหนึ่งกางร่มออกด้วยความคล่องแคล่ว อีกมือหนึ่งประคองชายชราอายุมากกว่าหกสิบลงมาจากในรถ
ทั้งสองคนล้วนสวมเสื้อคลุมแขนกว้างธรรมดา ผมที่ขาวโพลนดุจหิมะของชายชราถูกพาดไว้ข้างหลังศีรษะครึ่งหนึ่ง หนวดสีขาวเกลี้ยงเกลาสะอาดตา ทว่าแทบไม่มีริ้วรอยบนใบหน้า ลักษณะราวกับเทพเซียนที่มีสุขภาพดียิ่ง
เมื่อมาถึงหน้าประตู เด็กหนุ่มก็ยกมือขึ้นเคาะๆ ประตู
ประตูเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เป็นเด็กชายอายุสิบห้าสิบหกปีโผล่ศีรษะออกมาเช่นกัน ครั้นเห็นทั้งสองคนที่อยู่หน้าประตูก็รีบคำนับ “คารวะท่านอาจารย์ปู่น้อย คารวะอาจารย์อา พวกท่านได้โปรดรอสักครู่”
เด็กหนุ่มรีบหมุนตัวไปปลดปลอนประตูเพื่อเปิดประตูใหญ่ “อาจารย์ปู่น้อย อาจารย์อาเชิญเข้ามา!”
“เซ่าหยาง เจ้าเอาเทียบของข้าฉบับนี้ให้ศิษย์พี่ของเจ้าเพื่อให้ซ่งจื่อก่อน แล้วให้เขามาพบข้า” หลังจากชายชราผ่านประตูมาก็หันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่ถือร่ม
“ขอรับ อาจารย์” ม่อเซ่าหยางรับคำ
ทันทีที่พวกเขามาถึงทางเดิน ก็มีบัณฑิตในเสื้อคลุมสีดำกว่าสิบคนออกมารับหน้า เอ่ยคำนับโดยพร้อมเพรียงกัน
“คารวะอาจารย์”
“คารวะอาจารย์อา”
“คารวะอาจารย์ปู่”
“คารวะอาจารย์ปู่น้อย”
“อืม เข้าไปคุยกันเถิด” ชายชราพยักหน้า
ม่อเซ่าหยางเก็บร่ม ประสานมือคำนับกลุ่มคนที่มีรุ่นราวคราวเดียวกัน “คารวะศิษย์พี่ทุกท่าน”
หลังจากคำนับกันเสร็จเรียบร้อย ก็เดินเรียงแถวกันเข้าไป
เมื่อนั่งลงแล้ว ชายวัยกลางอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวซ้ายบนสุดกล่าวขึ้น “ได้ยินว่าอาจารย์เจ็บป่วยระหว่างทาง ตอนนี้หายแล้วหรือยัง?”
“อืม ผ่านไปหลายเดือน ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” ชายชรารับน้ำที่ม่อเซ่าหยางส่งมา จิบคำหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าซ่งจื่อส่งซ่งเจียนเป็นศิษย์ของเยี่ยนหลีรึ?”
อีกคนตอบ “ขอรับ อาจารย์อา พฤติกรรมของซ่งหวยจินเช่นนี้ เกรงว่าไม่ต้องการคบค้ากับสำนักม่อแล้ว”
ชายชราหลุบตาลง พยักหน้าครุ่นคิด “ดูเหมือนซ่งจื่อต้องการเลี้ยงซ่งเจียนเป็นองครักษ์ข้างกาย ไม่สามารถให้เขามีสำนักได้ ศิษย์น้องเจ้าเค่อของพวกเจ้าก็เพราะเขาขอให้คนฝากฝังเข้าสำนักม่อ หากเขามีอคติกับสำนักม่อจริงๆ จะทำเยี่ยงนี้ทำไม?”
