บทที่ 318 เป้าหมาย (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 318 เป้าหมาย (2)

พวกหลินฉีย่าพลันแสดงสีหน้าลิงโลด

“หลินฉีย่าจากตระกูลหลินคำนับผู้อาวุโสจัวแห่งสำนักเงาจันทร์” หลินฉีย่ารีบโค้งตัวไปทางท้องฟ้าอย่างเคารพ

เกิดเสียงเสื้อผ้าสะบัดดังพึ่บพั่บ เงาสีขาวสายหนึ่งลอยลงมาจากท้องฟ้า ทิ้งตัวลงบนกำแพงอย่างแผ่วเบาแล้วก้มมองด้านล่าง

คนผู้นี้คือชายชราผมขาวที่มีใบหน้าคล้ายกับจัวเทียนอี้ ตอนแรกเขายังยิ้มอยู่ แต่ว่าหลังยืนมั่นแล้ว พอมองไปด้านล่าง ก็พลันร้อนใจทันที

จัวเทียนอี้หลานของเขาถูกซากกำแพงทับอยู่บนพื้น มองเห็นแค่เครื่องประดับและเสื้อผ้าส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เท่านั้น

คนหนุ่มอาภรณ์เขียวอีกคนหนึ่ง ยืนอยู่บนร่างของหลานชาย ดูท่าทางจะไม่รู้เลยว่าข้างใต้ตนมีคนถูกฝังอยู่คนหนึ่ง

“หลี่ฉงหยางเป็นใคร” ลู่เซิ่งเงยหน้ามองชายชรา

“เทียนอี้หรือ!?” พอชายชราเห็นสภาพอนาถของจัวเทียนอี้ก็ขอบตาแดงก่ำ “ไอ้หนู! ตอนแรกคิดจะไว้ชีวิตเจ้า ตอนนี้จงตายเสียเถอะ!”

ชายชราโผลงมาเหมือนกับวิหคยักษ์ เงาดำหลายสายหมุนเวียนอยู่ด้านหน้า จากนั้นก็รวมตัวกันบนสองมือของเขา

“ประกายจันทร์ บดขยี้มังกร!”

พริบตานั้นแสงอันสุกใสที่เจิดจ้ากว่าก่อนหน้านี้ ก็เบ่งบานระหว่างสองมือของชายชราอย่างฉับพลัน แล้วกดทับใส่ลู่เซิ่ง

ครั้นแสงจันทร์นี้สว่างขึ้น หลินฉีย่าสองพ่อลูกที่ยืนอยู่ไกลๆ ก็สัมผัสได้ทันทีว่าทั้งร่างเย็นเยียบ เกล็ดน้ำแข็งเบาบางชั้นหนึ่งปกคลุมเสื้อผ้าและร่างกาย

“ตาย!”

จันทร์เพ็ญระเบิดใส่ตำแหน่งที่ลู่เซิ่งยืนอยู่อย่างสะเทือนเลื่อนลั่น

“กระบวนท่าไร้ชื่อลำดับที่สอง”

ลู่เซิ่งเตะใส่ก้อนหินก้อนหนึ่งตรงหน้า

เปรี้ยง!

ก้อนหินขนาดเท่าอ่างล้างหน้าลอยออกไปชนใส่แสงจันทร์อย่างหนักหน่วงด้วยความเร็วที่น่ากลัวจนไม่อาจบรรยาย

แสงจันทร์ต้านทานได้ครึ่งอึดใจก็แหลกสลาย ก้อนหินหมุนคว้างด้วยความเร็วสูง ก่อนจะกระแทกใส่ทรวงอกของชายชราท่ามกลางสายตาที่ตื่นตระหนกของเขาเอง

เปรี้ยง!

