วังหลวงมิขาดแคลนคนมีความสามารถ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกดีและเลื่อมใสชายผู้ซึ่งไร้ท่าทางอ้อนแอ้นอย่างขันทีคนอื่นๆ ผู้นี้ยิ่งนัก
“พระชายาใจกว้างยิ่งนัก เรือนหลังนี้ผุพังซอมซ่อ เชิญพระชายาเสด็จตามข้าน้อยมาเถิด”
แม้หลินเมิ้งหยาความเคารพตนเอง ทว่าอวี้เฉียงกลับมิได้แสดงท่าทางลำพองใจ
มุมปากจุดยิ้มเล็กน้อยเหมือนต้อนรับแขกทั่วไป หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูรีบตามเขาไป ทั้งสามเดินผ่านซากปรักหักพัง
“ที่นี่คือ….”
หลินเมิ้งหยามองบรรยากาศด้านหลังเรือนเล็กด้วยความตกตะลึง
ดอกเหมยแดงสวยสดราวกับสีของเปลวไฟ ดอกเหมยขาวบริสุทธิ์ดุจดั่งหิมะ ดอกเหมยสีเหลืองนวลแซมอยู่ตรงกลางงดงามสบายตา ทั้งที่อยู่ในช่วงฤดูหนว แต่พวกมันกลับบานสะพรั่งอย่างงดงาม
“ข้าน้อยอายุมากแล้ว ร่างกายพลอยอ่อนแอตาม ดังนั้นจึงมิอาจถวายงานรับใช้เจ้านายในวังหลวงได้อีก แต่เพราะนายหญิงเหมิงมิคิดทอดทิ้ง ดังนั้นจึงให้ข้าน้อยดูแลต้นเหมยเหล่านี้ บางทีนี่อาจเป็นงานสุดท้ายที่ข้าน้อยจะได้รับใช้เจ้านายในวังแล้ว”
แม้น้ำเสียงของอวี้เฉียงจะฟังดูอ่อนน้อมถ่อมตน แต่หลินเมิ้งหยากลับสัมผัสได้ถึงร่องรอยของความรู้สึกสมเพชเวทนาตนเองของเขา
สายตาจับจ้องชายร่างซูบผอมตรงหน้า ท่าทางการเคลื่อนไหวของเขาหาได้เหมือนคนอ่อนแอแต่อย่างใด นางสัมผัสได้ว่ากงกงคนนี้จะต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“มิเป็นเช่นนั้นหรอก ต้นไม้ต้นหญ้าในวังหลวงล้วนบานสะพรั่งงดงาม ทั้งที่พวกมันมีโอกาสรอดในฤดูหนาวไม่มาก แต่เพราะกงกงใส่ใจดูแลเป็นอย่างดี ดังนั้นพวกมันจึงยังหยัดยืนอย่างงดงามให้ผู้คนได้เชยชม นี่เป็นครั้งที่สองที่ข้าได้เห็นต้นเหมยที่สวยงามขนาดนี้ เพียงแต่ต้นเหมยที่ได้เห็นคราวที่แล้วดูแข็งทื่อและหยาบกระด้าง ไม่น่าปลื้มอกปลื้มใจดั่งต้นเหมยของกงกง”
สิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงคือคน หาใช่ต้นเหมยไม่
ต้นเหมยของร้านเป่ยโหลวงดงามงดงามแต่กลับไร้เอกลักษณ์ ดังนั้นจึงเทียบกับต้นเหมยของอวี้กงกงที่ทั้งน่าภาคภูมิใจและแข็งแกร่งไม่ได้
“สายตาของพระชายาแหลมคมยิ่งนัก อยู่ที่นี่มิจำเป็นต้องกังวลว่าจะมีคนแอบฟัง ที่อื่นอาจไม่ใช่ แต่ที่ฝ่ายในแห่งนี้มิมีผู้ใดกล้าเข้ามายุ่งกับข้าน้อยอย่างแน่นอน”
คาดว่าตอนนี้อวี้เฉียงจะต้องรู้สึกดีกับหลินเมิ้งหยามากขึ้นแล้ว มิเช่นนั้นเขาคงไม่นำทางนางมาที่นี่
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจในตัวกงกงที่ภายนอกมีท่าทางธรรมดาคนนี้ยิ่งนัก
“อวี้กงกง ไม่สิ หากเรียกเช่นนั้นคงเป็นการดูแคลนท่าน ข้าควรเรียกท่านว่าผู้อาวุโสอวี้ ผู้น้อยเพียงแค่ต้องการขอบคุณท่านที่นำถ่านฟืนไปมอบให้ในวันนั้น ท่านอย่าได้คิดมากเลย เรื่องวุ่นวายในวังหลวงหาได้เกี่ยวข้องกับท่านไม่ ผู้น้อยจะพยายามระมัดระวัง มิทำให้ท่านต้องเผชิญปัญหาใดๆ”
