บทที่ 575 นางแข็งแกร่งยิ่งนัก
เฉียวเทียนช่างเห็นลูกเตะของหนิงเมิ่งเหยาอย่างชัดเจน หากลูกเตะของนางแรงกว่านี้ เห็นทีส่วนสงวนของซ่งรุ่ยคงถูกอัดขยี้จนไม่สามารถใช้การได้อีกเป็นแน่
บนหน้าผากของซ่งรุ่ยปรากฏรอยยับย่นจนเห็นเด่นชัดขึ้น เขามองหนิงเมิ่งเหยาอย่างสิ้นหวัง ส่วนนางทำเพียงขยับเท้าเบาๆ แล้วมองเขากลับอย่างไม่แยแส
ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างของซ่งรุ่ยนึกกลัวขึ้นมาว่าท้ายที่สุดแล้วคนที่โดนอัดน่วมจะเป็นคนของตนแทน ผู้ใดเล่าจะรู้ว่านอกจากสองคนนั้นจะยังอยู่รอดปลอดภัยดีเช่นเดิมแล้ว หญิงสาวผู้ที่ภายนอกดูอ่อนโยนเช่นนี้กลับแข็งแกร่งยิ่งนัก ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น นางเล็งเตะเข้าที่จุดตายของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเลเลย
ไม่เพียงเท่านั้น จากสีหน้าอันบิดเบี้ยวของซ่งรุ่ย เห็นได้อย่างชัดเจนว่าลูกเตะของนางนั้นรุนแรงเพียงใด
ช่วงล่างของซ่งรุ่ยไร้ความรู้สึกใดๆ ใบหน้าของเขาขาวซีด
“เลือด… เลือด… นายน้อย… ท่าน…เลือดออกขอรับ” ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังของซ่งรุ่ยถึงกับอึ้งเมื่อเห็นเลือดหยดลงมาจากร่างกายช่วงล่างของเขา
ซ่งรุ่ยก้มหน้ามองเมื่อได้ยินคำพูดของผู้ติดตาม ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีอะไรหนืดๆ อยู่ที่มือของตน
เขาก้มหน้าลงมองตามสัญชาตญาณ จากนั้นจึงเห็นว่าฝ่ามือทั้งสองข้างของตนถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง เขาตกใจกลัวขึ้นมาทันที เขาจะเอาตัวรอดอยู่ภายในตระกูลซ่งได้อย่างไรหากไร้ซึ่งคุณสมบัติความเป็นชาย มีหลายคนในตระกูลที่พร้อมจะแทนที่เขาอยู่
“เจ้าคนสารเลว! ฆ่านางซะ!” บัดนี้ซ่งรุ่ยหวาดกลัวยิ่งนัก หากเขารู้ว่าคนพวกนี้จะน่ากลัวถึงเพียงนี้ เขาคงไม่ไปยั่วโมโหพวกเขาแน่
ไม่ว่าชายผู้นั้นจะหล่อเหลาเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบกับร่างกายของตัวเขาเองได้
หนิงเมิ่งเหยามองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มสบายๆ มุมปากของนางกระตุกขึ้นขณะมองซ่งรุ่ย “เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ หากรีบไปตอนนี้อาจจะยังรักษาทันก็ได้ หากสายเกินไป หลังจากนี้เจ้าสิ่งนั้นอาจจะต้องกลายเป็นแค่ของประดับเอานะ”
คนรอบข้างหายใจติดขัด พวกเขาอยากเอ่ยออกมาเสียเหลือเกินว่าแม้นางจะมีรูปร่างหน้าตาอ่อนหวาน แต่แท้จริงแล้วนางช่างน่าหวาดผวายิ่งนัก น่ากลัวเหลือเกิน
ในเวลานั้น ทุกคนต่างเบนสายตามายังร่างของเฉียวเทียนช่างด้วยความเห็นใจ
หลังถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น ริมฝีปากของเฉียวเทียนช่างก็กระตุก ภรรยาของเขาใจดีจะตายไป
