บทที่ 321 คลื่นใต้น้ำ (1)
กังหันลมสีน้ำตาลหมุนวน ลมพัดเข้ามาจากประตูห้องมืดทะมึนที่อยู่ด้านข้างจนทำให้กังหันลมเล็กที่ปักอยู่ด้านในที่ใส่พู่กันหมุนเอื่อยๆ
นี่เป็นห้องหนังสือที่ว่างเปล่า ไม่มีไฟตะเกียง มีแต่ผ้าม่านที่ถูกพัดกระพือ
บนโต๊ะหนังสือมีที่ใส่พู่กัน แท่นฝนหมึก และกระดาษขาววางอยู่ ตัวหนังสือเล็กๆ แถวหนึ่งถูกเขียนไว้ตรงมุมล่างขวาของกระดาษ
‘ความเจ็บปวดคือความสิ้นหวัง คือความหวัง และเป็นการไถ่ถอนสุดท้าย’
ตุบ…
ตุบ…
ตุบ…
ตรงประตูห้องที่แง้มอยู่มีเสียงฝีเท้าดังมาเบาๆ เหมือนเป็นเสียงรองเท้าหนังเหยียบลงบนพื้นไม้
“ที่นี่…คือที่ไหน”
เฟ่ยเทียนซื่อพึมพำเบาๆ พร้อมกับเงยหน้ามองประตูห้องที่มืดมิดอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ตุบ
ตุบ
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เฟ่ยเทียนซื่อหันไปมองนอกหน้าต่าง ด้านนอกหน้าต่างมืดสนิท ไม่มีอะไร และมองไม่เห็นสิ่งใด
ตุบ
อยู่ๆ เสียงฝีเท้าก็หยุดลง เหมือนกับคนผู้นั้นยืนอยู่หน้าประตูห้องเงียบๆ ในมุมที่เฟ่ยเทียนซื่อมองไม่เห็น
แอ๊ด…ประตูเปิดออก
เฟ่ยเทียนซื่อลืมตาขึ้นในทันใด เขาจับจ้องมุ้งสีขาวผืนบางที่แขวนอยู่บนเตียง หอบหายใจจนทรวงอกสะท้อนขึ้นลง หน้าผากและขมับเต็มไปด้วยเหงื่อ
‘ฝันอีกแล้ว…’ เขาเหน็ดเหนื่อย หยัดร่างขึ้นมาครึ่งหนึ่งแล้วกวาดตามองรอบๆ ในห้องยังจุดตะเกียงน้ำมันสีเหลืองอ่อนไว้ โต๊ะหนังสือ เก้าอี้ ชั้นหนังสือ ตู้วางเครื่องประดับตรงมุมผนัง และแจกันดอกไม้ใบใหญ่ ล้วนสะท้อนแสงสีเหลืองอ่อนๆ อย่างสงบเงียบ
เฟ่ยเทียนซื่อสูดหายใจคำโตอยู่ชั่วครู่ ค่อยรู้สึกกระหายอย่างรุนแรง จึงลุกขึ้น เตรียมจะลงจากเตียงไปดื่มน้ำ
ก๊อกๆๆ
อยู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเคาะ เป็นเสียงเคาะที่มีจังหวะจะโคน
เฟ่ยเทียนซื่อขมวดคิ้ว ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เหตุใดจึงยังมีคนมาเคาะประตูอีก ในเวลาแบบนี้ ตามเหตุผลคนรับใช้ในบ้านจะไม่มาเคาะประตูปลุกตนเอง นอกจากเรื่องด่วน
“ใครกัน” เขาพลิกตัวลงจากเตียง ก่อนจะเดินไปยังประตู “เสี่ยวเหนียนหรือ ดึกขนาดนี้แล้วยังมีเรื่องอะไรอีก”
เขาเดินไปที่หน้าประตู กำลังจะยกสลักขึ้น พลันรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง
หากเป็นเสี่ยวเหนียนหญิงรับใช้ข้างกายของเขา จะไม่มีทางมารบกวนการพักผ่อนของเขาในเวลาที่ดึกขนาดนี้เด็ดขาด เสี่ยวเหนียนเป็นคนรู้จักกาลเทศะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ให้ความรู้สึกในระดับพอเหมาะพอดี
