บทที่ 319 ราบรื่น (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 319 ราบรื่น (1)

ตอนที่ลู่เซิ่งกลับถึงพรรคอาทิตย์วสันต์ ข่าวยังคงแพร่หลายแค่ในหมู่ระดับสูง เหมือนไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาบุกตระกูลหลินในอำเภอเพียงคนเดียว ทั้งยังไม่มีการป่าวประกาศออกไป

เขาที่สวมชุดศิษย์ภายในมุ่งหน้าไปยังตำหนักผู้อาวุโสโดยมีเฟยค่งจื่อเป็นคนนำทาง

ด้านในพรรคอาทิตย์วสันต์เหมือนกำลังจัดพิธีต้อนรับ ศิษย์สตรีงดงามจำนวนไม่น้อยได้รับการคัดเลือกให้เปลี่ยนไปสวมชุดกระโปรงผ้าบางสีเขียวและพกกระบี่ยาวที่งดงามกว่าเดิม ในที่ว่างข้างทางยังเห็นเหล่าศิษย์สตรีเข้าแถวฝึกฝนอย่างเป็นระเบียบได้เป็นระยะ

ลู่เซิ่งคอยสังเกตมองตอนเดินผ่าน พบว่าเทียบกับสำนักในต้าซ่งแล้ว กฎของพรรคอาทิตย์วสันต์มีความเข้มงวดมากกว่า

หรือควรบอกว่า พวกเขาควบคุมศิษย์เข้มงวดกว่า ในด้านสารกาย ปราณ จิตยิ่งมีการควบคุมจำกัดมากกว่าอย่างชัดเจน

‘เป็นเพราะว่าพรรคควบคุมวิชาและอาณาเขตในการดูดซับสารกายหรือ’ เขาคาดเดาในใจ

เขาติดตามเฟยค่งจื่อมาถึงหน้าตำหนักผู้อาวุโส ด้านหน้าตำหนักใหญ่หินหยกสีขาวมีคนเดินขวักไขว่ ผู้ชี้แนะจำนวนไม่น้อยเข้าๆ ออกๆ แต่ว่าศิษย์อย่างเขากลับพบเห็นน้อยถึงขีดสุด ผู้ชี้แนะที่เข้าออกจำนวนไม่น้อยอดมองเขาตลอดเวลาไม่ได้

ในตำหนักผู้อาวุโส ห้องประชุมลับ

พรรคอาทิตย์วสันต์มีผู้อาวุโสห้าคน มาถึงแล้วสี่คน

ผู้อาวุโสใหญ่อวิ๋นฮั่นจู๋ ฉายาเฒ่าไผ่นภาสวมเสื้อคลุมลายใบไผ่สีเขียวมรกต นั่งอยู่บนตำแหน่งของตัวเองเงียบๆ

ผู้อาวุโสอีกสามคนส่วนใหญ่สวมหน้ากากสีดำ มองไม่เห็นใบหน้า มีแต่ร่างกายงองุ้มที่อำพรางไม่ได้ จึงโดดเด่นออกมา

อวิ๋นฮั่นจู๋มองสหายอีกสามคนพลางกระแอมไอ “เรื่องตระกูลหลินในอำเภอจันทราหลับใหลนับว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว เดิมทีข้าคิดส่งคนในพรรคไปหยั่งเชิง นึกไม่ถึงว่าศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่คนหนึ่งจะช่วยเราจัดการปัญหาภายในได้ ได้ตรวจสอบเบื้องหลังของศิษย์ที่ชื่อลู่เซิ่งนี้หรือยัง”

ผู้อาวุโสใหญ่อีกสามคนไม่ส่งเสียง

อวิ๋นฮั่นจู๋ขมวดคิ้ว “สุ่ยเซ่อ เจ้าว่ามา”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านขวางุนงงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า

“สถานการณ์เรียบง่ายมาก ลู่เซิ่งผู้นี้เป็นเด็กกำพร้า เติบโตในเขาจันทราหลับใหล เพิ่งออกเขามาจึงอ่านเขียนไม่ได้ ว่ากันว่าอยู่กับนายพรานที่ออกล่าสัตว์คนหนึ่งในเขาหลายปี ไม่มีความรู้แม้แต่น้อย”

