ส่วนที่ 8 ภาคตำนานแม่พระแห่งวังหลัง ตอนที่ 15 ตำนานแม่พระวังหลัง

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

อากาศในปลายเดือนตุลาคม หนึ่งฝนฤดูใบไม้ร่วง หนึ่งระลอกหนาว 

 

 

ฝนเย็นเยือกโปรยปรายมาทั้งเช้าแล้ว ซูหว่านนอนพิงอยู่บนตั่งนุ่มของห้องหนังสือด้านข้างของห้องนั้นอุ่น กำลังพลิกเปิดดูหนังสือแนะนำของสวีปิงเย่ว์ที่วังอี้หามาให้ตนด้วยมือเดียว บนนั้นได้บันทึกชีวประวัติและสภาพครอบครัวของสวีปิงเย่ว์ไว้อย่างละเอียด 

 

 

เจ้าเด็กสาวคนนี้นั้นเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยาเหมือนเหยียนอวี่ชิง แต่ว่านางค่อนข้างเป็นที่โปรดปรานและได้รับความรักความเอ็นดูจากคนในครอบครัวและการเข้าวังครั้งนี้ก็เป็นสวีปิงเย่ว์ที่เสนออกมาด้วยตัวเอง เห็นได้ว่าเด็กสาวคนนี้ไม่พอใจกับสภาพในปัจจุบัน มีความทะเยอทะยานมากทีเดียว  

 

 

แววตาของซูหว่านเป็นประกายชั่วครู่ เดิมทีเธอยังคงตัดสินใจว่าจะใช้เหยียนอวี่ชิงเป็นตัวประกอบหญิงจิตเหี้ยมที่เล่นเป็นตัวร้ายคนนั้น แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่านักเรียนสวีปิงเย่ว์จะเหมาะมากกว่านะ 

 

 

ตามทิศทางการเดินเรื่องในโลกเดิมแล้ว เมื่อถึงเวลาในตอนนี้เหยียนอวี่ชิงน่าจะรู้สึกชอบฝ่าบาทมานานแล้ว ในใจคิดอยากจะเหยียบหลิวกุ้ยเหรินเพื่อขึ้นตำแหน่งอย่างเดียว และเมื่อเปรียบเทียบด้วยกันแล้วนักเรียนสวีปิงเย่ว์ที่โผล่ออกมากลางทางนี้มีคุณสมบัตินำมาปั้นได้มีประสิทธิภาพมากกว่า! 

 

 

ซูหว่านปิดหนังสือแนะนำลงแล้วดูทิศทางการเคลื่อนไหวสองสามวันมานี้ของสวีปิงเย่ว์ที่วังอี้หาคนมาบันทึกโดยเฉพาะ นางในตอนนี้ได้เดินตามรอยเท้าของเหยียนอวี่นั่วอย่างแน่วแน่ แสดงถึงความมีตัวตนต่อหน้าลู่มู่สวินที่โรงหมออยู่บ่อย ๆ 

 

 

ดูท่าแล้วเมื่อก่อนหน้าเหยียนอวี่นั่วสามารถจัดการเงินห้าร้อยเหลี่ยงให้เสร็จสรรพอย่างรวดเร็วได้นั้นต้องเป็นสวีปิงเย่ว์ที่ยุยงให้นางไปยืมจากลู่มู่สวินอย่างแน่นอน เมื่อเป็นแบบนี้แล้วนอกจากจะแก้ปัญหาเร่งด่วนของเหยียนอวี่นั่วได้แล้ว ยังให้โอกาสมากมายแก่สวีปิงเย่ว์ที่จะเข้าออกตำหนักหมอหลวงเพื่อเข้าใกล้ลู่มู่สวินอีกด้วย 

 

 

ผู้หญิงคนนี้มีแผนการในใจธรรมดาไม่ล้ำลึกนัก แต่ว่ายิ่งเป็นคนเช่นนี้ ซูหว่านก็ยิ่งชอบ 

 

 

ซูหว่านได้พลิกอ่านการเคลื่อนไหวประจำวันของสวีปิงเย่ว์ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้จนหมดอย่างไม่รู้ตัว ยกมือกำลังจะปิดเอกสารระเบียนลง ทันใดนั้นเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากหลังของตัวเอง เสื้อคลุมผ้าทอที่งดงามหนานุ่มตัวหนึ่งได้ถูกคลุมลงมายังหลังของเธออย่างแผ่วเบา 

 

 

“หัวหน้าขันทีวัง” 

 

 