ผู้อาวุโสจัวลอยออกไปไกล ราวสี่อึดใจต่อมาค่อยได้ยินเสียงดังสนั่นอันเลือนรางดังมา ไม่ทราบว่าหล่นไปตรงไหน

ทุกอย่างเงียบสงบลงอีกครั้ง

“ยังมีคนอีกไหม” ลู่เซิ่งเดินเข้ามาในตัวลาน กวาดตามองซ้ายขวา รอบๆ ว่างเปล่า นอกจากพ่อลูกหลินฉีย่าแล้วก็ไม่มีใครกล้ารั้งอยู่อีก

สองพ่อลูกตัวสั่นงันงก ไม่รู้ควรจะพูดอะไรดี

นั่นคือใคร นั่นมันผู้อาวุโสสี่แห่งสำนักเงาจันทร์เชียวนะ! ยอดฝีมือที่จัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกแห่งสำนักเงาจันทร์ถูกศิษย์ภายในที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่งตรงหน้าเตะก้อนหินใส่จนกระเด็นไปแล้ว…

“ได้ยินมาว่าลู่เซิ่งผู้นี้ทรงพลังโดยกำเนิด…” เวลานี้หลินฉวีค่อยนึกถึงข่าวที่ตรวจสอบมาก่อนหน้า ทรงพลังโดยกำเนิด…แต่นี่ก็ทรงพลังเกินไปกระมัง ปกติแล้วศิษย์ภายในกับผู้อาวุโสสำนักอย่างน้อยก็ต่างกันสองระดับ อาศัยแค่ความทรงพลังโดยกำเนิดเตะใส่ก็จบเรื่องได้หรือ

“คุณชายอู๋…อยู่ข้างบ่อน้ำที่เรือนหลัง…พวกเราจะตัดมือตัวเอง ขอให้คุณชายลู่ปรานีสักครั้ง…” สุดท้ายหลินฉีย่าก็ก้มหน้าลง ที่แล้วมาเขาเป็นคนยืดได้หดได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะอายุน้อยใกล้เคียงกับลูกตนเอง แต่สภาพการณ์เป็นเช่นนี้ เมื่อควรก้มหน้าก็ต้องก้มหน้า รักษาศักดิ์ศรีไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ล่วงเกินสำนักเงาจันทร์แล้ว ภายภาคหน้าต้องลำบากแน่ ขอแค่ผ่านด่านในตอนนี้ไปให้ได้ก่อน…

“อย่าทำร้ายท่านพ่อนะ!” อยู่ๆ ก็มีเงางดงามแช่มช้อยพุ่งออกมาจากในห้อง จากนั้นก็ขวางอยู่ด้านหน้าพวกหลินฉีย่า

ผู้มาเป็นเด็กสาวหน้าตางดงามที่อายุไม่เกินสิบหกปี

ดวงตาทรงลูกบ๊วย คิ้วทรงต้นหลิว ปากทรงอิงเถา ผิวขาวนวล เอวคอดกิ่ว นอกจากหน้าอกหน้าใจที่ยังไม่อวบอิ่ม ทรวดทรวงองค์เอวของเด็กสาวก็งามงอนสุดเปรียบปาน อายุยังน้อยก็มีความงามบริสุทธิ์ที่น่าลุ่มหลงสุดแสนแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากวิ่งมา ชุดขี่ม้าสีดำที่นางสวมจึงเปียกเหงื่อจนขับเน้นส่วนนูนที่ไวต่อความรู้สึกจำนวนไม่น้อย

“หลินซวน! ที่นี่ไม่มีธุระของเจ้า! เจ้ามาทำอะไร รีบไสหัวไป!” หลินฉีย่ากับหลินฉวีเห็นเด็กสาววิ่งมาก็ร้อนใจ หลินฉวีไม่รู้เอาความกล้ามาจากไหน อ้าปากดุว่าน้องสาวเสียงดัง

“ข้าไม่ไป! ท่านพ่อ ท่านพี่ พวกท่านวางใจ ต่อให้ตาย ข้าก็จะตายต่อหน้าพวกท่าน!” หลินซวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังแน่วแน่

นางหันไปมองลู่เซิ่ง ผมหางม้าสีดำสนิทด้านหลังแกว่งไปมา

“อยากจะฆ่าท่านพ่อกับท่านพี่ของข้า เจ้าต้องฆ่าข้าก่อน!”