“เท่ากับไม่ได้ตรวจสอบ ข้อมูลแค่นี้มีประโยชน์อะไร เผ่ามารที่ปลอมแปลงได้ก็มีข้อมูลรายงานแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ” ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวอย่างรำคาญ

“ข้าตรวจสอบตามรายทางมาแล้ว เขาปรากฏตัวครั้งแรกในป่าเขาใกล้เขาจันทราหลับใหล มีคนตัดฟืนเคยเห็นเขา ยังมีนายพรานเคยสอนภาษาของที่นี่ให้เขา” สุ่ยเซ่อเอ่ยอย่างราบเรียบ

“นี่อธิบายอะไรไม่ได้เลย ไส้ศึกของทัพมารที่ปลอมแปลงมาก็สร้างข้อมูลแบบนี้ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน” ผู้อาวุโสคนนั้นไม่ถูกกับสุ่ยเซ่อ เลยไม่ยอมลดราวาศอก “ข้าตรวจสอบมาแล้วว่าแม้ลู่เซิ่งผู้นี้จะมีความเป็นมาไม่แน่ชัด แต่สายเลือดของเขามีกลิ่นอายพิเศษที่เบาบางมากๆ อยู่”

“อ้อ? กลิ่นอายของตระกูลไหนหรือ”

“ดูเหมือนจะเป็นธาตุไฟ สายหยาง ยังแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นตระกูลไหน แต่ไม่ใช่สายหยินของพิภพมาร”

“ขอแค่ไม่ใช่ไส้ศึกของทัพมารก็พอ ในเมื่อมีคุณสมบัติทางสายเลือด อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ พวกเราไม่ได้เลือกศิษย์ที่ได้ความมาห้าปีแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ผู้มีความสามารถต้องมาก่อน ครั้งนี้ให้เขากับหลานข้าไปทดสอบที่จุดเชื่อมด้วยกันดู” ผู้อาวุโสใหญ่กำหนดแผนการ

“ตัวเลือกศิษย์จริงแท้หกคนเมื่อก่อนหน้านี้เล่า” สุ่ยเซ่อถาม

“ศิษย์กลุ่มนี้อย่างดีที่สุดมีไม่กี่คน ให้สองคนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาออกจากตำแหน่ง ต้องมอบทรัพยากรให้แก่ศิษย์ที่มีคุณสมบัติดีที่สุดก่อน” ผู้อาวุโสใหญ่พูดอย่างเรียบเฉย

“ถูกต้อง”

“สมเหตุสมผล”

เหล่าผู้อาวุโสพากันพยักหน้า

“แล้วหวังอวิ่นหลงที่เพิ่งเข้าพรรคมาเล่า…” สุ่ยเซ่อพลันถามอย่างลำบากใจ

“คุณสมบัติร่างชีพจรปลอดโปร่งหรือ…” ผู้อาวุโสใหญ่นิ่วหน้า “ให้ศิษย์จริงแท้อีกคนออกจากตำแหน่ง ปกติพวกเขารอได้อยู่แล้ว ช่วงเวลาผลึกพิเศษหายไปแค่นิดหน่อย ไม่ส่งผลอะไรมากหรอก”

“อือ ถูกต้อง”

ลู่เซิ่งรออยู่ด้านนอกตำหนักผู้อาวุโสสักพัก ไม่มีคนให้เขาเข้าไป แต่ไม่นานเฟยค่งจื่อก็เดินออกมา จากนั้นก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายินดี

“ยินดีด้วยศิษย์น้อง ได้รายชื่อไปจุดเชื่อมแล้ว”

“รายชื่อไปจุดเชื่อมหรือ คืออะไรกัน” ลู่เซิ่งไม่เข้าใจ

“ไปเถอะ พวกเรากินข้าวไปพลางพูดคุยกันไปพลาง” ท่าทีของเฟยค่งจื่อกระตือรือร้นกว่าก่อนหน้าอย่างชัดเจน