ซูหว่านยังคิดว่า วังอี้ที่ค่อยปรนนิบัติอยู่ข้างกายมาตลอดเป็นคนช่วยคลุมให้ตัวเอง สุดท้ายเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตายิ้มแย้มของซูรุ่ย ที่แท้วังอี้ได้หายตัวไปตั้งนานแล้ว เวลานี้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอเห็นได้ชัดว่าคือซูรุ่ยที่ใส่เสื้อคลุมมังกร 

 

 

“ระวังจะไม่สบายนะ” 

 

 

ซูรุ่ยพูดไปด้วยหยิบเอกสารระเบียนที่อยู่ข้างมือซูหว่านขึ้นมาด้วย “แขนของเธอยังไม่หายดี อย่าถือของที่หนักแบบนี้เลยนะ” 

 

 

ซูหว่าน “…” 

 

 

แม่ทัพซู นายบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าของอะไรบนโลกใบนี้ ในสายตานายถึงจะถือว่าเบา? ขนนกเรอะ? 

 

 

“สวีปิงเย่ว์?” 

 

 

คลุมเสื้อคลุมให้ซูหว่านเรียบร้อยแล้ว ซูรุ่ยหยิบเอกสารระเบียนที่ซูหว่านดูเมื่อครู่ติดมือขึ้นมาด้วย ใช้สายตากวาดมองดูอย่างรวดเร็ว “สวีปิงเย่ว์นี้คือใครกัน?”  

 

 

ในเนื้อเรื่องภารกิจที่ซูรุ่ยรับมาไม่ได้มีตัวละครสวีปิงเย่ว์คนนี้เลย 

 

 

ถูกต้องแล้ว เดิมทีนางก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก 

 

 

ในเนื้อเรื่องเดิมในคืนนั้นที่ซูหว่านกับเหยียนอวี่นั่วถูกซูเฟยลงโทษ เป็นเพราะว่ากลางดึกซูหว่านก็ได้เป็นลมสลบไปแล้ว เหยียนอวี่นั่วอุ้มเธอไปเคาะประตูตำหนักอยู่นานค่อนคืนและสุดท้ายเหยียนอวี่นั่วก็ได้ขอร้องอ้อนวอนต่อหน้าซูเฟย ซูเฟยเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง จึงไม่คิดแค้นยกโทษให้พวกเธอไป หลังจากนั้นเหยียนอวี่นั่วก็พาซูหว่านที่สลบไม่ได้สติกลับไปยังสำนักพระภูษา ดูแลซูหว่านอยู่ค่อนคืนในห้องเอ่อร์ฝางที่พวกเธอพักอยู่ เธอจึงได้สติขึ้นมา 

 

 

ดังนั้นในเนื้อเรื่องเดิมพวกเธอนั้นไม่ได้ทนอยู่ถึงฟ้าสว่างและก็ไมได้พบสวีปิงเย่ว์ที่ทำความสะอาดทางเดินจักรพรรดิ 

 

 

ทว่าตอนนี้เพราะการมาถึงของซูหว่านทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไป ซูหว่านกำลังเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองและเหยียนอวี่นั่ว ในขณะเดียวกันก็ได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนมากมายอีกด้วย อย่างเช่น สวีปิงเย่ว์ ไป๋หมัวหมัว และคนอื่นๆ เป็นต้น 

 

 

แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ สำหรับนักเรียนซูหว่านล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย ท่านแม่ทัพซูของพวกเราได้ส่งสนมสองคนและคนอีกเป็นกองตรงสู่เส้นทางมรณะ นั้นถึงจะเรียกได้ว่าผลงานใหญ่ 

 

 

“ฉันคิดว่าสวีปิงเย่ว์คนนี้สามารถใช้ประโยชน์ได้ มีประโยชน์มากด้วย” 

 

 

ซูหว่านดึงเสื้อคลุมบนตัวแน่นขึ้นและยิ้มแย้มพลางเงยหน้ามองซูรุ่ย “นายคิดว่าอย่างไรล่ะ?” 

 

 

“คุณชอบก็พอแล้ว” 

 

 

ซูรุ่ยชอบดูซูหว่านพลิกเกมไปมา เธอจะพลิกเกมอย่างไรเขาก็ชอบหมด 

 

 

แน่นอนว่าถ้าหากเจอเรื่องคาดไม่ถึงบางอย่างที่ซูหว่านทำไม่ไหว ถ้าอย่างนั้นท่านแม่ทัพซูก็จะลงมือโดยไม่ลังเล ใช้วิธีโหดทำร้ายสิ่งสวยงามอะไร ทั้งหมดต่างก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะเริ่มก้าวต่อไปแล้ว” 

 

 

ซูหว่านพูดพลางหยิบจดหมายของเสิ่นเฉิงเป่ยฉบับนั้นที่ดูแลอย่างดีมาโดยตลอดจากในถุงผ้าไหมที่พกติดตัว “ฉันเตรียมที่จะตอบจดหมายกลับให้เสิ่นเฉิงเป่ย จากนั้นค่อยสร้างโอกาสให้เขากับสวีปิงเย่ว์สักหน่อย” 

 

 

“หืม?” 

