หน่วยทหารองครักษ์วังหลวง ค่ายทหารเวรยามบูรพา
เสิ่นเฉิงเป่ยที่เพิ่งได้รับเกียรติเลื่อนตำแหน่งเป็นที่ดีอกดีใจกับความความสำเร็จในสายตาของทุกคน ได้รับความชื่นชมจากหัวหน้าและฝ่าบาทตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตนั้นก้าวไกลไร้สิ่งใดหยุดยั้ง!
อย่างไรก็ตามภายใต้การรายล้อมจากสายตาที่อิจฉาริษยาจากทุกคนนั้น เสิ่นเฉิงเป่ยกลับรักษาสีหน้าให้ดูเรียบนิ่งอยู่ตลอด ทว่าในความเป็นจริง ในใจของเขานั้นรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายเป็นอันมาก
ตั้งแต่วันนั้นหลักจากที่เขาฝากเสี่ยวซุ้นจื่อจากกรมวังส่งเงินกับจดหมายฉบับนั้นให้กับซูหว่าน ที่หอแรงงานนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย เสิ่นเฉิงเป่ยจึงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งวันเพราะเรื่องนี้
ในความทรงจำของเขา ซูหว่านยังคงเป็นเหมือนหลายปีที่แล้ว รูปร่างเล็ก ผิวขาวสะอาด ชอบไล่ตามต้อยๆ อยู่ข้างหลังเขาและเรียกท่านพี่เฉิงเป่ย ท่านพี่เฉิงเป่ย
ตอนนั้นเขาก็รู้แล้วว่าซูหว่านจะเป็นเจ้าสาวของเขาในอนาคต ถึงแม้เขาจะอายุมากกว่านางเพียงสองปีนิดๆ แต่ว่าเสิ่นเฉิงเป่ยในตอนนั้นก็มีใจแห่งชายชาตรีน้อยดวงหนึ่งแล้ว รู้ว่าตัวเองต้องปกป้องนางทั้งชีวิต
น่าเสียดายในปีที่เขาอายุเก้าขวบ บ้านตระกูลซูก็ได้ย้ายออกไปเนื่องจากตระกูลล้มละลาย จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอะไรอีกเลย คนทั้งสองตระกูลก็ขาดการติดต่อกันด้วยเหตุนี้
หลายปีมานี้เสิ่นเฉิงเป่ยไม่เคยลืมสาวน้อยแววตาสดใสบริสุทธิ์ในความทรงจำมาตลอด บางครั้งบางครายามตื่นจากฝันก็มักจะนึกถึงเรื่องราวในอดีต เขาเองก็มักจะได้ยินเสียงละอ่อนน่าฟังที่เรียก ‘ท่านพี่เฉิงเป่ย’ อยู่ไม่ขาดสาย
หลังจากที่ถูกบิดาแนะนำเข้าสู่สำนักราชวังเมื่อเขาอายุครบสิบหกปี ในเมืองหลวงมคนไม่น้อยมาหาเขาในฐานะแม่สื่อ แต่ก็ได้ถูกเสิ่นเฉิงเป่ยปฏิเสธไป ถึงแม้จะรู้ว่าโอกาสที่จะได้พบกับซูหว่านอีกครั้งในผู้คนมากมายนั้นมันน้อยนิด แต่เสิ่นเฉิงเป่ยยังไม่อยากล้มเลิกความตั้งใจ เมืองหลวงนั้นจะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็ก เขามักจะเฝ้ารอว่าสักวันหนึ่งจะสามารถพบเด็กสาวคนนั้นอีกครั้งบนหัวถนน นี่เป็นภาพที่เสิ่นเฉิงเป่ยจินตนาการมานับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายแล้วเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ในขณะที่เขากำลังตระเวนตรวจราพระตำหนักกลางนั้นกลับได้เจอซูหว่านอีกครั้งจริง ๆ
นางเดินตามอยู่ข้างๆ นางกำนัลกลุ่มหนึ่ง บนตัวสวมใส่ชุดสีน้ำเงินของกองพระภูษา บนเอวของนางนั้นได้แขวนจี่หยกแขวนที่นางไม่เคยห่างตัวตั้งแต่เด็กอยู่ชิ้นหนึ่ง จี่หยกนั้นแต่เดิมแล้วมีเป็นคู่ เป็นของแทนใจการหมั้นหมายระหว่างสองตระกูลของพวกเขา
ถึงแม้จะเห็นแค่ครั้งเดียวแต่เสิ่นเฉิงเป่ยก็รู้ได้เลยว่านั้นคือน้องเสี่ยวหว่านของเขาได้ทันทีนางยังคงมีดวงตาที่ใสบริสุทธิ์น่ามองคู่หนึ่งเหมือนเดิม เขาไม่มีวันจำนางผิดแน่นอน
ในตอนนั้นในใจของเสิ่นเฉิงเป่ยดีใจมาก แต่เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งฐานะของทั้งคู่ ทำให้ไม่สามารถยอมรับความสัมพันธ์ได้ในทันที
แต่ว่าในผู้คนมากมายในที่สุดเขาก็หาซูหว่านจนพบ นี่ใช่ที่ผู้คนเขาเรียกกันว่าชะตาฟ้าลิขิตหรือเปล่า?