นางยืดอกเล็กน่าลุ่มหลงขึ้น ถลึงตาจ้องมองดวงตาของลู่เซิ่งอย่างไร้ความเกรงกลัว

ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงว่าตระกูลที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างตระกูลหลินจะมีเด็กสาวผู้งดงามที่ไม่กลัวตายแบบนี้

เขาฉีกยิ้มมุมปากอย่างแข็งทื่อ

“ความกล้าน่าชื่นชม พอเห็นเจ้าก็นึกถึงน้องสาวที่บ้านข้าขึ้นมา ตอนนั้นนางก็เหมือนกับเจ้า น่ารักแบบนี้เหมือนกัน…มีความกล้าแบบนี้เหมือนกัน…” ดวงตาลู่เซิ่งฉายแววรำลึก

เขายื่นมืออกไปลูบผมยาวของหลินซวนอย่างแผ่วเบา ฝ่ายหลังไม่กล้าขยับเขยื้อน

“ท่าน…ปล่อยพวกเรา…ไปได้หรือไม่…พวกเราจะชดเชยให้ จะส่งของขวัญขอโทษให้!” หลินซวนกัดฟัน พยายามทำให้ร่างของตนเองไม่สั่นเทิ้ม

ลู่เซิ่งมองเด็กสาวตรงหน้า ดวงตาฉายแววอบอุ่น เขานึกถึงลู่ชิงชิงในตอนนั้น นางมักจะชอบตัดสินใจโดยพลการ รวมถึงทำอะไรไม่ยั้งคิดเหมือนกับเด็กสาวตรงหน้า

“แน่นอนว่า…ไม่ได้”

เปรี้ยง!

เขาะเตะใส่เอวของหลินซวน นางกระเด็นออกไป ก่อนจะหล่นลงไปในบ่อน้ำด้านข้างอย่างหนักหน่วง เกิดละอองน้ำผืนใหญ่กระเซ็นขึ้นมา เลือดหย่อมหนึ่งกระจายออกมาในละอองน้ำอย่างช้าๆ

ลู่เซิ่งพูดสองคำสุดท้ายจบ ก็หันไปหาพ่อลูกตระกูลหลินที่ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

“ยังมีคำสั่งเสียหรือไม่” เขาถามอย่างไม่ใส่ใจ

“ซวนซวน…เจ้า…จะต้องถูกลงโทษ!” หลินฉีย่าน้ำตาไหลพราก เคียดแค้นจนกัดฟันกรอด

“หลายๆ คนก็พูดแบบนี้ น่าเสียดายที่พวกเขาล้วนตายหมดแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้ม ยื่นมือออกไปหักคออีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

ความแค้นในดวงตาหลินฉีย่าค่อยๆ หายไป คอหักล้มลงกับพื้น

“อ๊ากกกกก!” หลินฉวีเตะต่อยใส่เขาเหมือนกับคนบ้า

แต่ลู่เซิ่งจิกผมเขาไว้ แล้วฟาดใส่กับเสากลมทางขวา

กร๊อบ

เสียงกระดูกสันหลังหักดังมา หลินฉวีกระอักเลือด จากนั้นก็แน่นิ่งไป

หลังจากฆ่าพ่อลูกตระกูลหลินเสร็จ ลู่เซิ่งก็หมุนตัวเดินเข้าไปหาจัวเทียนอี้ที่ถูกกลบฝังต่อ

“พอแล้วลู่เซิ่ง”

พริบตานั้นมีเงาคนสองสามสายเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาจากนอกประตูเรือน คนนำหน้าคือเฟยค่งจื่อผู้ชี้นำแห่งพรรคอาทิตย์วสันต์ อีกสองเป็นผู้ดูแลเรื่องราวสองคนจากตำหนักรักษากฎ ที่ดูแลเรื่องการลงทัณฑ์ ล้วนเป็นบุรุษวัยกลางคนที่ดูผอมยิ่ง

“ที่แท้เป็นอาจารย์เฟยค่งจื่อ” ลู่เซิ่งรีบยกมือขึ้น “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น! พอข้ามาถึงก็เป็นแบบนี้แล้ว ตระกูลหลินจับสหายข้าไว้ เดิมทีข้าจะมาเจรจา ดูว่าทำอย่างไรถึงจะแลกตัวคนออกมาได้ คิดไม่ถึง…”

