เล่มที่ 11 บทที่ 312 เล่นหลบหลีกอันตราย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลงอิงฮวาอยู่ในวัยกำลังซุกซน เรือนเล็กมีพื้นที่ไม่กว้าง ดังนั้นจึงไม่เพียงพอต่อการวิ่งเล่น

ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงข้อเสนอของหลินเมิ้งหยา

“แต่ข้าว่าเด็กวัยกำลังโตเช่นเจ้าคงทำไม่ได้หรอก ทำอย่างไรดีนะ แม้ยังไม่ได้เล่นข้ายังรู้สึกได้ว่าชัยชนะต้องเป็นของข้า”

เพื่อกระตุ้นให้เด็กน้อยจริงจังยิ่งขึ้น หลินเมิ้งหยาจึงแสร้งแสดงท่าทีวิตกกังวล

เด็กน้อยรีบสาบานด้วยเกียรติ แสดงท่าทีเสมือนผู้ใหญ่มิต่างอันใดจากหลินเมิ้งหยา เมื่อหลินเมิ้งหยาเห็นดังนั้น นางจึงรีบบอกกฎการแข่งขันทันที

“ดี นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จนกว่าข้าจะบอกว่าการแข่งขันเสร็จสิ้น เจ้าจะต้องห้ามพูดกับใครแม้แต่คนเดียว มิเช่นนั้นเจ้าจะเป็นผู้แพ้”

หลินเมิ้งหยาแสดงท่าทางยโสโอหังเพื่อยั่วยุเด็กน้อยตรงหน้า

เขากำหมัดแน่น เด็กน้อยแสดงท่าทางมุ่งมั่น

“ไม่มีปัญหา! ข้าจะไม่มีวันพูดกับแม่นมหรือหมู่เฟยเป็นอันขาด แต่ถ้าคนอื่นอยากจะพูดกับข้าเล่า? จะทำเช่นไร?”

เอียงคอ เด็กน้อยครุ่นคิดด้วยท่าทางจริงจังว่าการแข่งขันในคราวนี้อาจเกิดปัญหาอยู่สักหน่อย

“เช่นนั้นเจ้าจงร้องไห้ หรือไม่ก็ใช้สิ่งของรอบตัวโยนใส่หัวคนพวกนั้นก็ได้ แต่ถ้าหากเจ้าพูดกับพวกเขาเมื่อไหร่ เจ้าจะกลายเป็นผู้แพ้ อย่าคิดหนีเป็นอันขาด คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนที่ข้าหามาเพื่อเล่นกับเจ้า”

หลินเมิ้งหยาไม่อยากเล่าเรื่องสถานการณ์สุ่มเสี่ยงในวังหลวงให้เขาฟัง

แม้หลงอิงฮวาจะยังมีท่าทางร่าเริงแจ่มใส แต่ถึงกระนั้นนางก็มองความรู้สึกผ่านนัยน์ตาของเขาออกว่าเขายังคงรู้สึกหวาดผวา

โชคดีที่ช่วยเด็กคนนี้เอาไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นเขาคงหมดลมหายใจไปแล้ว

“ได้ คำไหนคำนั้น”

ทั้งมือใหญ่และมือเล็กต่างยกขึ้นสาบาน หลินเมิ้งหยามองดูสีหน้ายียวนของเด็กน้อยตรงหน้า ทว่านางกลับมิอาจอารมณ์ดีดั่งเขาได้

หวังว่าเด็กคนนี้จะไม่ตกอยู่ท่ามกลางแผนร้ายของใครอีก

ความหวาดผวามักทำให้เด็กๆ ร้องไห้งอแงตอนกลางคืน อีกทั้งอุปนิสัยใจคออาจเปลี่ยนไป

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงตามตัวแม่นมขององค์ชายสิบมาสอบถามก่อนจะได้รู้ว่าแต่ก่อนหลงอิงฮวาเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส ทว่าเมื่อคืนเขากลับตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วร้องไห้โวยวาย

แต่เพราะเมื่อคืนแม่นมทำตามคำสั่งของนาง โดยการตามพวกเจินจูและหมาหน่าวไปช่วย ดังนั้นเช้าวันต่อมาพวกนางจึงมีขอบตาดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าหนูน้อยจะต้องอาละวาดหนักอย่างแน่นอน

