บทที่ 320 ราบรื่น (2)
พริบตาเดียวก็ผ่านไปเจ็ดแปดวันแล้ว หลังจากเรื่องตระกูลหลินในอำเภอจันทราหลับใหลจบลง เรื่องที่ลู่เซิ่งเอาชนะผู้อาวุโสสี่แห่งสำนักเงาจันทร์ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้แพร่หลายออกไป เพียงแต่ชื่อเสียงที่เขาเอาชนะตระกูลหลินได้กับแพร่กระจายไปทั่วแทน
และเขาก็รู้แล้วว่าจุดเชื่อมที่ว่านั้นคืออะไร
ควับ!
ลู่เซิ่งถือดาบด้วยมือเดียว หมุนตัวฟันออกติดต่อกัน คมดาบกลายเป็นจันทร์เพ็ญหลายดวง ประกายแสงกระจ่างใส สว่างขึ้นกลางอากาศไม่หยุด
เทียบกับก่อนจะย้ายมายังเรือนหลังนี้ พลังและความเร็วที่เขาจงใจแสดงออกมาเหนือขึ้นกว่าเดิมหนึ่งส่วน
จันทร์เพ็ญสีขาวกะพริบและสลายอย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อกันเป็นชุดๆ สุดท้ายก็หายไปอย่างฉับพลัน คมดาบกลับเข้าฝัก ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิมโดยงอร่างกายเล็กน้อย จบการฝึกฝนโดยสมบูรณ์
‘จุดเชื่อม…เดิมทีนี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงระดับที่แท้จริงของต้าอิน’ ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นมองเส้นสีทองสายหนึ่งที่ห้อยลงมาจากด้านบน
คนปกติมองไม่เห็นเส้นสีทองเส้นนี้ มีแต่สัตว์ประหลาดอย่างเขาเท่านั้นที่ดวงตามองเห็นพลังงานล่องหนได้ จึงเห็นปัญหาด้านในได้อย่างแจ่มชัด
‘ที่แท้จุดเชื่อมที่ว่าเป็นจุดรวมสารกายในค่ายกลสารกายของพรรคอาทิตย์วสันต์นี่เอง เป็นสถานที่ไม่กี่แห่งในค่ายกลที่สารกายรวมตัวกันหนาแน่นที่สุด’ ลู่เซิ่งทอดถอนใจ ‘นี่เท่ากับใช้สารกายของศิษย์ทั้งพรรคอาทิตย์วสันต์ในการชุบเลี้ยงศิษย์ที่อยู่บนจุดเชื่อม ระดับสูงที่คอบครองจุดเชื่อมนี้กับระดับล่างแทบต่างกันราวฟ้ากับเหว’
ต่อให้ตอนนี้เขาไม่ได้ฝึกวิชาดาบอีก แต่ก็รู้สึกได้ตลอดว่ามีสารกายทะลักลงมาอย่างบ้าคลั่ง
นี่เป็นค่ายกลวิญญาณที่เฟยค่งจื่อพูดถึง
แถมสิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งสนใจก็คือ สารกายที่เส้นสีทองเส้นนี้ส่งมาบริสุทธิ์ผิดปกติ บริสุทธิ์ยิ่งกว่าสารกายที่ตนนึกจินตนาการเพื่อดูดซับเมื่อก่อนหน้านี้ แทบไม่ต้องกรองก็สามารถดูดซับได้โดยตรง
ตูม!