เสิ่นเฉิงเป่ยนึกว่าการพบกันอีกครั้งของทั้งสองคนจะมาถึงเร็วๆนี้ แต่สุดท้ายข่าวคราวว่าเกิดเรื่องขึ้นในกองพระภูษาก็ตามมาติดๆ
เฮ้อ
เสิ่นเฉิงเป่ยถอนหายใจอยู่ในใจไปอีกหนึ่งครั้ง ตอนนี้เองเงาร่างที่คุ้นเคยคนหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “หัวหน้าเสิ่น!” เมื่อได้เห็นหน้าของเสิ่นเฉิงเป่ย คนคนนั้นขยิบตาหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ท่านหัวหน้าเสิ่น มีคนมาหาท่าน!”
“หืม?”
เสิ่นเฉิงเป่ยชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง คิดว่าเป็นเสี่ยวซุ่นจื่อของกรมวังโดยสัญชาตญาณ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วในทันใด เห็นเขาท่าทางรีบร้อนเช่นนี้คนที่เข้ามารายงานคนนั้นอดไม่ได้ที่จะดึงแขนเขา พูดด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม “ท่านหัวหน้าเสิ่น ถึงแม้ที่นี่จะเป็นหน่วยค่ายทหารยามส่วนหน้าวังหลวง แต่ก็ยังเป็นส่วนในของวังหลวง พวกท่านไปมาหาสู่กันต้องระวังหน่อย อย่าถูกใครจับได้ล่ะ”
เอ่อ
ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายเสิ่นเฉิงเป่ยงงวงยไปหมด เมื่อเขารีบเดินไปยังห้องผักผ่อนของค่ายทหารยาม เห็นหญิงสาวหน้าตาขาวสะอาดสะอ้านที่สวมชุดขันทีในลานคนนั้น เขาชะงักไปทั้งตัว
“แม่นาง เจ้า….หาข้าหรือ?”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นหญิงแต่งชาย แต่แว่บเดียวก็สามารถดูออกแล้วมันได้หรือ?
แน่นอนว่าบางที่ในพระราชวังทุกคนต่างเห็นกันแต่ก็แสร้งทำเหมือนไม่เห็น เดาออกแล้วแต่ก็ทำเป็นเดาไม่ออก
ใครให้ที่นี่เป็นวังหลวงเล่า?
ยามเที่ยงแสงแดดส่องสว่างเจิดจ้า แสงอาทิตย์สดใสสาดแสงกระทบบนหน้าหล่อเหลาดั่งเทพบุตรของเสิ่นเฉิงเป่ย เขาสวมใส่ชุดทหารองครักษ์สีน้ำเงิน พกดาบประจำตัวไว้ เกล้าผมด้วยกวานหยก คนทั้งคนดูองอาจห้าวหาญอย่างหาที่เทียบไมได้
โดยเฉพาะน้ำเสียงที่เขาพูดในขณะนี้ น้ำเสียงที่ชวนหลงใหลทำให้คนที่ได้ยินนั้นรู้สึกดีเป็นพิเศษ
ก่อนที่จะได้เจอเสิ่นเฉิงเป่ย สวีปิงเย่ว์รู้สึกมาตลอดว่าผู้ชายอย่างหมอหลวงลู่นั้นคือดูดีทสดแล้ว แต่เมื่อเห็นเสิ่นเฉิงเป่ยที่ดูอาจหาญ สวีปิงเย่ว์หัวใจเต้นเร็วขึ้นทันที
นี่ ถึงจะใช่ความรู้สึกของหัวใจเต้นเร็ว
รู้สึกรักเพียงหนึ่งสบตา หัวใจดั่งกวางโลดเต้น
“ท่านคือ…เสิ่นเฉิงเป่ย ท่านพี่เสิ่น?”