 

 

ได้ยินซูหว่านพูดถึงเสิ่นเฉิงเป่ย สายตาของซูรุ่ยกระพริบชั่วครู่ “ผมได้อนุมัติฎีกาที่กราบทูลการเลื่อนตำแหน่งของเสิ่นเฉิงเป่ยแล้ว สองสามวันมานี่เขากำลังได้อกได้ใจเลยล่ะ แต่ว่าเสิ่นเฉิงเป่ยในตอนนี้พูดให้ลื่นหูน่าฟังขนาดไหนก็เป็นแค่หัวหน้าทหารเวรยามของกองทหารองครักษ์ ผมว่าสวีปิงเย่ว์ นั้นอาจจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาก็ได้” 

 

 

“ไม่หรอก” 

 

 

ซูหว่านส่ายหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม “พระเอกในโลกๆ หนึ่งถูกเรียกว่าพระเอก แน่นอนว่าต้องมีส่วนที่เหนือกกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว เสิ่นเฉิงเป่ยต่อให้ฉันไม่เคยเจอเขามาก่อน แต่ว่าตามโครงเรื่องเดิมแล้วกลับเป็นคนหนุ่มมีความสามารถที่รูปร่างหล่อเหลาไม่ธรรมดา ดูดีมีสง่าราศี เมื่อเปรียบเทียบกับความหล่อดูดีอ่อนโยนแบบลู่มู่สวินแล้ว ผู้ชายแบบนี้ดึงดูดผู้หญิงได้ง่ายกว่า” 

 

 

รูปร่างหล่อเหลาไม่ธรรมดา ดูดีมีสง่าราศี? 

 

 

ได้ยินซูหว่านชมเสิ่นเฉิงเป่ยราวกับบุบผาเบ่งบาน ท่านแม่ทัพซูอดไม่ได้ที่จะหลุบตาลง “พระเอกแล้วยังไง? ก็ยังคงต้องถูกพวกเราบงการอยู่ดี อยากให้เขาอยู่ เขาก็อยู่ อยากให้เขาตายเขาก็ต้องตาย!” 

 

 

“เพคะๆ ๆ แน่นอนว่าฝ่าบาทนั้นละที่เก่งที่สุด ฝ่าบาทท่านนะเก่งจนทะลุฟ้าไปแล้ว” 

 

 

ซูหว่านมองซูรุ่ยด้วยรอยยิ้ม เวลาที่เธอพูดคำพูดพวกนี้ เธอไม่รู้สึกละอายใจเลยเหรอ ใช่แล้ว ผู้ชายบ้านฉันเก่งขนาดนี้ละ เก่งจนไม่หวาดไม่ไหวแล้ว 

 

 

ได้ยินคำชมของซูหว่านมุมปากของซูรุ่ยกระดกขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เสียวหว่าน คุณดูสิว่าแขนคุณบาดเจ็บนะ เขียนหนังสือลำบากจะตาย ผมช่วยคุณตอบกลับจดหมายให้เสิ่นเฉิงเป่ยเอง อืม ตกลงตามนี้ล่ะนะ” 

 

 

ระหว่างพูดก็ไม่รอให้ซูหว่านตอบตกลง ซูรุ่ยก็ได้เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ข้างๆ เองโดยไม่ปรึกษา และกางกระดาษเขียนจดหมายขึ้นมาหนึ่งแผ่น “วังอี้ มาฝนหมึกให้ข้าที!” 