ทันใดนั้นมีแสงสว่างสีขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดเหนือตัวเรือนด้านข้าง คล้ายเป็นพลุชนิดหนึ่ง
ลู่เซิ่งที่กำลังใคร่ครวญเรื่องราวเห็นดังนั้นก็รีบผลักประตูออกไปมองดูเรือนที่อยู่ติดกัน
ประตูเรือนที่อยู่ทางซ้ายค่อยๆ เปิดออก มีผู้ชี้แนะในพรรคจำนวนไม่น้อยรุดมาถึง ผู้ดูแลเรื่องราวก็มาถึงแล้วเช่นกัน
ทุกคนซุบซิบกันขณะขวางอยู่หน้าประตู รอคอยเจ้าของเรือนออกมา
ไม่นานเจ้าของเรือนก็ค่อยๆ เดินออกมา เป็นบุรุษอายุน้อยและเย็นชา ดูจากหน้าตาถึงกับเป็นหวังอวิ่นหลงที่ก่อนหน้านี้มาพร้อมกับลู่เซิ่งหรือนี่
ลู่เซิ่งได้ยินคำพูดว่าเขาเลื่อนระดับแล้วจากคนรอบๆ ในขั้นตอนนี้พวกเขากำลังฝึกฝนวิชาหลอมแก่นจตุรทิศ ในเมื่อกล่าวว่าเลื่อนระดับแล้วในตอนนี้ ก็หมายความว่าสิ่งที่หวังอวิ่นหลงเลื่อนระดับคือวิชานี้
‘ร่างชีพจรปลอดโปร่งหรือ น่าสนใจ’ ลู่เซิ่งหยีตาพิจารณาก่อนจะกลับเข้าไปในเรือน
‘ดีปบลู’ เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
คุณสมบัติของเขาน่าจะสู้ร่างชีพจรปลอดโปร่งของหวังอวิ่นหลงไม่ได้ แต่ใครให้เขามีเครื่องมือปรับเปลี่ยนกันเล่า
ลู่เซิ่งค้นลงไปตามกรอบบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน จากนั้นก็เจอกรอบของวิชาหลอมแก่นจตุรทิศอย่างรวดเร็ว วิชานี้มีทั้งหมดสามระดับ เอาไว้ใช้หลอมเปลี่ยนสารกายเข้าสู่ร่างกายเพื่อยกระดับพลังชีวิตของตัวเอง
ที่ต้าอิน พลังชีวิตคือมาตรฐานที่ใช้วัดทุกสิ่งอย่างเช่นคุณสมบัติร่างกาย การฟื้นฟู พลังกาย จิตใจ และพละกำลัง
พลังชีวิตกับปราณจริงแท้บ่งบอกถึงกายเนื้อกับปราณภายใน
‘ในการฝึกฝนปราณจริงแท้เพียงอย่างเดียว วิชาหลอมแก่นจตุรทิศของเรายกระดับได้แล้ว แต่ยกได้ถึงแค่ระดับที่สอง สู้การไปถึงระดับสามของหวังอวิ่นหลงที่มีชีพจรปลอดโปร่งไม่ได้’ ลู่เซิ่งคำนวณเล็กน้อย ‘ใช้ปราณขวดสมบัติยกระดับแทนก็แล้วกัน’
เขาเพ่งสมาธิบนปุ่มปรับเปลี่ยนแล้วกดเบาๆ
พึ่บ
กรอบสั่นไหวและพร่ามัวลง จากนั้นก็ชัดขึ้นใหม่
‘วิชาหลอมแก่นจตุรทิศ…เลื่อนขั้นถึงระดับสาม’ ลู่เซิ่งเพ่งสมาธิบนปุ่มกดด้านหลังกรอบก่อนจะกดลงอย่างแผ่วเบา
วิชาหลอมแก่นจตุรทิศคือวิชาพื้นฐานตามมาตรฐานของพรรคอาทิตย์วสันต์ หลังจากสำเร็จวิชานี้ เขาจึงจะได้สัมผัสกับระบบแกนกลางของที่นี่อย่างแท้จริง
กรอบพร่ามัวอีกครั้ง ลู๋เซิ่งหลับตาลง สัมผัสได้ว่าสารกายที่ส่งมาจากเส้นสีทองเหนือศีรษะไหลเชี่ยวกว่าเดิม สารกายจำนวนมหาศาลไหลเข้าไปในร่างเขาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จากนั้นก็จับตัวกันเป็นวังวนล่องหนกลุ่มหนึ่งตรงท้องน้อย
วังวนหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเกิดเสียงดังเปรี้ยง กระแสอากาศสีขาวเทากลุ่มหนึ่งจับตัวกันตรงใจกลาง
ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่ากายเนื้อได้รับการหล่อเลี้ยงและเสริมความแข็งแกร่ง การเสริมความแข็งแกร่งนี้ส่วนใหญ่แล้วเหมือนกับดำเนินการในระดับเซลล์