“ช่างน่าเสียดายซ่งเจียนนัก!” คนนั้นถอนหายใจเอ่ย
แววตาของชายชราเหลือบมองเขาเล็กน้อย “ต่อให้เขาคารวะเจ้าเป็นอาจารย์ เจ้ากล้ารับประกันไหมว่าจะสอนได้ดีกว่าเยี่ยนหลี?! แสวงหาความแข็งแกร่งหวงแหนพรสวรรค์นั้นไม่ผิด ทว่าอย่าลืมแก่นแท้ของสำนักม่อ!”
“อาจารย์ปู่น้อยสอนได้ถูกต้อง!” คนผู้นั้นประสานมือด้วยความเคร่งขรึม
บุคคลผู้นี้เป็นอาจารย์ของกู่จิง ปรมาจารย์แห่งสำนักม่อนามว่าสวินซื่อ
นับตั้งแต่ที่จวี้จื่อคนก่อนเสียชีวิต ก็เริ่มมีสัญญาณแห่งการแตกหักจางๆ ภายในสำนักม่อ จวี้จื่อรุ่นนี้รับช่วงดูแลสำนักม่อในวัยหกสิบ บัดนี้ผ่านมาห้าปีแล้ว เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตั้งแต่ปีกลาย ศิษย์สำนักม่อก็เริ่มแสดงอาการกระเหี้ยนกระหือรือ
จีเจ่อเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับจวี้จื่อคนปัจจุบัน เพียงแต่อายุน้อยกว่าหนึ่งปี ส่วนสุขภาพร่างกายก็ไม่ใคร่ดีนัก ดังนั้นจึงถือว่าถอนตัวจากการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งของจวี้จื่อนานแล้ว รุ่นนี้ของพวกเขาเหลือเพียงสามคน นอกเหนือจากจวี้จือกับจีเจ่อ ยังมีปรมาจารย์ดาบอีกคนซึ่งอายุเพียงสี่สิบกว่าๆ ในปีนี้ แต่เป็นผู้หญิง หากคำนวณดูแล้ว นางอายุน้อยกว่าชวนกู้ที่เป็นรุ่นน้องหกถึงเจ็ดปีทีเดียว
และปรมาจารย์ดาบหญิงผู้นี้ก็คืออาจารย์ของเจ้าอี่โหลว ฉู่เจาเสี่ยน
ฉู่เจาเสี่ยนเป็นชาวฉู่ ชื่อเดิมคือฉู่เจา ส่วนคำว่า “เสี่ยน” เป็นคำเรียกยกย่อง
สำนักขงจื้อและสำนักม่อถูกเรียกว่าเป็น “เสี่ยนเสวีย (สำนักเมธี)” ที่ยิ่งใหญ่สองแห่ง สิ่งที่เรียกว่า “เสี่ยนเสวีย” หมายถึงสำนักกระแสหลักที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อใต้หล้า การที่ฉู่เจาเสี่ยนสามารถมีตัวอักษรนี้ได้ ก็รู้ได้ว่านางจะต้องเก่งกาจด้านวิชาการเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็นบุคคลตัวแทนของเสี่ยนเสวีย เสี่ยนจื่อและจวี้จื่อล้วนเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงส่งแห่งสำนักม่อ สิ่งที่แตกต่างกันคือ จวี้จื่อกุมอำนาจที่แท้จริง มีอำนาจการตัดสินใจและระดมลูกศิษย์แห่งสำนักม่อ ส่วนเสี่ยนจื่อรับผิดชอบในการกำกับดูแล
ฉู่เจาเสี่ยนมีทักษะดาบและทักษะในเครื่องกลไกดีกว่า เป็นปรมาจารย์ดาบและเครื่องกลไกแถวหน้าของสำนักม่อ
เดิมทีฉู่เจาเสี่ยนเป็นตัวเลือกเดียวในการสืบทอดตำแหน่งจวี้จื่อ ทว่าเนื่องด้วยนางเป็นผู้หญิง ทำให้ผู้คนมากมายไม่พอใจ ศิษย์สำนักม่อแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนชวีกู้ศิษย์ใหญ่แห่งสำนักม่อ อีกฝ่ายสนับสนุนฉู่เจาเสี่ยน
ทุกคนพูดคุยกับครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าจีเจ่อมีสีหน้าอ่อนล้า จึงต่างหาข้ออ้างจากไป ให้เขาได้พักผ่อน
ม่อเซ่าหยางสวมชุดคลุมฟางกันฝน ขี่ม้าฝ่าฝนไปยังจวนกั๋วเว่ย
***
ท้องฟ้ามืดครึ้มแล้ว ซ่งชูอีเพิ่งจะฟื้นหลังจากหมดสติไปทั้งวัน ทว่าร่างกายยังคงอ่อนแอเล็กน้อย เจ้าอี่โหลวป้อนน้ำให้นางดื่ม นางพิงอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อยและจิบน้ำเป็นครั้งคราว
จางอี๋กับชูหลี่จี๋มหาเสนาบดีทั้งสองกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของ “น้องชาย” จึงทำงานอย่างหนักทั้งวัน จนกระทั่งบัดนี้จึงจะสามารถเจียดเวลามาเยี่ยมได้
ทันทีที่ทั้งสองคนเข้าห้องมาก็เห็นซ่งชูอีที่มีท่าทางเกียจคร้านจนน่าโมโหเช่นนี้ อึ้งไปชั่วขณะ
“ระยะหลังมานี้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากแล้วมิใช่รึ? เหตุใดจู่ๆ จึงจับไข้ได้?” จางอี๋ผู้ไม่รู้เรื่องราว นึกว่าโรคเก่าของซ่งชูอียังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้
ซ่งชูอีเหลือบตาขึ้นมอง “พี่ใหญ่ทั้งสองมาแล้วรึ? น้องชายไม่สะดวกลุกขึ้น พวกท่านตามสบาย”
“เห็นว่าเจ้าไม่เป็นไร พวกเราก็วางใจมากแล้ว” ชูหลี่จี๋กล่าว
“ท่านเจ้าคะ” หนิงยายืนอยู่นอกฉากกั้น กล่าวรายงานว่า “ท่านแม่ทัพมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”
บางแห่งในร่างกายส่วนล่างของซ่งชูอีมีความเจ็บปวด ครั้นได้ยินว่าซือหม่าชั่วรู้เรื่องนี้ ทันใดนั้นแม้แต่ศีรษะก็ปวดไปด้วย “อี่โหลวเจ้าไปต้อนรับเถิด”
เฮ้อ! กระทำเรื่องของหนุ่มสาวเพียงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะทำจนได้ผลลัพธ์เยี่ยงนี้ ช่างน่าเป็นห่วงจริงๆ! เจ้าอี่โหลววางถ้วยชาลงด้วยสีหน้าซับซ้อน ออกไปต้อนรับตามที่บอก
ไม่ช้า เจ้าอี่โหลวก็พาห้าหกคนเข้ามา แน่นอนว่าคนที่นำหน้าคือซือหม่าชั่ว คนอื่นๆ ก็คือซย่าเฉวียนกับนายพลไม่กี่คน
“ข้าน้อยคารวะกั๋วเว่ย!” นายพลสองสามคนนั้นกำหมัดคำนับ
ซือหม่าชั่วเอ่ยถาม “กั๋วเว่ยรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ไม่เป็นอะไรมาก ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วง”
ทหารใหม่เพิ่งได้รับการคัดเลือก การฝึกซ้อมเข้มข้น บวกกับการเปลี่ยนแปลงระบบทหารของซ่งชูอี เหล่าทหารต่างยุ่งจนเท้าไม่แตะพื้น พวกเขาก็ไม่ได้เป็นคนพูดเก่ง เพียงกล่าวคำห่วงใยสองสามคำก็จากไปแล้ว
หนิงยาเพิ่งจะส่งพวกซือหม่าชั่ว ก็พบกับม่อเซ่าหยางพอดี จึงวิ่งเหยาะกลับมาอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพ ม่อเซ่าหยางแห่งสำนักม่อขอพบเจ้าค่ะ”