นี่เป็นจุดเด่นที่ทำให้นางกลายเป็นหญิงรับใช้ของตระกูลเฟ่ยได้
แต่ถ้าเป็นคนอื่น ตามกฎแล้วจะต้องแจ้งเสี่ยวเหนียนเสียก่อน จึงค่อยมาหาตนเองได้ ไม่อย่างนั้นนี่จะขัดกับกฎบ้านของตระกูลเฟ่ย
พอเฟ่ยเทียนซื่อที่งัวเงียนึกถึงเรื่องนี้ จิตใจก็เต้นระส่ำ มือหยุดชะงักลงทันที
“เสี่ยวเหนียน มีเรื่องอะไรเจ้าบอกมา ถ้าไม่มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยจัดการ” สุดท้ายเขาก็ระวังตัวอยู่บ้าง
ด้านนอกประตูไม่มีเสียงใด
เฟ่ยเทียนซื่อขมวดคิ้ว ลังเลเล็กน้อย นึกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในตระกูลเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมา เขาจึงถอยหลังไปสองก้าว
“เสี่ยวเหนียนใช่หรือไม่” เขาเรียกอีกครั้ง
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก
เฟ่ยเทียนชื่อเริ่มระแวงแล้ว เขาลังเลอีกครั้งและค่อยๆ เดินไปถึงหน้าประตูห้อง
“เสี่ยวเหนียนใช่หรือไม่” ถ้าเจ้าคือเสี่ยวเหนียนจริงๆ อย่างนั้นเจ้ายังจำรหัสลับที่เรากำหนดไว้ก่อนหน้านี้ได้ไหม” เขาถามเบาๆ
เงียบสงัด
ด้านนอกประตูไม่มีเสียงใดๆ
เฟ่ยเทียนซื่อตั้งใจฟัง ทันใดนั้นเขาคล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ใบหน้าที่เดิมเคร่งเครียดผ่อนคลายลง สีหน้าค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น
“อ้อ…ตกใจแทบตาย เจ้าบอกให้เร็วกว่านี้สิ ได้ๆ ข้าจะไปทันที”
เขายกสลักประตูขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเปิดประตูดังแกร๊ก ด้านนอกประตูไม่มีสิ่งใด ว่างเปล่าและมืดมิด
เฟ่ยเทียนซื่อกลับยิ้มแย้ม กวาดตามองรอบๆ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใคร ก็เดินออกจากห้อง พริบตาเดียวก็หายไปในเรือนที่มืดสนิท
…
ฝุ่นทรายกระจายขึ้นเพราะกีบเท้าม้า บนทางหลวงที่เชื่อมไปยังนครเขตจันทราสารท รถม้าสีเขียวที่เทียมม้าไว้สามตัวแล่นอยู่บนถนนอย่างไม่เร็วไม่ช้า
ลู่เซิ่ง หวังอวิ่นหลง และอวิ๋นซิ่วเฟยหลานของผู้อาวุโสใหญ่นั่งอยู่ในตัวรถ
อวิ๋นซิ่วเฟยมีสีหน้าเย็นชา กำลังเช็ดกระบี่สีขาวในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ
ลู่เซิ่งพลิกอ่านม้วนตำราในมือ กำลังอ่านประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของต้าอิน
หวังอวิ่นหลงนั่งข้างหน้าต่าง รินและดื่มสุราด้วยตัวเอง
ทั้งสามคนล้วนสนใจเรื่องของตัวเอง ไม่มีใครรบกวนใคร