มันเชื่องช้าและอ่อนโยนยิ่ง ไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างกายเนื้อโดยตรงเหมือนปราณมารและปราณเหลว แต่ว่าเริ่มปรับเปลี่ยนจากระดับแก่นสารชีวิตโดยตรงเหมือนกับแก่นมาร
‘ไม่น่าเชื่อ…’ ลู่เซิ่งเหลือเชื่ออยู่บ้าง ระดับความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้อยู่ในระดับจ้าวแห่งมารตามมาตรฐานแล้ว ดูจากการปะทะกันของเขากับมือกระดูกยักษ์กลางอากาศเมื่อตอนนั้น ก็รู้แล้วว่าเขามีระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อพอๆ กับจ้าวแห่งมาร ทว่าสิ่งที่เขาขาดคือความห่างชั้นระหว่างจิตใจกับระดับพลังของตัวเอง
เดิมทีเขาเพียงแค่คิดค้นคว้าระบบของต้าอิน ภายหลังค่อยจากไป
แต่ว่าวันนี้วิชาหลอมแก่นจตุรทิศที่ฝึกฝนอย่างขอไปที กลับมีประโยชน์ต่อกายเนื้อในปัจจุบัน นี่ทำให้ลู่เซิ่งอดตกตะลึงไม่ได้
กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นถึงระดับน่าสะพรึงสุดขีดแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าวิถีแปดมารสูงสุดยังขาดแก่นมารบริสุทธิ์อยู่ เขาเพิ่มความแข็งแกร่งได้มากกว่านี้อีก
แต่ว่าวิชาพื้นฐานทั่วไปที่ไม่ใช่ระดับพันธนาการด้วยซ้ำ กลับเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อระดับนี้ได้
แม้ว่าระดับที่เพิ่มจะน้อยมาก แต่อย่างไรก็มีผล
‘นี่หมายความว่าวิชาหลอมแก่นจตุรทิศเป็นระบบอีกแบบโดยสมบูรณ์’ ลู่เซิ่งทั้งประหลาดใจทั้งยินดี
เขาควบคุมพลังงานในร่างกายตัวเองอย่างละเอียด
ปราณเหลวกับแก่นมารค่อยๆ แยกออกจากกัน ตอนนี้ในร่างกายมีปราณจริงแท้สายหนึ่งเพิ่มมา ลู่เซิ่งผนึกรวมแก่นมารไว้กลางทรวงอกและผนึกรวมปราณเหลวเอาไว้ด้านในหัวใจ
กายเนื้อของเขาพองขยายเพราะปราณจริงแท้
กายเนื้อที่วิถีแปดมารสูงสุดเพิ่มความแข็งแกร่งให้ถึงจุดสูงสุด เหมือนกับกาน้ำที่ปล่อยน้ำออกมาจนหมด ด้านในบรรจุปราณจริงแท้เข้าไปใหม่
นี่เป็นจุดที่น่ากลัวของสภาพหยินโชติช่วง หลังจากผนึกตัวในระดับสูงสุด ต่อให้เป็นระดับราชามารหรือผู้ถืออาวุธก็ไม่แน่ว่าจะแยกแยะเบื้องหลังของลู่เซิ่งออก
สารกายทะลักเข้ามาจากเหนือศีรษะของลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ถูกกายเนื้อในระดับจ้าวแห่งมารเปลี่ยนให้กลายเป็นปราณจริงแท้ เพื่อหล่อเลี้ยงกายเนื้อ และไหลเวียนในเส้นเลือดตามเส้นทางของวิชาหลอมแก่นจตุรทิศ
ฟิ้ว!
วิชาหลอมแก่นจตุรทิศเลื่อนไปถึงระดับที่สามโดยสมบูรณ์ จากนั้นก็กลายเป็นวงจรขนาดใหญ่ในร่างกาย
ชั่วพริบตานั้น ไอน้ำจำนวนมากระเหยขึ้นบนศีรษะลู่เซิ่ง ไอสีขาวผสานเข้ากับสารกายกลางอากาศอย่างรวดเร็วก่อนจะกลายเป็นเสาควันสีขาวต้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า
ตูม!
เสาควันระเบิดเหมือนกับพลุ
“ทางนี้…ทางนี้ก็เลื่อนระดับเหมือนกันหรือ!?”