“นางอสรพิษ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่! พวกเจ้ารู้แล้วทำไมยังไม่พาข้าไปหาหมออีก” เพื่อไม่ให้ร่างกายของตนมีปัญหา ซ่งรุ่ยกัดฟันมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาราวกับกำลังจ้องมองอสรพิษร้าย
ในเมื่อมีคนรอฆ่านางแทบไม่ไหว ริมฝีปากของหนิงเมิ่งเหยาจึงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย นางเอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนเจ้ายังอยากอยู่ที่นี่ต่อ เช่นนั้น ข้าจะช่วยเจ้าเอง” หลังกล่าวเช่นนั้นออกมา นางจึงเดินเข้าไปหาซ่งรุ่ย
แต่นางเดินยังไม่ทันถึงสองก้าวดี ผู้ติดตามของซ่งรุ่ยก็อุ้มเขาขึ้นและรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการหลบหนีนั้นทำให้หนิงเมิ่งเหยาต้องเดาะลิ้นถึงสองครั้ง
หนิงเมิ่งเหยาเดินกลับไปยืนข้างเฉียวเทียนช่าง นางกะพริบตา “เทียนช่าง ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า” มือของเฉียวเทียนช่างชะงัก เขามองหนิงเมิ่งเหยาด้วยรอยยิ้ม
ตราบใดที่ผู้เคราะห์รายคนนั้นไม่ใช่เขา ต่อหน้าคนอื่นนั้นนางจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ
หนิงเมิ่งเหยายิ้มอย่างพอใจก่อนจะกอดบุตรชายของตน นางเดินเคียงข้างเฉียวเทียนช่าง พาเด็กชายที่สลบไปหาหมอ
ชาวบ้านที่อยู่ห่างออกไปได้ยินบทสนทนาระหว่างคนท้ังสอง พวกเขาถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน โชคดีนักที่หญิงผู้นี้จะทำตัวโหดเหี้ยมแค่กับคนที่เข้าไปหาเรื่องนาง หากนางเป็นเช่นนั้นกับทุกคน คงจะน่ากลัวยิ่งนัก
เมื่อซ่งรุ่ยถูกพาตัวกลับมาถึงบ้านและคนในตระกูลเห็นเขาในสภาพนี้ มีทั้งคนที่รู้สึกเป็นห่วงและกังวล และยังมีทั้งคนที่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าเหล่าคนที่พออกพอใจกับเรื่องนี้นั้นล้วนแต่เป็นอนุภรรยาของประมุขตระกูลซ่ง ยิ่งอนุภรรยาที่มีบุตรชายด้วยยิ่งพอใจเป็นพิเศษ
หนึ่งในนั้นเป็นอนุภรรยาที่ได้รับความโปรดปรานมากกว่าคนอื่น เมื่อนางเห็นซ่งรุ่ยในสภาพนั้น นางถึงกับหัวเราะออกมา ในน้ำเสียงของนางมีร่องรอยความไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ “เจ็บหนักเสียขนาดนี้ ข้าไม่รู้ว่ามันจะดีขึ้นได้หรือไม่”
“หุบปาก” ประมุขตระกูลซ่งจ้องอนุภรรยาของตนด้วยสายตาตักเตือน
แม้อนุภรรยาผู้นี้จะไม่ได้กล่าวอะไรต่อ แต่ดวงตาของนางขณะที่มองซ่งรุ่ยทรมานนั้นเต็มไปด้วยความยินดี
ดวงตาของซ่งรุ่ยปกคลุมไปด้วยม่านหมอกอันพร่ามัว ใบหน้าของเขาซีดจนไร้สีจากความเจ็บปวด แต่สายตาที่เขาจับจ้องไปยังอนุภรรยาผู้นั้นกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“รีบไปตามหมอ” ประมุขตระกูลซ่งไม่มีเวลามาสนใจอนุภรรยา เขาออกคำสั่งกับหัวหน้าข้ารับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ ในทันที