ลู่เซิ่งอ่านตำราสักพัก ค่อยเหลือบมองอวิ๋นซิ่วเฟยที่อยู่ด้านข้าง ในที่สุดคนผู้นี้ก็เช็ดกระบี่เรียบร้อยแล้ว คนหนุ่มหล่อเหลากอดกระบี่เหมือนกอดภรรยา หลังจากจูบอย่างดูดดื่ม ก็ค่อยๆ วางลง
“ใกล้จะถึงที่หมายแล้ว คนของสำนักพันอาทิตย์ที่เป็นสำนักขั้นบนต่างจากจันทราหลับใหลของพวกเรา พวกเจ้าอย่าทำตัวเด่นนัก ครั้งนี้หากผ่านการทดสอบคัดเลือกได้ พวกเราสามคนก็จะได้ดีแล้ว”
หวังอวิ่นหลงยิ้มๆ ส่วนลึกของดวงตาปรากฏความรังเกียจแวบหนึ่ง
“ศิษย์พี่อวิ๋นกล่าวถูกต้อง แต่ว่าสำนักระดับล่างมีรายชื่อแนะนำมากมาย พวกเรามีแค่สามคน อาจจะไม่สำเร็จก็ได้กระมัง”
“สำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับคน” อวิ๋นซิ่วเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเจ้ามีร่างกายชีพจรปลอดโปร่ง ส่วนศิษย์น้องลู่ทรงพลังโดยกำเนิด บวกกับเลื่อนระดับวิชาพื้นฐานได้ในเวลาสั้นๆ ต่อให้อยู่ในรายชื่อแนะนำของปีก่อน พรสวรรค์ก็ควรนับว่าไม่เลว จะว่าไป ทางเขตจันทราสารทมีข่าวที่คนของตระกูลเฟ่ยหายตัวไปกระจายออกมา ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม ถ้าเกิดขึ้นใกล้ๆ พวกเราอาจจะได้มันเป็นภารกิจทดสอบ พวกเจ้าเตรียมใจไว้ด้วย”
“ตระกูลเฟ่ยหรือ” การข่าวของลู่เซิ่งช้ากว่าทั้งสอง ตอนนี้จึงถามอย่างสงสัย
“เป็นตระกูลที่คอยรับใช้รวมถึงติดต่อกับสำนักระดับล่างและสำนักระดับบน ตระกูลเฟ่ยนี่ไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ ลูกหลานของตระกูลกระจายไปทั่วสำนักที่อยู่ในบริเวณนี้ มีลูกหลานในตระกูลที่อยู่ในสำนักขั้นบน และมีศิษย์จริงแท้จำนวนไม่น้อยของสำนักขั้นล่างที่เป็นคนในตระกูลของพวกเขา” หวังอวิ่นหลงกล่าวอย่างราบเรียบ “ได้ยินมาว่าช่วงนี้มีคนหายสาบสูญ ล้วนเจาะจงคนธรรมดาในตระกูลที่ไม่มีพลังฝึกปรือ”
“ประจวบเหมาะที่พวกเราคือคนที่ได้รับการแนะนำ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเรื่องของตระกูลเฟ่ยจะเป็นการทดสอบประเมินพวกเรา ที่ผ่านมาทุกครั้งล้วนใช้คดีล่าสุดมาประเมินพวกเราแบบนี้นี่แหละ” อวิ๋นซิ่วเฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พวกท่านมีเบาะแสอะไรไหม” หวังอวิ่นหลงมองเขากับลู่เซิ่ง
“ไม่มี ได้ยินมาว่าคนหายไปหลายคนแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือหลายคนที่พวกเขาเชิญมาก็หายสาบสูญไปด้วย เรื่องนี้ตึงมืออยู่บ้าง” อวิ๋นซิ่วเฟยกล่าวอย่างราบเรียบ เพียงแต่มีสีหน้าสงสัยอยู่บ้าง “ข้าเคยได้ยินท่านตาเล่าเรื่องนี้ พวกเราไม่ต้องออกหน้าหรอก ปีนี้ศิษย์ของพรรคว่านเชี่ยนมีคนที่แข็งแกร่งมากโผล่มาคนหนึ่ง ให้เขานำหน้าไปก่อน”