ทั้งสองมาถึงโรงอาหารด้านนอกพรรคอาทิตย์วสันต์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปิดห้องส่วนตัว หลังดื่มสุราไปสามรอบ เฟยค่งจื่อจึงค่อยบอกว่าจุดเชื่อมคืออะไร

“ศิษย์น้องยังไม่รู้ จุดเชื่อมที่ว่านี้เป็นจุดรวมตัวของปราณวิญญาณฟ้าดินที่มอบปราณวิญญาณให้มากกว่าเดิม เป็นสถานที่ที่มีปราณวิญญาณมากที่สุดในพรรคอาทิตย์วสันต์ สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนของคนธรรมดาได้อย่างใหญ่หลวง”

“นี่…ไม่ใช่ว่าทุกคนฝึกฝนด้วยกันหรอกหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างประหลาดใจ

เฟยค่งจื่อส่ายหน้า “นั่นไม่ใช่การฝึกฝน แต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่ง การฝึกฝนที่แท้จริงฝึกคนเดียวถึงมีประสิทธิภาพดีที่สุด วันๆ เอาแต่แย่งปราณวิญญาณกับคนอื่น นอกจากคนที่แข็งแกร่งไม่กี่คน คนอื่นๆ จะฝึกอย่างไร”

ลู่เซิ่งพยักหน้า การรวมตัวฝึกฝนเมื่อก่อนหน้านี้ทำเพื่อเสริมความแข่งแกร่งจริงๆ ด้วย

“อย่างนั้นจุดเชื่อมคืออะไร”

“จุดเชื่อมคือค่ายกลวิญญาณ สถานที่รวมตัวของปราณวิญญาณที่มีจำนวนจำกัด เจ้าเข้าใจแบบนี้ก็พอ ปราณวิญญาณมีความเข้มข้นสูงกว่าสถานที่อื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกมากๆ” เฟยค่งจื่ออธิบาย “ถึงอย่างไรการที่เจ้าสามารถไปยังจุดเชื่อมได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว” เขาแสดงสีหน้าอิจฉา

“คนที่ได้รับการจัดสรรให้ไปอยู่ที่จุดเชื่อม…เฮ้อ…ต่างจากคนธรรมดา…” เขาส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก “ภายหลังเจ้าจะรู้เอง”

ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า ตนเองเหมือนจะได้สัมผัสกับจุดสำคัญของระบบต้าอินแล้ว

ห่างจากอำเภอจันทราหลับใหลพันลี้ นครเขตจันทราสารท ชั้นใต้ดินรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสของเรือนเล็กแห่งหนึ่ง

ด้านในอุโมงค์ใต้ดิน

สมาชิกหลายคนจากกรมสังข์เขียวแห่งต้าอิน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยในนครเขตจันทราสารท กำลังค้นหาร่องรอยเบาะแสที่อาจปรากฏขึ้นรอบๆ ลูกกลมวงรีที่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่งและกว้างสองหมี่กว่าๆ

บางครั้งก็มีจุดแสงสีเงินกะพริบเป็นจุดๆ บนลูกกลมขนาดใหญ่สีดำ

สตรีวัยกลางคนสวมผ้าคลุมหน้าสีดำ ใส่ชุดเข้ารูปสีเดียวกัน แขวนป้ายอาญาเรียวยาวสีขาวไว้ตรงเอว และเสียบมีดสั้นลายทองหนังปลาสองเล่มไว้บนน่อง กำลังก้มตัวสัมผัสจุดแสงสีเงินบนลูกกลมอย่างตั้งใจ

“ปฏิกิริยาที่เหมือนจะเป็นปราณมารเมื่อก่อนหน้านี้หายไปแล้วกระมัง” นางถามเบาๆ น้ำเสียงเข้มงวดยิ่ง แค่ได้ยินก็ทำให้คนรู้สึกกดดันเคร่งเครียดแล้ว