หากปล่อยให้องค์ชายสิบอาละวาดต่อไปก็ใช่เรื่อง หลินเมิ้งหยาจึงเสาะหากำยานกลิ่นหอมซึ่งไม่ส่งผลร้ายต่อร่างกายเด็กมาให้จุด

ทั้งที่มิได้ไปสำนักหมอหลวงเพียงสองวัน แต่หน้าประตูเรือนหลินเมิ้งหยากลับมีคนมาเชิญนางไปที่นั่นอยู่หลายครั้ง ทว่าคนในเรือนต่างได้รับคำสั่งจากป๋ายซูให้ไปตอบคนเหล่านั้นว่าพระชายาจำเป็นต้องดูแลองค์ชายสิบ ดังนั้นจึงมิอาจไปช่วยงานพวกเขาได้

ภายในเรือน ขณะที่หลินเมิ้งหยากำลังกล่อมหลงอิงฮวานอน สายตาจ้องมองใบหน้ายามหลับอันแสนน่ารักของเด็กน้อย หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าการเลี้ยงเด็กมีประโยชน์กว่าการนั่งฆ่าเวลาในสำนักหมอหลวงเป็นไหนๆ

“นายหญิง ปกติหมอหลวงพวกนั้นแทบไม่อยากให้ท่านไปเฉียดหน้าประตู เหตุใดช่วงนี้พวกเขาจึงเดินทางมาเชิญท่านด้วยตนเองกันเล่าเจ้าคะ?”

ป๋ายซูประหลาดใจนัก หลินเมิ้งหยาคลี่ผ้าห่มคลุมตัวเด็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้อง

“พวกเขามาเชิญข้า? เกรงว่าจะอยากให้ข้าช่วยไว้ชีวิตพวกเขาเสียมากกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นเพราะท่านอ๋องทั้งสิ้น”

ตลอดสองวันมานี้ การแข่งขันระหว่างหลินเมิ้งหยาและหลงอิงฮวาเป็นไปอย่างดุเดือด

หนูน้อยมิอาจทำอะไรได้มากนัก นอกจากวันแรกที่ยังเผลอทำผิดกติกาอยู่บ้าง วันต่อมาเขาก็ทำได้ดีขึ้น หากทำผิดจะถูกลงโทษ แต่หากทำดีก็จะได้รับรางวัล ก่อนนอนเด็กน้อยได้ลองลิ้มชิมรสลูกอมถั่วที่หมู่เฟยไม่เคยให้เขากินมาก่อน คาดว่าแม้แต่ตอนนี้เขาก็อาจจะกำลังละเลียดชิมลูกอมเหล่านั้นในความฝัน

“ท่านอ๋อง? ท่านอ๋องทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ? หรือว่าวันนั้น…”

หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง วันนั้นนางกระซิบข้างหูของหลงเทียนอวี้ว่า ดึงฟืนออกจากก้นหม้อ เห็นคนตกบ่อให้รีบปาหินใส่

เหตุที่พวกหมอหลวงยังคงหยิ่งผยองอยู่ได้นั่นก็เพราะแต่ละฝ่ายต้องการดึงพวกเขาเข้าไปเป็นพวก สุดท้ายแล้วพวกเขาต่างต้องการใช้พวกหมอหลวงกุมชะตาชีวิตของฮ่องเต้เอาไว้

แต่ว่า…แม้หมอที่เก่งกาจจะหายาก แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้

กระดาษที่นางเผามีใจความว่าเหตุเพราะการช่วยเหลือของกลุ่มสามสหาย ดังนั้นหลงเทียนอวี้จึงหาตัวหมอมากความสามารถเจอเป็นจำนวนมาก เมื่อผ่านการคัดสรรจากป๋ายหลี่รุ่ยแล้ว หมอเหล่านั้นล้วนมีความสามารถอย่างหาตัวจับยาก

มิรู้ว่าหลงเทียนอวี้เอ่ยกระตุ้นอะไรพวกเขา หมอเหล่านั้นล้วนอยากเข้าวังเพื่อมาถวายการรักษาพระอาการประชวรของฮ่องเต้

กอปรกับอาการของฮ่องเต้ทรุดลงเรื่อยๆ หลงเทียนอวี้จึงมีเหตุผลมากเพียงพอที่จะกล่าวโทษหมอหลวงเหล่านี้

ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาคาดว่าหลงเทียนอวี้จะต้องใช้ข้ออ้างจากการรักษาที่ไร้ประสิทธิภาพของพวกเขาเพื่อปรึกษากับเหล่าขุนนางในการเปลี่ยนหมอหลวงประจำสำนักหมอหลวงอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าพวกหมอที่ต้องการเข้ามาถวายการรักษาอาการของฮ่องเต้ล้วนมีสายสัมพันธ์กับหมอหลวงในปัจจุบันทั้งสิ้น

บ้างก็เป็นคนในวงศ์ตระกูลเดียวกัน บ้างก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง ยิ่งไปกว่านั้น หมอที่รักษาอยู่ด้านนอกล้วนมีชื่อเสียงโด่งดัง หมอหลวงในวังมิอาจเทียบได้

มิเช่นนั้นพวกหมอหลวงคงไม่เดือดเนื้อร้อนใจเสมือนถูกไฟลนก้นจนต้องรีบมาสานความสัมพันธ์อันดีกับนางเช่นนี้

เหตุเพราะพวกเขาล้วนรู้ดีว่าอ๋องอวี้ถูกพระชายาเป่าหูมาอีกทอดหนึ่ง

“ดูท่าว่าพวกหมอหลวงก็เริ่มร้อนใจกันแล้ว เช่นนั้นนายหญิงจะไปพบพวกเขาเมื่อใดหรือเจ้าคะ?”

ป๋ายซูหัวเราะก่อนจะส่งชาให้หลินเมิ้งหยา ความรู้สึกเลื่อมใสวาดผ่านนัยน์ตาของนาง

“ไม่รีบร้อน หากขาของมดที่อยู่บนกระทะร้อนมิรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด พวกมันก็จะไม่มีวันจดจำความรู้สึกเหล่านั้น”

พระสนมเสียนเฟยเป็นคนฉลาด นางส่งมอบสิ่งของล้ำค่าหรูหรามากมายเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี

นางหาใช่เจ้าแม่กวนอิมที่ช่วยเหลือผู้คนโดยไม่สนใจสิ่งตอบแทนเสียเมื่อไหร่

“จริงสิ เจ้าไปเยี่ยมอวี้กงกงกับข้าที่ฝ่ายในเถิด พวกเราไม่ต้องหนาวตายตั้งแต่คืนแรกที่เข้าวังก็เพราะความช่วยเหลือจากเขา”

หลินเมิ้งหยารู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ยิ่งเรื่องราววุ่นวายมากเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น

หมอหลวงพวกนั้นคงมิได้มาหานางเพียงคนเดียว แต่ไม่ว่าพวกเขาจะไปขอความช่วยเหลือจากใครก็ไร้คนที่ยื่นมือเข้าช่วย

เหตุเพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจ ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงสวมชุดสีเทา ปกเสื้อถูกห่อหุ้มไว้ด้วยขนแรคคูน ผ้าไหมที่ใช้ตัดชุดมิอาจประเมินราคาได้

ศีรษะประดับปิ่นปักผมลายดอกโบตั๋นหายาก สร้อยอิงรั่วเจียระไนจากทับทิม แม้แต่เหนียงเหนียงในวังหลังยังไม่มีของสวยงามเช่นนี้

นางมองออกว่าคนในวังหลวงล้วนเคารพเลื่อมใสผู้อื่นจากการแต่งกายก่อนเป็นอันดับแรก สถานที่ซึ่งนางกำลังจะไปคือฝ่ายใน ดังนั้นนางจะปล่อยให้ตัวเองตัวเปล่าเล่าเปลือยเข้าไปมิได้

คงจะอายน่าดูหากถูกขับไล่ตั้งแต่ยังไม่ก้าวข้ามธรณีประตู

หลินเมิ้งหยาคิดเอาไว้อย่างรอบคอบ นางนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มามอบให้กับอวี้กงกง ฝ่ายในเป็นสำนักที่ดูแลเหล่านางในและขันทีทั้งหมด แม้อวี้กงกงจะสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย แต่เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจะเสียมารยาทและทำให้เขาเกลียดไม่ได้