ลู่เซิ่งกับหวังอวิ่นหลงพยักหน้าพร้อมกันเพื่อบอกว่าเข้าใจแล้ว
รถม้าไม่หยุดตลอดทาง ไม่นานก็ออกจากป่าเปลี่ยว สองฟากทางค่อยๆ ปรากฏร่องรอยของผู้คน มีเนินเขาไม่น้อยบนทางหลวง รถม้าและรถเทียมวัวบางส่วนถูกแซงตลอดเวลา มีขบวนขนสินค้าด้วยลาเห็นรถม้าคันนี้ก็พากันหลีกทางให้เอง
ผ่านไปอีกไม่ถึงชั่วหนึ่งถ้วยน้ำชา กำแพงเมืองขนาดใหญ่ของเขตจันทราสารทก็ปรากฏให้เห็นไกลๆ แล้ว
ลู่เซิ่งหรี่ตามองดูเมืองใหญ่โตไกลๆ แค่กำแพงเมืองก็หนากว่ากำแพงเมืองของต้าซ่งไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่าตัวแล้ว
เห็นรังสีแสงสีทองอ่อนจางๆ ปรากฏแวบเหนือศีรษะพลลาดตระเวนบนกำแพงได้ตลอดเวลา นั่นเป็นฝาครอบสารกายขนาดมหึมาที่กระจายไปทั่วนครเขต
ลู่เซิ่งนึกอะไรออกบางอย่าง
‘แม้แต่คนธรรมดาก็ไม่ปล่อยไปจริงๆ ดูดซับสารกายไปหล่อเลี้ยงยอดฝีมือระดับสูงสุดเหมือนกัน…’ เขาสังเกตได้รางๆ ถึงสารกายนับไม่ถ้วนที่เชื่อมต่อกันกลายเป็นเส้นสายไปรวมตัวกันตรงส่วนลึกของนครเขต
‘โลกใบนี้…มัน…’ ลู่เซิ่งดวงตาเย็นเยียบขณะโดยสารรถม้าเข้าประตูเมืองที่ไร้การป้องกันไปอย่างเชื่องช้า
พอทั้งสามในรถม้าสัมผัสกับฝาครอบสีทองอ่อน ก็หลอมรวมเข้ากับที่นี่โดยอัตโนมัติ สารกายที่เบาบางถึงขีดสุดหลายสายกระจายออกมาจากร่างคนทั้งสาม ก่อนจะลอยไปยังส่วนลึกของนครเขตอย่างเชื่องช้าเหมือนกับคนอื่นๆ
ลู่เซิ่งขยับไปข้างหน้าต่าง แล้วมองไปด้านนอก
ฝูงชนที่เบียดเสียดบนถนนเคลื่อนผ่านไปสองฟากทางอย่างไม่ขาดสาย ตรงกลางเป็นเส้นทางม้าและเส้นทางรถที่กว้างขวาง รถม้า รถเทียมวัว รถเทียมลา หรือแม้แต่ยอดฝีมือที่ขี่สิงโตหรือเสือดาว ล้วนเคลื่อนไหวอยู่บนถนนอย่างไม่เร่งร้อน
ลู่เซิ่งคอยสังเกตคนเดินถนน ด้วยความสามารถในการสัมผัสของเขา ฝูงชนขนาดมหึมาในรัศมีหลายสิบหมี่ล้วนถูกเขาตรวจสอบจนละเอียดโดยที่ฝาครอบจับไม่ได้
‘คนที่มีปราณจริงแท้มีน้อยจริงๆ ในสิบคนจะมีสักหนึ่งคนที่ครอบครองปราณจริงแท้ ส่วนพวกที่ไปถึงระดับพันธนาการมีน้อยถึงขีดสุด จะเจอได้เป็นบางครั้งเท่านั้น’
เป้าหมายของเขาคือมาค้นหาเส้นทางทำลายข้อจำกัดที่ดีกว่าเดิม และหาที่อยู่ให้แก่ครอบครัวและสำนักมารกำเนิดของตนเอง
เพียงแต่ดูจากวันนี้ บรรยากาศโดยรวมของต้าอินทำให้เขาอึดอัดอยู่บ้าง การหลอมรวมเข้ากับที่นี่โดยสมบูรณ์ไม่แน่จะเป็นเรื่องดีสำหรับสำนักมารกำเนิดและตระกูลลู่
…
ต้าซ่ง ที่ราบแห่งหนึ่งที่กำลังเกิดพายุทราย
ตูม!