 

 

“พะยะค่ะ” 

 

 

เสียงของวังอี้ดังมาจากที่ไกล แค่ครู่เดียวเขาทั้งคนก็รีบเดินมาอยู่ที่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือช่วยฝนหมึกให้ซูรุ่ยอย่างว่องไว ฮ่องเต้พระองค์อื่นนั้นต่างก็มีสาวงามอยู่เคียงข้างกาย แต่ฮ่องเต้ของบ้านเรานี้กลับมีแค่หัวหน้าขันทีวังผู้เป็นคุณลุงครึ่งเดียวอยู่ข้างกาย 

 

 

เช้าของวันที่สอง 

 

 

สวีปิงเย่ว์ก็เหมือนปกติ ทุกเช้าจะไปที่กองศิลป์หนึ่งรอบตามคำสั่งของเลี่ยวซืออี๋เพื่อดูว่าที่พวกนางนั้นมีผ้าแพรต่วน ผ้าไหมที่เพิ่งย้อมสีใหม่หรือไม่ 

 

 

กองศิลป์ไม่ได้อยู่ห่างจากสำนักพระภูษามากนัก เดินผ่านทางเดินเล็กๆที่เงียบสงัดเส้นหนึ่งก็สามารถเห็นลานของพวกนางแล้ว สำหรับเส้นทางเส้นนี้สวีปิงเย่ว์ก็จดจำขึ้นใจมานานแล้ว เวลานี้ในวันปกตินั้นไม่มีคนเดินผ่านที่นี่อยู่แล้ว แต่ว่าวันนี้เมื่อสวีปิงเย่ว์เดินผ่านทางเดินเล็กๆ นี่กลับชนกับขันทีน้อยที่เดินอย่างเร่งรีบคนหนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั้นใส่เสื้อของกรมวัง สวีปิงเย่ว์ก็ไม่กล้าที่จะไปโต้เถียงกับอีกฝ่าย ขันทีน้อยคนนั้นก็ดูท่าจะมีเรื่องเร่งด่วนเพียงแค่พริบตาเดียวก็เดินหายไปแล้ว 

 

 

“โชคร้ายจริงๆ เลย” 

 

 

สวีปิงเย่ว์นวดไหล่ที่ถูกชนจนปวดของตัวเอง ช่วงเวลาที่ก้มหน้าลงกลับเห็นบนพื้นมีกระดาษจดหมายอันใหม่เอี่ยมฉบับหนึ่งอยู่ นี่คือ… 

 

 

นางหยิบกระดาษจดหมายขึ้นมาอย่างลังเล บนนั้นได้เขียนข้อความไว้บรรทัดหนึ่ง ถึง เสิ่นเฉิงเป่ยหน่วยค่ายทหารองครักษ์บูรพา 

 

 

เสิ่นเฉิงเป่ย? 

 

 

ชื่อนี้ฟังเพราะดีและลายมือบนกระดาษจดหมายก็สวยงามมาก 

 

 

จดหมายฉบับนี้ใครเป็นคนเขียนกัน? ดูจากทิศทางที่ขันทีน้อยของกรมวังมานั้น จดหมายนี้น่าจะมาจากในวังหลังถึงจะถูก ในวังหลังนั้นห้ามมิให้นางกำนัลกับทหารมีการติดต่อไปมาหาสู่กันใดๆทั้งสิ้น 

 

 

ถ้าหากไม่ใช่นางกำนัลแล้วละก็ 

 

 

มือทั้งสองของสวีปิงเย่ว์นั้นสั่นไปหมด นางตั้งสติและเดินไปยังมุมของทางเดิน มองไปรอบๆ และเห็นว่าขันทีน้อยจากกรมวังคนนั้นไม่ได้กลับมา สวีปิงเย่ว์สูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ พร้อมกับเปิดกระดาษจดหมายฉบับนั้นออกอย่างระมัดระวัง 

 

 

ชีวิตของคนเราก็เป็นเยี่ยงนี้ เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะพวกเราได้พบใครบางคนในบางเวลาหรือได้ทำการตัดสินใจบางอย่างแล้วทั้งหมดถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง 

 

 

สวีปิงเย่ว์ก็เป็นไปตามที่ซูหว่านคาดการณ์ไว้ เพราะมีความทะเยอทะยาน ในใจมีแผนการ นางจึงเปิดจดหมายฉบับนั้น 

 

 

แต่หากคนที่เก็บจดหมายฉบับนี้ได้เปลี่ยนเป็นเหยียนอวี่นั่ว เกรงว่าเหยียนอวี่นั่วจะยืนโง่ๆ อยู่กับที่จนกว่าผู้ที่ทำสูญหายจะมาหา ถ้าหากรอแล้วไม่เจอเจ้าของ นางยังคงที่จะหาผู้ที่ทำสูญหายอย่างสุดความสามารถ  

 

 

แน่นอนว่าหากซูหว่านเจอเรื่องแบบนี้ นางจะไม่เห็นหรือสนนใจจดหมายฉบับนี้เลย 

 

 

นี้ก็คือความแตกต่างของแก่นแท้โดยธรรมชาติระหว่างคนแต่ละคน