เพียงได้เห็นท่าทางจริงใจของหลินเมิ้งหยา อวี้เฉียงพลันถอนหายใจยาว
สายตาที่จับจ้องต้นเหมยพลันปรากฏร่องรอยความโดดเดี่ยวเศร้าสร้อย
“ข้าน้อยมิกล้าเป็นผู้อาวุโสหรอก ข้าน้อยเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ในวังหลวงแห่งนี้เท่านั้น แต่เรื่องบางเรื่องพระชายาก็ไม่ควรเข้าไปข้องเกี่ยว ข้าน้อยได้ยินมาว่าองค์ชายสิบถูกส่งไปอยู่ที่เรือนของพระชายา พระชายาย่อมรู้ดีว่าต่อจากนี้ไปเส้นทางในวังหลวงของท่านคงยากที่จะเดินแล้ว”
คำพูดของอวี้เฉียงทำให้หลินเมิ้งหยาเหยียดยิ้ม
นางมั่นใจแล้วว่าหากคนคนนี้มิใช่คนของท่านอ๋อง เขาก็ต้องเป็นคนของท่านพ่ออย่างแน่นอน หากเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ เขาคงมิเอ่ยเตือนนางเช่นนั้น
“หลังจากข้าเข้าวังมาแล้ว ยังมีเรื่องใดที่ข้าสามารถถอนตัวได้อีกหรือ? แม้แต่ตอนที่ข้ายังอาศัยอยู่นอกวัง ข้าก็ต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องเหล่านี้ ทั้งอ๋องอวี้และสกุลหลินต่างไม่มีสถานะใดให้ข้าหลบหลีกจากอันตรายได้”
การต่อสู้กันขององค์ชาย ตอนแรกเป็นเพียงการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่ต่อไปจะกลายเป็นการแย่งชิงบัลลังก์
ตอนนี้สกุลหลินร่วมมือกับอ๋องอวี้ แม้ภายนอกจะดูเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง แต่อันที่จริงแล้วมิต่างอันใดจากน้ำมันที่ถูกตั้งอยู่บนเปลวเพลิง หากไม่ระวังก็อาจจะเดือดจนล้นออกจากกระทะได้
“เฮ้อ การต่อสู้แย่งชิง สุดท้ายก็มิอาจถอนตัวออกมาได้ พ่อของท่านพูดถูกแล้ว เพียงข้ามพ้นประตูวัง ความลึกนั้นมากเสียยิ่งกว่าท้องทะเล หากตอนนั้น…”
คำพูดต่อมาถูกกลบไว้ด้วยเสียงถอนหายใจของอวี้เฉียง
หลินเมิ้งหยาจับสังเกตจากคำพูดของเขาได้ ดูเหมือนผู้อาวุโสท่านนี้จะเป็นสหายเก่าแก่ของท่านพ่อ
เท่านี้ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่าเหตุใดเขาจึงช่วยเหลือนาง
“ช่างเถิด ในเมื่อข้ามิอาจโน้มน้าวท่านได้ เช่นนั้นข้าก็คงต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ท่านเข้าวังมาเพียงลำพัง ดังนั้นจะต้องรู้สึกไม่สะดวกสบายอย่างแน่นอน ต่อจากนี้ไปหากมีปัญหาอะไรก็มาหาข้าที่นี่เถิด หากข้าช่วยได้ ข้าจะช่วยอย่างสุดความสามารถ”
อวี้เฉียงมิได้พูดประโยคนี้เป็นครั้งแรก
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด หากนางปฏิเสธก็คงทำให้เขารู้สึกว่านางเห็นเขาเป็นคนอื่น
“นั่นย่อมดียิ่ง ข้ามีเรื่องวานให้ท่านผู้อาวุโสช่วยสักเล็กน้อย ข้าเข้าวังมาพร้อมกับสาวใช้เพียงคนเดียว ธุระของข้าล้วนเป็นนางไปจัดการ ข้ากังวลว่านางจะยุ่งจนเกินไป ฉะนั้นข้าจึงหวังว่าท่านจะช่วยข้าหาสาวใช้มากความสามารถให้ข้าสักคนหนึ่ง”