สวีปิงเย่ว์เก็บประกายบนตาของตัวเอง จ้องมองใบหน้าของเสิ่นเฉิงเป่ยด้วยสีหน้าใสซื่อและเขินอาย น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน
“ข้าคือเสิ่นเฉิงเป่ย ขอทราบว่าเจ้าคือ…”
“ข้าคือสหายรักของซูหว่าน สวีปิงเย่ว์เจ้าค่ะ ท่านพี่เสิ่นท่านเรียกข้าว่าปิงเย่ว์ก็ได้” สวีปิงเย่ว์ ยิ้มให้กับเสิ่นเฉิงเป่ยอย่างสดใส
ตอนเช้าเมื่อนางเปิดจดหมายฉบับนั้นขึ้นพบว่าจดหมายเป็นซูหว่านที่เขียน ตอนนั้นสวีปิงเย่ว์ก็แค่รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างบังเอิญจริงๆ แต่เมื่อเห็นเนื้อความในจดหมายก็รู้ว่าคู่หมั้นของซูหว่านนั้นคือหัวหน้าทหารเวรยามของค่ายทหารเวรยามพระราชวัง และดูจากน้ำเสียงที่ซูหว่านติดต่อกับเขา คนคนนี้ดูเหมือนฐานะครอบครัวจะดีมากมีโอกาสพื้นที่ว่างที่จะได้เลื่อนตำแหน่งมากมาย
ตอนนั้นสวีปิงเย่ว์ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดแผนการ ถ้าหากหลังจากที่ตัวเองช่วยซูหว่านส่งจดหมายฉบับนี้ ช่วยคนสองคนนี้ส่งข่าวคราวส่งคำพูดให้ ไม่แน่ว่าวันไหนรอให้ซูหว่านพลิกตัวเป็นไทออกมาจากหอแรงงาน หรือว่าผู้ชายคนนี้ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ตนเองก็สามารถที่จะได้รับผลประโยชน์จากพวกเขาได้สักหน่อย ใช่แล้ว สวีปิงเย่ว์ก็เพราะมีความคิดในใจแบบนี้ถึงได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ตามหลักการทั่วไปแล้วนางกำนัลนั้นไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์ที่แนบแน่นเกินไปกับทหารและคนของกองพระภูษาก็ไม่มีเวลาและความกล้าที่จะมาที่นี่โดยตรง ในเนื้อเรื่องเดิมซูหว่านและเหยียนอวี่นั่วนั้นได้ฝากเหยียนอวี่ชิงที่ใจกล้าให้ส่งจดหมายให้ และตอนนี้สวีปิงเย่ว์เปลี่ยนเป็นชุดขันทีแล้วก็กล้าตรงมายังค่ายทหารเวรยามเลย ความใจกล้าของผู้หญิงคนนั้นเห็นได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
“เจ้าเป็นเพื่อนรักของเสียวหว่านหรือ นางฝากให้เจ้ามาหาข้าหรือ?”
เวลานี้เสิ่นเฉิงเป่ยได้ยินคำพูดของสวีปิงเย่ว์ น้ำเสียงตื่นเต้นมากมาย “นางยังสบายดีหรือเปล่า? นางได้ตอบจดหมายให้ข้าหรือไม่?”
“จดหมายอยู่นี่”
สวีปิงเย่ว์ได้หยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาจากหน้าอกของตัวเองอย่างไม่ยินยอมนัก ยิ้มพร้อมส่งไปถึงในมือของเสิ่นเฉิงเป่ย “ท่านพี่เสิ่น ท่านค่อยๆ ดูก็ได้ อีกสองวันข้ามีเวลาค่อยมาอีก ถ้าท่านมีคำพูดอะไรอยากพูดกับพี่เสียวหว่าน ท่านก็เขียนเอาไว้ แล้วข้าจะช่วยท่านส่งให้นางเอง”
“จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นขอบใจเจ้ามากจริงๆ !”