เจ้าอี่โหลวนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงนึกขึ้นได้ว่าม่อเซ่าหยางคือใคร
“ข้าไปแล้วจะกลับมา” เขาพูดกับซ่งชูอี
“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้า
เจ้าอี่โหลวกางร่มเดินลัดผ่านลาน จนกระทั่งถึงประตูบ้าน
เด็กหนุ่มในชุดดำยืนกอดอกชมสายฝนอยู่ใต้ทางเดิน ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าก็หมุนตัวกลับมา เห็นเจ้าอี่โหลวที่ยังอยู่ห่างจากตนสองจั้งก็ประสานมือเอ่ย “คำนับศิษย์พี่”
เด็กหนุ่มในชุดดำอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ลายเส้นบนใบหน้ามีความอ่อนโยน คิ้วตาไม่ละเอียดอ่อนนัก ทว่ารวมกันแล้วมีเสน่ห์ยิ่ง มีบุคลิกอ่อนโยนและสง่างามตั้งแต่เด็ก ทำให้ผู้คนรู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่แรกเห็นได้อย่างง่ายดาย เจ้าอี่โหลวมองสำรวจม่อเซ่าหยางสองสามรอบ เขาอยู่ที่สำนักม่อไม่ถึงสองปี ตอนที่จากมา ม่อเซ่าหยางเพิ่งจะเข้าสำนัก ทั้งสองคนมิได้มีอาจารย์คนเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่สนิทสนม
“ไปเถิด เข้ามาคุยในห้อง” เจ้าอี่โหลวหุบร่มแล้วส่งสัญญาณให้เขาเดินไปตามทางเดิน
“ศิษย์พี่เชิญ” ม่อเซ่าหยางถอยหลังไปครึ่งก้าว
เงียบงันตลอดทาง มีเพียงเสียงฝน
เมื่อเดินเข้ามาในห้องโถงหลัก หลังจากที่ต่างคนต่างนั่งลงแล้ว เจ้าอี่โหลวจึงเอ่ยถาม “ช่วงนี้อาจารย์ข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ม่อเซ่าหยางยิ้มเอ่ยน้อยๆ “อาจารย์อาก็ยังเป็นเช่นเดิม หมกมุ่นอยู่กับทักษะเชิงกล วันทั้งวันลึกลับหาตัวจับยาก ครึ่งปีมานี้ข้าพบเจอเพียงแค่ครั้งหนึ่ง ดูแล้วยังสบายดี”
เขาพูดพลางสำรวจเจ้าอี่โหลวด้วยความแนบเนียบ หลังจากเขาเข้าสำนักแล้วก็ใช้เวลาอยู่ลานหลักของสำนักม่อนานกว่า แม้จะเห็นเจ้าอี่โหลวแวบๆ เพียงสองสามครั้ง ทว่าตอนนั้นรู้สึกว่าเขามีหน้าตาสง่างามดุจมังกรและหงสา ไม่ใช่คนสามัญธรรมดาโดยสิ้นเชิง ความประทับใจสุดล้ำลึก บัดนี้ เห็นว่าเขาสูญเสียความไร้เดียงสาในตอนนั้นไปแล้ว แววตาสงบนิ่ง หล่อเหลามีพลัง ดูคล้ายเทพเจ้ายิ่งนัก
“อาจารย์ลุงสบายดีไหม?” เจ้าอี่โหลวถามอีก
ม่อเซ่าหยางเอ่ย “อาจารย์ล้มป่วยระหว่างทางไปเสียนหยาง โชคดีที่แม้ร้ายแรงทว่าไม่เป็นอันตราย บัดนี้ปลอดภัยแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” เจ้าอี่โหลวพูดคุยสัพเพเหระไม่เก่ง แต่เขามีวิจารณญาณที่เฉียบแหลมมาก ม่อเซ่าหยางเป็นมิตรอย่างแท้จริง เขาจึงกล่าวอีกสองสามคำอย่างเป็นธรรมชาติ “อาจารย์ลุงมาด้วยตัวเอง เพราะเรื่องของซ่งเจียนรึ?”