ด้านนอกเรือนเงียบสงัดลง จากนั้นชั่วพริบตาเดียวก็มีเสียงร้องอุทานดังมา เสียงแหวกอากาศจำนวนมากพุ่งมายังตัวลานที่ลู่เซิ่งอยู่
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตูเรือน มองไปยังเรือนด้านข้าง เห็นหวังอวิ่นหลงเดินออกจากประตูมาด้วยสีหน้างุนงงพอดี
ทั้งสองสบตากัน ไม่ใครคิดสนทนากับอีกฝ่าย
หวังอวิ่นหลงหลบสายตาออกไปเอง ดวงตาฉายแววสงสัยและใคร่ครวญ
ลู่เซิ่งแสยะยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปมองผู้ดูแลเรื่องราวกับผู้ชี้แนะที่ลอยตัวมาทางเขา
ข่าวที่พรรคอาทิตย์วสันต์ปรากฏสองอัจฉริยะแพร่กระจายไปทั่วอำเภอจันทราหลับไหลในคืนเดียว
ทั้งสองฝึกฝนวิชาหลอมแก่นจตุรทิศอันเป็นพื้นฐานสำเร็จในเวลาสั้นๆ แค่เดือนเดียว นี่เป็นเรื่องที่ต่อให้ผ่านไปสิบปีก็ยากพบพานในพรรคอาทิตย์วสันต์
เรื่องที่น่ายินดีกว่าก็คือโผล่ขึ้นมาสองคนในครั้งเดียว
ถึงแม้คนหนึ่งจะมีคุณสมบัติชีพจรปลอดโปร่ง จะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ถือว่าปกติ ทว่าต่อให้เป็นคุณสมบัติร่างชีพจรปลอดโปร่ง การที่เร็วถึงขั้นนี้ก็นับว่าสุดยอดอยู่ดี
หลังจากตำหนักอาวุโสปรึกษากัน ก็ตัดสินใจส่งศิษย์จริงแท้มาสอนหวังอวิ่นหลงกับลู่เซิ่งตัวต่อตัว
ศิษย์จริงแท้เป็นสมาชิกแกนกลางของพรรคอาทิตย์วสันต์ พวกเขาเป็นเจ้าตำหนักในอนาคตหรือผู้ดูแลเรื่องราวใหญ่ในอนาคต ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเป็นผู้อาวุโสในอนาคต
คนเหล่านี้มีคุณสมบัติที่ต่างไปจากคนธรรมดาโดยสิ้นเชิงเหมือนกัน ได้รับการหล่อเลี้ยงจากจุดเชื่อมตลอดเวลา อีกทั้งพลังยังไปถึงขั้นที่มิอาจบรรยาย
คนที่ชี้แนะลู่เซิ่งคือหลิวจื้อเฉินคนอ้วนที่ตาบอดไปข้างหนึ่ง
พอพิจารณาว่าก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งทำร้ายผู้อาวุโสสี่แห่งสำนักเงาจันทราอย่างคาดไม่ถึง กำลังช้างสารแบบนี้ไม่ต้องใช้ปราณจริงแท้ก็สามารถคุกคามยอดฝีมือระดับพันธนาการได้แล้ว
เบื้องบนจึงให้ความสำคัญกับลู่เซิ่งถึงขีดสุด ทุกคนคิดว่าเขามีสายเลือดด้านพละกำลังที่สูงส่งสุดขีด เลยส่งหลิวจื้อเฉิงในระดับพันธนาการมาชี้แนะตัวต่อตัว
ลู่เซิ่งควบคุมพละกำลังกายเนื้อไว้ในระดับพันธนาการ ไม่ได้ยกระดับต่ออีก แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ความน่ากลัวด้านพละกำลังของเขาก็ทำให้หลิวจื้อเฉิงทอดถอนใจด้วยความทึ่งอยู่ดี
ในกระบวนการชี้แนะ เขาออกแบบวิธีต่อสู้กับคู่ต่อสู้ทุกรูปแบบโดยยึดตามพลังช้างสารของลู่เซิ่ง
ภายหลังเขาได้ถ่ายทอดวิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจที่แท้จริงให้แก่ลู่เซิ่ง นี่เป็นวิชาการฝึกฝนหลักของพรรคอาทิตย์วสันต์
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งสงบจิตใจตั้งใจฝึกฝน เป็นไปตามที่เขาคิดจริงๆ ปราณจริงแท้ที่รวมตัวกันด้วยวิชาใหม่เข้มข้นกว่าเดิมและมีการเพิ่มระดับกายเนื้อของเขาอย่างชัดเจนกว่าเดิม
พอเห็นเส้นทางที่สามารถยกระดับกายเนื้อให้แข็งแกร่งกว่าเดิมได้โดยไม่ต้องใช้แก่นมาร เขาเลยตั้งใจฝึกฝนมากขึ้น