“หายไปแล้วขอรับ ปราณมารสายนั้นประหลาดยิ่ง ไม่เหมือนกลิ่นอายทัพมารบริสุทธิ์ ไม่ปล่อยออกมาด้านนอก แต่จับตัวในระดับสูงสุดและไม่มีคุณสมบัติปนเปื้อน ดังนั้นพวกเราจึงไม่ทันรู้สึกตัว แม้แต่ลูกโลกแผนที่ก็แยกแยะไม่ทันเช่นกัน” บุรุษอาภรณ์ดำสวมผ้าคลุมหน้าคนหนึ่งกล่าวอย่างนอบน้อม

“อย่างนั้นก็ไม่ต้องสนใจแล้ว บางทีอาจถูกยอดฝีมือที่ผ่านทางมากำจัดไปแล้วก็ได้” สตรีกล่าวอย่างไม่นำพา “ตอนนี้จัดการคดีตระกูลเฉินเรียบร้อยหรือยัง”

“คนของกรมหยินหยางจัดการแล้วขอรับ ไม่มีการรายงาน”

“คดีของตระกูลอู๋ในอำเภอเล่า”

“จัดการแล้วเช่นกันขอรับ”

“ใช้ได้ทีเดียวนี่กรมหยินหยาง” สตรียืดตัวขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่แน่ว่าปีนี้นครเขตจันทราสารทของพวกเราจะไม่มีเรื่องที่ทำได้แล้ว ทุกคนจะได้สบายสักที”

“นี่ยังบอกไม่ได้ขอรับ” สมาชิกอีกหลายคนที่อยู่ด้านข้างหัวเราะตาม

พวกเขาคือกรมสังข์เขียว ขุมกำลังในเงามืดของต้าอินที่ดูแลใต้หล้าอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันยังจัดการปัญหาที่ขุมกำลังในที่แจ้งจัดการไม่ได้ทุกอย่างด้วย

ระบบของต้าอินแบ่งเป็นกองทัพและกรมลับ

กรมลับประกอบขึ้นจากกรมหยินหยางและกรมสังข์เขียวเป็นหลัก

หน่วยงานขนาดยักษ์ใหญ่สองกลุ่มนี้ครอบคลุมดินแดนทุกแห่งหนของต้าอิน โดยกรมหยินหยางจัดการภูตผี วิญญาณเร่ร่อน มาร และความประหลาดลี้ลับทั่วไป

มีแต่รอพวกเขาเจอคดีที่น่ากลัวและยากลำบากกว่าเดิมจนหมดปัญญาจริงๆ ค่อยให้กรมสังข์เขียวลงมือ

สำหรับยอดฝีมือของกรมสังข์เขียวแล้ว การไม่มีคดีเป็นเรื่องโชคดีที่สุด

“พอแล้วๆ ทุกคนแยกย้ายกลับไปพักผ่อนบ้านใครบ้านมันเสีย” สตรีคุลมหน้ายิ้มพลางปรบมือ

สมาชิกทั้งหมดแยกย้ายจากไปด้วยรอยยิ้ม ออกไปจากทางออกที่แตกต่างกัน

ไม่นาน ด้านในอุโมงค์ก็เหลือแค่สตรีกับเด็กสาวอีกคนหนึ่ง

“พี่ใหญ่…” หลังจากเด็กสาวคนนั้นแน่ใจแล้วว่ารอบๆ ไม่มีคนก็กล่าวกับสตรีเบาๆ “”คดีของตระกูลเฟ่ยเกิดขึ้นอีกแล้ว…

สตรีคลุมหน้าหยุดชะงัก เงียบงันลง

เด็กสาวพูดต่อว่า “ครั้งนี้คนที่หายไปคือเฟ่ยหมิงอวี้บุตรคนที่สาม เราปิดข่าวไว้แล้ว ท่านจะให้จัดการอย่างไร”