หัวหน้าข้ารับใช้พยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งออกไป อนุภรรยาหลายนางที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างก็แสร้งทำเป็นห่วงเป็นใย แต่ภายในหัวใจของพวกนางล้วนเต็มไปด้วยความสุข เมื่อเป็นเช่นนี้ บุตรชายของพวกนางก็จะได้พลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ฮูหยินซ่งผู้เป็นมารดาของซ่งรุ่ยส่งสายตาอันเย็นเยียบใส่เหล่าอนุภรรยาเหล่านั้น คนชั้นต่ำพวกนี้คิดจะมาแข่งกับบุตรชายของนางหรือ
บทที่ 576 ออกจากเมืองยามค่ำคืน
“ท่านประมุข เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด พวกมันกล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายบุตรชายของเราในเมืองของเราเช่นนี้” ฮูหยินซ่งเอ่ยขณะมองประมุขตระกูลซ่งพลางขบฟันแน่น
ประมุขตระกูลซ่งเองก็ไม่คิดที่จะปล่อยเรื่องนี้ไปเช่นกัน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสองคนนั้นมาจากที่ไหน”
“ไม่ทราบขอรับ เป็นชายหญิงคู่หนึ่งอุ้มเด็กมาด้วยขอรับ” ซ่งรุ่ยข่มกลั้นความเจ็บปวดภายในร่างแล้วเอ่ยตอบ
ประมุขตระกูลซ่งเอ่ยเบาๆ ว่า”ข้าจะส่งคนไปจัดการเรื่องนี้ เจ้าพักผ่อนอยู่ที่จวนเสีย อย่าก่อเรื่องอีก ได้ยินไหม” ประมุขตระกูลซ่งมองบุตรชายของตน
บุตรชายผู้นี้ของเขาเอาการเอางานดีทีเดียว เพียงแต่เป็นคนมากด้วยตัณหาก็เท่านั้น หากไม่ใช่เพราะความมักมากในกามของตัวเอง วันนี้เขาคงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แน่
“ทราบแล้วขอรับท่านพ่อ แต่ข้าอยากทรมานสองคนนั้นด้วยมือข้าเอง” เขาอยากทำให้คนทั้งสองต้องนึกเสียใจที่มายั่วโมโหเขา เขาอยากจับลูกของทั้งสองมาฆ่าทิ้งแล้วโยนให้สุนัขกินต่อหน้ายิ่งนัก
เมื่อนึกถึงสีหน้าที่คนทั้งสองจะแสดงออกมา ดวงตาของซ่งรุ่ยก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ประมุขตระกูลซ่งพยักหน้า “อย่าห่วงเลย พ่อจะจัดการเรื่องนี้ให้ ฝากฮูหยินดูแลรุ่ยเอ๋อร์ด้วย”
“เจ้าค่ะ”
หลังประมุขตระกูลซ่งออกไป อนุภรรยาอีกสองสามนางจึงหาข้ออ้างที่จะกลับไปเช่นกัน
ในเวลานั้นประมุขตระกูลซ่งรีบส่งคนออกไปตามหาหนิงเมิ่งเหยากับเฉียวเทียนช่าง
ทั้งสองอุ้มเด็กชายที่ตนช่วยเอาไว้ไปหาหมอ เมื่อเห็นแผลลึกบนร่างของเด็กชาย หนิงเมิงเหยาก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
ไม่แปลกเลยที่ดวงตาของเขาจะเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เพราะเขาต้องทนทรมานกับการกระทำอันไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์เช่นนี้
นอกจากใบหน้าของเขาแล้ว ทั่วร่างของเด็กชายล้วนเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น โดยเฉพาะช่วงเอวและต้นขา รอยแผลเป็นจากการถูกลงแส้ตรงบริเวณนั้นลึกเป็นพิเศษเสียจนไม่คิดว่ามันจะมาอยู่บนร่างของเด็กได้
“เดรัจฉาน” หนิงเมิ่งเหยากัดฟันพูดขึ้นด้วยความโกรธ
เฉียวเทียนช่างพยักหน้าอย่างเงียบๆ จริงอย่างที่นางว่า คนผู้นั้นโหดร้ายราวกับสัตว์เดรัจฉานจริงๆ ไม่สิ เขาโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก
“ท่านหมอ บาดแผลของเด็กคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“บาดแผลที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่แผลตามเนื้อหนังเท่านั้น ใช้เวลาไม่นานก็รักษาหายได้แน่นอน แต่บาดแผลทางจิตใจของเขาคงจะไม่สามารถรักษาให้หายในเร็ววันได้” หมอชราถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอับจนหนทาง
ตอนที่เขาเห็นบาดแผลบนเนื้อตัวของเด็กชาย เขาเองก็รู้สึกโมโหยิ่งนัก อันที่จริงไม่ว่าใครที่มาเห็นร่างอันเต็มไปด้วยบาดแผลของเด็กผู้นี้เข้าก็คงต้องโมโหกันทั้งนั้น ดังนั้น ตอนแรกเขาจึงรู้สึกโกรธคนทั้งสองมากยิ่งนัก
แต่หลังจากรู้ว่าทั้งสองเป็นเพียงคนแปลกหน้า เขาก็รู้สึกเข้าหน้าไม่ติดขึ้นมา และบัดนี้เมื่อได้ฟังคำถามต่อมาของทั้งสอง น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งเต็มไปด้วยประหม่า
“พวกข้าทราบแล้ว” หนิงเมิ่งเหยานิ่วหน้า แม้ภายนอกจะได้รับการรักษาจนหายดีเป็นปลิดทิ้ง แต่บาดแผลในจิตใจไม่มีวันจางหาย
หนิงเมิ่งเหยาลูบกลุ่มผมของเด็กชาย นางขมวดคิ้ว เดิมทีทั้งสองตั้งใจจะเดินเที่ยวที่อื่นต่อ แต่พวกเขาเลือกที่จะหยุดการเดินทางของตนเอาไว้เสียก่อน
ทว่าคืนนั้นเมื่อพวกเขาพาเด็กชายเข้าไปพักในโรงเตี๊ยม ทางที่พักกลับคืนเงินให้พวกเขาและขอร้องให้พวกเขาออกไป
ทั้งสองรู้สึกสับสน “เหตุใดท่านจึงต้องการให้พวกข้าออกไปเล่า”
“คนที่พวกท่านทำร้ายวันนี้คือบุตรชายผู้เป็นทายาทของตระกูลซ่ง และยังเป็นน้องชายร่วมสายเลือดของพระชายาแห่งเหมียวเจียงด้วย” ด้วยชื่อเสียงเรียงนามเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าปล่อยให้คนทั้งสองพักอยู่ที่นี่ต่อได้
หนิงเมิ่งเหยาทำท่าคล้ายกับต้องการจะพูดอะไร แต่เฉียวเทียนช่างหยุดนางเอาไว้ก่อน “ในเมื่อพวกเขาไม่เต็มใจ เช่นนั้นเราก็ไม่อาจบังคับพวกเขาได้”
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาได้ยินเฉียวเทียนช่างเอ่ยเช่นนั้น นางก็ทำได้เพียงพยักหน้า
ทั้งสองออกจากโรงเตี๊ยม เฉียวเทียนช่างบังคับเกวียนมุ่งออกนอกเมือง เมื่อพวกเขาไปถึงประตูเมือง เขาบอกให้หนิงเมิ่งเหยาจัดการแต่งหน้าเด็กชายเสีย
หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงเข้าใจว่าเฉียวเทียนช่างหมายความว่าอย่างไร นางวางเฉียวโม่ซางลงข้างกาย แล้วหยิบเอาอุปกรณ์แต่งหน้าของตนออกมา ก่อนจัดการแต่งหน้าเด็กชายที่กำลังสลบอยู่ผู้นั้นเสียใหม่
หลังจากนั้นหนิงเมิ่งเหยาจึงแต่งหน้าให้ตนกับเฉียวเทียนช่าง หากไม่ใช่คนที่รู้จักพวกนางดี ก็คงไม่มีใครจำพวกนางได้แน่
หนิงเมิ่งเหยายืนอยู่ข้างประตูรถม้า มองดูเด็กท้ังสองที่กำลังหลับสนิทอยู่ข้างใน นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “เทียนช่าง เจ้าคิดว่าพวกเขาจะตามเราทันหรือไม่”