บนเนินทรายสีทอง เงาคนสูงใหญ่สีดำเหยียบลงบนพื้นทรายอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็เงยหน้ามองไปที่ไกล
เงาคนมีรูปร่างแปลกประหลาดถึงขีดสุด คลุมร่างด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวโคร่ง ท่อนบนผอมแห้ง ท่อนล่างบวมพอง ต่อให้จะเป็นเพราะดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงแผดเผาอยู่เหนือศีรษะ เขาก็คลุมร่างไว้อย่างมิดชิดจนเหมือนไม่ใช่มนุษย์
จุดประหลาดก็คือสิ่งที่เหลืออยู่บนพื้นทรายหลังเขาเดินผ่านไปไม่ใช่รอยเท้ามนุษย์ แต่เป็นร่องรอยเหมือนกับหนวดจำนวนนับไม่ถ้วน ดูเหมือนงูเลื้อยผ่าน
ซ่า…ซ่า…ซ่า…
บุรุษเดินตามเนินทรายไปด้านหน้าทีละก้าวๆ สองตาใต้เสื้อคลุมสีดำเรืองแสงสีเทาอ่อนๆ
“ข่าเฟยหรือ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
อยู่ๆ ทรายสีเหลืองใต้เท้าบุรุษก็เลื่อนไหล ใบหน้าคนขนาดยักษ์ซึ่งกว้างหลายสิบหมี่ค่อยๆ นูนขึ้นใต้เท้าเขา
ตำแหน่งที่บุรุษอยู่คือบนคางของใบหน้าคนพอดี
“ฝ่าบาท ผนึกหุบเหวมารถูกทำลายแล้ว…ข้าไม่มีบ้านให้กลับ จึงได้แต่มาสวามิภักดิ์ท่าน” ข่าเฟยมารโบราณเปิดเสื้อคลุมสีดำ เผยให้เห็หนังศีรษะล้านเลี่ยนที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
ตาเขาเป็นประกายสีเขียว มองดูใบหน้าคนขนาดมหึมาด้วยความเคารพและยำเกรง
“ผนึกหุบเหวมารถูกทำลายแล้วหรือ” ใบหน้าคนขนาดมหึมางุนงง จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “ผนึกนั้นคงอยู่มาห้าพันปีแล้ว พวกเรากับเผ่ามนุษย์เคยตกลงกัน ไม่มีใครไปแตะต้อง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถูกทำลายได้อย่างไร เจ้ารู้ไหมว่าที่นั่นเชื่อมกับที่ไหน นั่นไม่ใชแค่ผนึกของหุบเหวมารเท่านั้น!”
ข่าเฟยแสดงสีหน้าจนปัญญาและท้อใจ
“ข้าเสียดายนักฝ่าบาท ผู้ที่เปิดผนึกคือมนุษย์ที่ภายนอกเหมือนเผ่ามาร ข้าคิดว่าเป็นมนุษย์ที่ฝึกฝนวิชาลับวิถีมารและหลอมรวมศัสตรามารเข้ากับร่างกาย”
……………………………………….