“ไม่ต้องอธิบาย คนตายก็ตายไปแล้ว เพียงแต่คนที่เจ้าฆ่ามีมากเกินไปหน่อย ละเมิดเงื่อนไขการดูแลของทางการ อาจจะถูกปรับเงินจำนวนมาก เตรียมใจไว้ให้ดีด้วย” เฟยค่งจื่อกล่าวอย่างไม่นำพา เทียบกับเรื่องเหล่านี้แล้ว เขาสนใจมากกว่าว่าลู่เซิ่งฆ่าคนจำนวนมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร เขาพอจะรู้จักเบื้องหลังของตระกูลหลินคร่าวๆ สำนักเงาจันทร์เป็นสำนักที่มีขนาดใกล้เคียงกับพรรคอาทิตย์วสันต์ ตระกูลหลินนี้พึ่งพาสำนักเงาจันทร์ ศิษย์ภายในทั่วไปคิดจะต่อสู้กับพวกเขาเพียงลำพัง แทบเหมือนคนช่างฝันพูดเพ้อเจ้อ

ดังนั้นพอได้รับข่าวเขาก็พาคนมาตรวจสอบทันที ดูว่ามีส่วนที่ละเมิดกฎของพรรคหรือไม่

“ปรับเงินหรือ?” ลู่เซิ่งนึกว่าตัวเองจะถูกจับขัง คาดไม่ถึงว่าเฟยค่งจื่อจะแสดงท่าทีราบเรียบแบบนี้ คล้ายกับการฆ่าคนไปหลายคนไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อย่างไรอย่างนั้น

“อ้อ เจ้าอาจจะยังไม่รู้” เฟยค่งจื่อฉีกยิ้มให้ลู่เซิ่ง “ศิษย์ภายนอกกับศิษย์ภายในต่างมีจำนวนที่ฆ่าคนธรรมดาได้…อย่างเจ้าได้ปีละสามคน หากเกินไปกว่านี้ต้องจ่ายค่าปรับ”

“จำนวนการฆ่าคน…” ลู่เซิ่งเห็นเฟ่ยคงจื่อแสดงสีหน้าเหมือนไม่เห็นศพ จากนั้นก็มองใบหน้าอึมครึมที่คล้ายพบเห็นบ่อยจนชินตาของสองคนที่อยู่ด้านหลังอีกครั้ง

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าความแตกต่างใหญ่หลวงที่สุดระหว่างที่นี่กับต้าซ่งคือตรงไหน

และเข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดคนมากมายจึงพยายามเบียดเข้าสำนัก ที่แท้สาเหตุมาจากตรงนี้นี่เอง

“เบื้องหลังตระกูลหลินมีสำนักเงาจันทร์คอยค้ำยัน พวกเราคิดลงมือมานานแล้ว เพียงแต่ติดที่เหตุผลพิเศษบางส่วนจึงลงมือไม่ได้ ตอนนี้เจ้าจัดการแล้วก็ดี พวกเจ้ามีบุญคุณความแค้นส่วนตัว ต่อให้เป็นสำนักเงาจันทร์ก็หาเหตุผลมาไม่ได้” เฟยค่งจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ถ้าคนผู้นี้ไม่ตาย ทุกอย่างก็ยังคงแก้ไขได้” เขาชี้ไปที่จัวเทียนอี้

“อย่างนั้นตอนนี้ข้าต้องทำอะไร” ลู่เซิ่งกะพริบตาถาม

“พวกเราจะตรวจสอบก่อนว่าเจ้าละเมิดกฎของพรรคหรือไม่ ถ้าไม่ อย่างนั้นก็ตามข้าไปตำหนักวีรบุรุษ พวกผู้อาวุโสอาจจะต้องตรวจสอบการประเมินของเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้ใหม่” ตอนนี้ท่าทีของเฟยค่งจื่อต่างไปจากตอนชี้นำผู้คนเมื่อก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ที่แล้วมาแม้จะทราบว่าลู่เซิ่งทรงพลังโดยกำเนิด แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะทรงพลังถึงขั้นนี้