ด้านในถ้ำเงียบเชียบ

สตรีคลุมหน้าไม่ได้พูดอะไร เพียงยืนนิ่งอยู่กับที่และกำหมัดแน่น

คดีตระกูลเฟ่ยเป็นคดีใหญ่ที่นางจัดการไปก่อนหน้านี้ คดีประหลาดที่มีคนสิบกว่าคนหายสาบสูญติดต่อกัน ไม่มีปราณหยิน ไม่มีปราณมาร ถึงขั้นไม่รู้ว่าสาหตุอะไรทำให้เกิดขึ้น ภายหลังกลับหยุดลงอย่างอธิบายไม่ได้

เบื้องบนนึกว่าเป็นผลงานของนางที่ทำให้คดีจบลง อีกทั้งนางยังไม่ได้ปฏิเสธ ทำให้ได้รับรางวัลและได้ผลประโยชน์ไม่น้อย

ความจริงตอนนั้นนางแค่แอบอ้างผลงาน ได้ความดีความชอบมากที่สุดโดยไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แถมยังแต่งรายงานที่สมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ส่งขึ้นไปเพราะความโลภ

ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง หากเบื้องบนพบเจอปัญหา อย่างนั้นการเคลื่อนไหวทั้งหมดที่ผ่านมาจะกลายเป็นคำโกหกหลอกลวง…เกิดว่าถูกพบความจริง…

พอนึกถึงตรงนี้ สตรีวัยกลางคนก็ตัวสั่น

“จะจัดการในเมืองไม่ได้ เจ้าปิดข่าวไว้ก่อน แล้วแยกคนเป็นกลุ่มๆ ให้ตระกูลเฟ่ยอพยพและใช้คนของพวกเราเองลอบเคลื่อนไหว”

เด็กสาวพยักหน้า เข้าใจความหมายของพี่ใหญ่แล้ว

ณ พรรคอาทิตย์วสันต์

ลู่เซิ่งเก็บของแล้วติดตามศิษย์ที่มานำทางออกจากห้อง กลับเจอพวกจงหยวนที่เพิ่งกลับมาจากโรงอาหารพอดี

ในเรือนมีสัมภาระห่อเล็กห่อใหญ่วางอยู่ ทั้งหมดเป็นทรัพย์สินที่ลู่เซิ่งสะสมไว้ในช่วงนี้เช่นสมุนไพร เสื้อผ้า และอาวุธ

พอเห็นลู่เซิ่ง จงหยวนก็งงงันอยู่บ้าง

“พี่ลู่ท่านจะไปแล้วหรือ”

“อือ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “พวกเจ้าเพิ่งกินข้าวกลับมาหรือ”

“อือ…” จงหยวนมองสัมภาระที่กองเต็มพื้นของลู่เซิ่งด้วยสายตาซับซ้อน ไม่รู้ควรพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ

จางไคหลงคล้ายนึกอะไรได้ ดวงตามืดหม่นลง จากนั้นก็กลับเป็นปกติ

“พี่ลู่ได้ดีแล้ว ภายหลังอย่าลืมมิตรภาพที่พวกเราเคยอยู่ในเรือนเดียวกันเล่า!” เขาหัวเราะพลางกล่าวหยอกล้อ

“ถ้ามีเรื่องอะไรสามารถมาหาข้าได้ ถ้าช่วยได้ข้าจะช่วย” ลู่เซิ่งพูดอย่างราบเรียบ

“พี่ลู่สุดยอดจริงๆ ไม่เหมือนเจ้าหวังอวิ่นหลง วันๆ เอาแต่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ อย่างกับมีใครไปหาเรื่อง” จางไคหลงกล่าวอย่างไม่พอใจ

ลู่เซิ่งพูดกับทั้งสองอีกสองสามประโยค จากนั้นก็พาคนออกจากเรือน

มาถึงตำหนักผู้อาวุโสอีกครั้ง มีคนออกมาต้อนรับเขาทันที ทั้งยังมอบใบรายการใบหนึ่งให้ลู่เซิ่ง ด้านในเป็นที่อยู่ที่เขาได้รับการจัดสรรให้ กับจำนวนทรัพยากรใหม่ๆ ที่สามารถขอได้ในแต่ละเดือน

ลู่เซิ่งเข้าไปอยู่ในเรือนแห่งใหม่นั้นอย่างราบรื่น

……………………………………….