โชคดีที่พวกหมอหลวงมิได้เฝ้าเรือนเล็กของนางตลอดเวลา

นางอาศัยจังหวะที่ไม่มีใคร แอบออกจากเรือนไปพร้อมกับป๋ายซู

สำนักฝ่ายในอยู่ไม่ไกล แต่กลับสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก หลินเมิ้งหยากับป๋ายซูเดินราวครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง

สอบถามขันทีและนางในระหว่างทาง ก่อนจะรู้ว่าอวี้กงกงอยู่ที่เรือนด้านหลังสุด แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่นางเอ่ยถึงอวี้กงกง พวกนางในและขันทีล้วนหลบเลี่ยงราวกับหวาดกลัวอวี้กงกงเป็นอย่างมาก

หลินเมิ้งหยานึกสงสัย เขาหาได้ติดโรคระบาด เหตุใดจึงต้องกลัวเขามากขนาดนั้น

ทั้งสองเดินหากันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ได้พบกับเรือนที่อวี้กงกงพักอาศัย ทว่าพวกนางที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับจ้องมองภาพเบื้องหน้าเสมือนคนโง่

หญ้ารกรุงรัง ประตูพังแล้วกึ่งหนึ่ง ที่นี่ยังมีคนอาศัยอยู่อีกหรือ? นี่มิต่างอันใดจากบ้านผีสิงเลยแม้แต่น้อย

ผลักประตูเปิดเข้าไปเบาๆ เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังลั่นท่ามกลางความเงียบสงัด แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองก็อดที่จะรู้สึกกลัวขึ้นมาไม่ได้

จากประสบการณ์ที่เคยดูหนังผีมาก่อน หลังจากนางเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว ประตูที่อยู่เบื้องหลังจะต้องปิดดัง ปัง ใช่หรือไม่?

ป๋ายซูกลับมีความกล้ามากกว่านาง นางเดินนำหน้าผ่านประตูใหญ่เข้าไป

“ไม่ทราบว่าอวี้เฉียงกงกงอยู่หรือไม่? หนู่ปี้คือสาวใช้ประจำตัวของชายาอวี้ หนู่ปี้ได้รับคำสั่งจากชายาอวี้ให้มาเยี่ยมอวี้กงกง ไม่ทราบว่าท่านอยู่หรือไม่?”

เรือนแห่งนี้ว่างเปล่าผุพัง สภาพเหมือนใกล้จะถล่มลงมาเต็มที

ยิ่งมองหลินเมิ้งหยาก็ยิ่งรู้ว่าที่แห่งนี้ไม่น่าจะมีคนอยู่ แต่คนเหล่านั้นล้วนชี้มาทางนี้นี่นา

นางรู้สึกขนลุกขนพอง ก่อนจะยื่นเท้าก้าวผ่านประตูเข้ามา แม้ว่าหลังจากเข้ามาแล้วจะยังแนบลำตัวชิดติดกับประตูเพราะกลัวมันจะปิดกะทันหันก็ตาม

ไร้เสียงตอบรับ ป๋ายซูรวบรวมความกล้าเดินผ่านห้องโถงเข้าไปทางห้องนอน ก่อนจะผลักประตูเบาๆ

“อวี้กงกงอยู่หรือไม่? หนู่ปี้คือสาวใช้ประจำตัวของชายาอวี้เจ้าค่ะ”

เพียงป๋ายซูยื่นมือแตะประตู ร่างหนึ่งพลันเดินออกมาจากซากปรักหักพัง หลินเมิ้งหยาจ้องตาไม่กระพริบ คนคนนี้หากไม่ใช่อวี้กงกงแล้วจะเป็นใคร?

“แม่นาง ที่นั่นมีเพียงหนู หาได้มีคนอาศัยอยู่ไม่ เหตุใดชายาอวี้จึงเสด็จมาที่นี่เล่า ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว”

แตกต่างจากอวี้กงกงที่หลินเมิ้งหยาคิดภาพเอาไว้ ชายตรงหน้าสวมใส่ชุดกึ่งใหม่กึ่งเก่า จอบวางพาดบ่า เขาท่าทางไม่เหมือนกงกง แต่กลับเหมือนชาวนาเสียมากกว่า

“กงกงพูดอะไรกัน ข้าควรจะมาเยี่ยมกงกงนานแล้ว เพียงแต่ยังหาโอกาสมาไม่ได้เท่านั้น”