“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าก่อน ผู้อาวุโสใหญ่แสดงความสนใจต่อตัวเจ้าอย่างชัดเจน ความจริงพวกเราได้ตรวจสอบและประเมินการแสดงออกตั้งแต่ตอนเจ้าลงมือจนถึงตอนพวกเรามาถึงอย่างละเอียดแล้ว ตอนนี้แค่ทำเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ต้องเป็นห่วงไป” เฟยค่งจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งฉุกใจ เข้าใจว่าอีกฝ่ายเฝ้าดูสถานการณ์ของที่นี่มาตั้งแต่ต้นแล้ว

กลุ่มคนอาภรณ์เขียวกลุ่มหนึ่งถลันพุ่งมาจากด้านหลังเฟยค่งจื่อ แล้วเริ่มเก็บกวาดตระกูลหลิน

ผู้ดูแลเรื่องราวจากตำหนักรักษากฎสองคนเริ่มแสร้งทำเป็นตรวจสอบรอบๆ

ลู่เซิ่งกับเฟยค่งจื่อออกมาจากประตูเรือน จากนั้นก็เดินทอดน่องบนถนนที่ว่างเปล่าไปยังพรรคอาทิตย์วสันต์

“เจ้าไม่ต้องห่วง คนของตระกูลอู๋ไม่เป็นไร ตระกูลหลินยังไม่ทันทำอะไรเขา เจ้าก็มาถึงเสียก่อน” เฟยค่งจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไปก่อนหน้านี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าตัวเองมีพละกำลังมากขนาดนี้”

“ข้ามีพละกำลังเยอะมาตั้งแต่เด็กแล้ว หลังจากฆ่าโคตัวหนึ่งด้วยหมัดเดียวตอนสามขวบ ข้าก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดา” ลู่เซิ่งเริ่มแต่งเรื่อง “ภายหลังข้าร่อนเร่ไปทั่ว ตามหาคนมีชื่อเสียงเพื่อกราบเป็นอาจารย์และร่ำเรียนวิชา น่าเสียดายที่ไม่เจอสิ่งที่ตัวเองอยากเรียน จนกระทั่งได้เห็นยอดฝีมือคนหนึ่งของพรรคอาทิตย์วสันต์ตอนมาถึงที่นี่…”

“อ้อ? ยอดฝีมือคนไหนหรือ บอกได้หรือไม่” เฟยค่งจื่อพลันสนใจ

ลู่เซิ่งยิ้มๆ “ไม่ใช่ความลับอะไร ข้าเห็นเขาบนเขาจันทราหลับใหล นั่นเป็นสตรีนางหนึ่ง ตอนนั้นกำลังกลุ้มรุมยอดฝีมือวิถีมารที่ชื่อนักศึกษาหัตถ์มาร”

“อ้อ? ข้ารู้ว่าเจ้าพูดถึงคนไหนแล้ว น่าจะเป็นคนหนึ่งในหมู่ศิษย์จริงแท้ เหวินชิงซู่คุณหนูใหญ่เหวิน!” เฟยค่งจื่อหัวเราะพลางตบบ่าลู่เซิ่ง “เจ้านี่โชคดีนะ ได้เห็นคุณหนูใหญ่ลงมือกลุ้มรุมนักศึกษาหัตถ์มาร นั่นอาจจะเป็นการต่อสู้พิเศษที่ศิษย์ในพรรคจำนวนไม่น้อยอยากชมดูทีเดียว”

“อย่างนั้นข้าก็โชคดีจริงๆ แล้ว” ลู่เซิ่งมองเห็นว่าไกลๆ มีรถม้าที่มีสัญลักษณ์ของพรรคอาทิตย์วสันต์กำลังรอคนทั้งสองอยู่ จึงทราบว่าครั้งนี้ตนได้ดึงดูดความสนใจของพรรคอาทิตย์วสันต์จริงๆ แล้ว

เดิมทีคิดจะกำจัดคนหนุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ก้อนหิน แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว

แค่เด็กน้อยที่ยังไม่นับเป็นแมลงด้วยซ้ำ ให้เวลาเขาพันปีก็คุกคามตนไม่ได้

……………………………………….