ถ้าหากบอกว่าตอนแรกเขายังทำเล่นๆ อย่างนั้นตอนนี้เขาก็ยึดถือปราณจริงแท้เป็นวิชาสำหรับฝึกฝนเป็นหลักอย่างแท้จริงแล้ว
เขากำลังทดลองเส้นทางหลอมรวมพลังงานสามชนิดได้แก่ปราณภายใน ปราณจริงแท้ และปราณมารเป็นหนึ่งเดียว
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ถึงขีดสุดที่ปราณจริงแท้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการหลอมรวมปราณภายในกับปราณมารเข้าด้วยกัน
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือนกว่าๆ
ลู่เซิ่งฝึกฝนวิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจสู่ระดับที่สาม นับว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง วิชานี้มีแค่หกระดับ
ในตอนที่เขานึกว่าตนอาจจะฝึกฝนแบบนี้ต่อไปจนกว่ากลุ่มใหญ่จากสำนักมารกำเนิดจะมาถึง หลิวจื้อเฉิงก็นำข่าวจากตำหนักอาวุโสมา
“ลู่เซิ่ง ผู้อาวุโสใหญ่ต้องการพบเจ้า” ใบหน้าของหลิวจื้อเฉิงแสดงความเคารพและยำเกรงออกมาอย่างชัดเจนในตอนที่พูดถึงผู้อาวุโสใหญ่
ลู่เซิ่งกำลังนั่งขัดสมาธิพลางดูดซับสารกายอยู่ในเรือน พอได้ยินประโยคนี้ก็พลันลืมตาขึ้น
“ตอนไหนหรือขอรับ”
“ตอนนี้เลย”
“ตอนนี้เลยหรือ” ลู่เซิ่งเงียบงันสักพัก ค่อยๆ หยุดวิชา ช่วงนี้เขาศึกษาวิชาปราณจริงแท้ ขณะเดียวกันก็จัดระเบียบวิชามารและวิชาปราณภายในที่ตนเองครอบครองมาก่อนหน้านี้ อยู่ในสภาพลี้ลับอัศจรรย์ แรงบัลดาลใจและความคิดนับไม่ถ้วนค่อยๆ เย็บระบบสามระบบเข้าด้วยกันเหมือนกับเส้นด้าย
“เข้าใจแล้ว…” ลู่เซิ่งลุกขึ้น จัดแจงเสื้อผ้า แล้วเดินออกจากตัวลาน เฟยค่งจื่อรออยู่ด้านนอก
“ไม่เจอกันนาน” ในตอนที่เห็นลู่เซิ่ง ม่านตาของเฟยค่งจื่อก็หดตัวอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับตกใจมาก
“ผิวงามดั่งหยก…เจ้าถึงกับ…ไปถึงระดับขอบเขตนี้แล้วหรือ!” ในเสียงเขาแฝงอารมณ์อันซับซ้อนต่างๆ เช่นความอิจฉา ความขมขื่น และความเหลือเชื่อ
“ยังสู้ศิษย์พี่ท่านไม่ได้” ลู่เซิ่งตอบกลับอย่างสงบ
“ข้าตั้งใจฝึกฝนมาสิบแปดปี เจ้ากลับตามทันมากกว่าครึ่งในไม่กี่เดือน…ข้าต่างหากที่สู้เจ้าไม่ได้” เฟยค่งจื่อกล่าวเสียงขื่นขม “ไปเถอะ ครั้งนี้เจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี อาจต้องไปที่เขตนู่น”
“นครเขตจันทราสารทหรือ” ลู่เซิ่งรู้ว่าอำเภอจันทราหลับใหลอยู่ในนครเขตจันทราสารท ซึ่งนครเขตก็คือเมืองหลักที่รุ่งเรืองที่สุดในเขต การไปยังนครเขตจันทราสารทจะต้องมีเรื่องที่สำคัญถึงขีดสุดแน่
“ใช่ เข้าร่วมการคัดเลือกของสำนักขั้นบน พวกเจ้าทั้งหมดสามคน สุดท้ายที่นี่ก็เล็กเกินไปสำหรับพวกเจ้า ไปพบผู้อาวุโสใหญ่ก่อนเถอะ” เฟยค่งจื่อส่ายหน้าพลางกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน
ลู่เซิ่งพยักหน้า ตาเป็นประกาย นี่เป็นเป้าหมายเดิมของเขา ขนาดของพรรคอาทิตย์วสันต์ไม่พอให้อัจฉริยะสะท้านโลกอย่างเขากางมือกางเท้า เติบโตด้วยความเร็วสูงสุด
ดังนั้นการที่เบื้องบนตัดสินใจแบบนี้จึงสมเหตุสมผล
……………………………………….