เมื่อได้ยินคำพูดของสวีปิงเย่ว์ เสิ่นเฉิงเป่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขอบใจให้นาง รอยยิ้มนี้ช่างอ่อนโยนและน่าหลงใหลทำให้จิตใจและสติของสวีปิงเย่ว์สั่นไหวไปชั่วครู
ผู้ชายดี ๆ ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ อยู่ด้วยกันกับซูหว่านช่างน่าเสียดายจริงๆ
ถึงแม้ในใจนั้นได้รู้สึกชอบเสิ่นเฉิงเป่ยไปแล้ว แต่บนสีหน้านั้นสวีปิงเย่ว์กลับไม่ได้แสดงให้ชัดเจนเกินไป “ท่านพี่เสิ่น การที่ข้ามาที่นี่ ถือว่าเสี่ยงอันตรายมากแล้ว ข้า…ตอนนี้ข้าต้องกลับไปแล้ว อีกสองวันพวกเราค่อยเจอกันเถอะ”
“อืม”
เมื่อได้ยินสวีปิงเย่ว์พูดเช่นนี้ แววตาของเสิ่นเฉิงเป่ยกระพริบชั่วครู่ เขาก็นึกได้ว่าการกระทำของสวีปิงเย่ว์ครั้งนี้ความอันตรายไม่น้อยจริง ๆ ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่เสิ่นเฉิงเป่ยนำเอาป้ายอาญาสิทธิ์ที่พกติดตัวชิ้นหนึ่งส่งไปในมือของสวีปิงเย่ว์ “นี่คือป้ายอาญาสิทธิ์เข้าออกของค่ายทหารบูรพา เจ้ามีสิ่งสิ่งนี้ครั้งหน้ามาที่นี่จะสะดวกขึ้น อย่างน้อย…ในค่ายจะไม่มีคนทำให้เจ้าลำบาก!”
“ท่านพี่เสิ่น สิ่งนี้ให้ข้าหรือ?” สวีปิงเย่ว์รับป้ายอาญาสิทธิ์ที่เสิ่นเฉิงเป่ยส่งมาให้อย่างแววตาเป็นประกาย ปลายนิ้วมือแตะโดนมือใหญ่ที่อบอุ่นดูดีของเขา นางรีบดึงมือกลับเสมือนถูกไฟดูดทันที “ท่านพี่เสิ่นให้ข้า ข้าจะเก็บรักษาอย่างดี ถ้าอย่างนั้นข้า…ไปก่อนนะ?”
สวีปิงเย่ว์มองเสิ่นเฉิงเป่ยอย่างอาลัยอาวรณ์ แต่ทว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากำลังจ้องลายมือบนกระดาษจดหมายนั้นอย่างเหม่อลอย สภาพทั้งคนเสมือนดูจนกระทั่งเคลิ้มเคลิ้มหลงใหลเข้าไปแล้ว
สวีปิงเย่ว์กัดฟันอย่างลับๆ จึงหมุนตัวจากไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
สำหรับการจากไปของสวีปิงเย่ว์ เสิ่นเฉิงเป่ยนั้นไม่รู้ตัวเลย เขาแค่มองลายมือที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ทักษะการเขียนอยู่ในขั้นดีเยี่ยมนั้นอย่างนิ่งอึ้ง คนทั้งคนรู้สึกดีอกดีใจออกมาจากใจจริง
นี่คือที่เสียวหว่านเขียนให้เขา ลายมือของเสียวหว่านช่างสวยงามมากจริง ลายมือเหมือนดั่งคน ทำให้แววตาของเสิ่นเฉิงเป่ยอ่อนโยนลงอย่างอดไม่ได้…
ว่าแต่
ตัวอักษรที่ดั่งเมฆาที่ล่องลอยนั้น ดูคล้ายว่าจะถูกเขียนโดยฝ่าบาทนะ?
ดังนั้นท่านใต้เท้าพระเอก ท่านรู้สึกรักแรกพบกับลายมือของเขาอะไรนี่ ท่านเคยคิดถึงความรู้สึกของฝ่าบาทบ้างหรือเปล่า?