ม่อเซ่าหยางเอ่ย “ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ เรื่องของซ่งเจียนเป็นเรื่องรอง อาจารย์มาด้วยตัวเอง หลักๆ แล้วเพราะต้องการแวะคารวะซ่งจื่อ อาจารย์ต้องการพบศิษย์พี่ก่อนพบซ่งจื่อ ไม่ทราบว่าศิษย์พี่สะดวกเวลาใด?”
ท่านอาวุโสเชื้อเชิญ มีเหตุผลใดเล่าที่จะไม่ไป เพียงแต่วาจาของม่อเซ่าหยางฟังแล้วรื่นหูยิ่ง
“พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปแวะคารวะอาจารย์ลุง” จากนั้นเจ้าอี่โหลวถามต่อ “เหตุใดอาจารย์ลุงจึงต้องการพบหวยจิน?”
จีเจ่อในฐานะเสาหลักของจีเจ่อ ไม่อยู่ในลานหลัก ทว่ากลับเดินทางหลายพันลี้มาเสียนหยาง คงมิได้มาเพียงเพื่อยกย่องหรอกกระมัง!
“เรื่องนี้…ข้าก็ไม่ใคร่แน่ใจ แต่ว่าครึ่งปีก่อน อาจารย์อาได้รับแผนภาพเครื่องกลไกซึ่งถูกส่งกลับจากสาขารัฐฉิน ว่ากันว่าวาดโดยซ่งจื่อ…ข้าเดาเอาเองว่าเรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาจารย์อา?” คำพูดของม่อเซ่าหยางนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา เขาคิดว่าเจ้าอี่โหลวน่าจะเข้าใจ
ภายในสำนักม่อปั่นป่วน แม้ว่าจีเจ่อมิได้ไม่เคยแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ทว่าทุกพฤติกรรมของเขาล้วนสนับสนุนฉู่เจ้าเสี่ยนย่างลับๆ ม่อเซ่าหยางติดตามจีเจ่อตลอดเวลา ย่อมสามารถรู้สึกได้
ทว่าม่อเซ่าหยางคาดเดาผิดไปแล้วจริงๆ ขณะที่เจ้าอี่โหลวอยู่ในสำนักม่อนอกจากฝึกดาบแล้วก็ฝึกดาบ ไม่เคยสนใจเรื่องอื่นใดเลย ไม่นับว่าเข้าใจสำนักม่อมากนัก
ในเมื่อม่อเซ่าหยางได้คำตอบแล้ว สิ่งที่ควรพูดก็พูดออกไปแล้ว จึงส่งจดหมายให้กับเจ้าอี่โหลว ขอให้เขาทักทายซ่งชูอีสองสามคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไป
เจ้าอี่โหลวกลับไปยังห้องนอน
ซ่งชูอำลังอ่านเอกสารราชการอยู่บนตั่ง จางอี๋กับชูหลี่จี๋ไม่รู้ว่ากลับไปตั้งแต่เมื่อไรแล้ว
“เจ้าค่อยอ่านพรุ่งนี้ไม่ได้รึไง?” เจ้าอี่โหลวอยากจะโมโห ทว่าครั้นคิดว่านางบาดเจ็บเพียงนี้ล้วนเป็นเพราะเขา คำที่ติดอยู่ข้างปากจึงอ่อนโยนลงเสียสามส่วน
“ข้าไม่ได้พิการเสียหน่อย บอบบางเพียงนั้นที่ไหนกัน” ซ่งชูเอ่ย
“อาจารย์ลุงของข้าฝากจดหมายมาให้เจ้า” เจ้าอี่โหลวยื่นกระบอกไผ่ให้นาง