วิทยายุทธ์ของป๋ายซูคือไพ่ตายในการรักษาชีวิตของนาง ฉะนั้นป๋ายซูจึงไม่อาจอยู่ห่างจากนางไปได้
นอกจากเจินจูและหมาหน่าวที่คอยรับใช้อยู่ในเรือนแล้วก็ไม่มีใครช่วยงานด้านนอกอีก ฉะนั้นนางจึงจำเป็นต้องขอให้อวี้เฉียงคัดเลือกคนมาให้
อวี้เฉียงก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะตอบ
“ข้าน้อยจะจัดการเรื่องนี้เอง เพียงแต่วังหลวงมีหูตามากมาย พระชายาต้องระมัดระวังตัวเองให้ดี พระองค์ต้องป้องกันตัวเองจากการถูกสอดแนมของพวกหมาจนตรอก”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง แต่กลับลอบยิ้มในใจ
ผู้อาวุโสท่านนี้เก่งกาจยิ่งนัก เขากล้าเปรียบเปรยฮองเฮาและไท่จื่อเป็นหมา นางครุ่นคิด บางทีเขาอาจจะเกลียดชังคนเหล่านั้นมาก
สนทนากันอีกสองสามประโยค หลินเมิ้งหยามอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่อวี้เฉียง ก่อนจะเดินออกจากซากปรักหักพัง
มองดูสวนรกรุงรังด้านหน้าเรือน ใครจะคิดเล่าว่าทางด้านหลังมีสวนดอกเหมยอันงดงามซ่อนเอาไว้
วังหลวงแตกต่างจากบ้านของคนธรรมดาสามัญ ที่แห่งนี้มีคนมากความสามารถมากมาย ซ้ำยังจิตใจล้ำลึกจนมิอาจคาดเดา นางจะต้องระมัดระวังตัวให้มาก
เมื่อเดินกลับมาจากเรือนของอวี้เฉียง ความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
อย่างน้อยเส้นทางในวังหลวงของนางก็มิได้ลำบากมากมายนัก ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว
แม้ภายนอกอวี้เฉียงจะเป็นขันทีชราผู้น่าสงสาร แต่เพราะอำนาจที่เคยมี ดังนั้นพวกขันทีหรือนางในจึงมิกล้ากระทั่งเผยความรู้สึกเกลียดชังในดวงตา สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งของอวี้เฉียงในฝ่ายในค่อนข้างสูงพอสมควร
เมื่อกลับมายังเรือนเล็ก คิดไม่ถึงเลยว่าคนของสำนักหมอหลวงจะรีบเข้ามาต้อนรับ
ทันทีที่เห็นหลินเมิ้งหยา น้ำตาของพวกเขาเอ่อคลอเสมือนได้เห็นญาติสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานาน ก่อนจะรีบปรี่เข้ามาถวายคำนับ
“พระชายาหายไปไหนมาหรือพ่ะย่ะค่ะ? พวกข้าน้อยรออยู่นานแล้ว”
หลินเมิ้งหยาเคยได้ยินถ้อยคำประจบประแจงมามากมาย ดังนั้นเมื่อได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือของพวกเขาแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกอยากหัวร่อขึ้นมา
“นายหญิงของพวกข้าจำเป็นต้องรายงานหมอหลวงทุกท่านด้วยหรือว่าพระองค์ไปที่ใดมา? ดูเหมือนขอบเขตการดูแลของสำนักหมอหลวงจะกว้างขวางเสียเหลือเกิน นายหญิงของพวกเราเพียงแค่เข้าไปทำงานในสำนักหมอหลวงแต่เพียงเท่านั้น คาดว่าคงไม่จำเป็นต้องให้สำนักหมอหลวงเข้ามาก้าวก่ายหรอกกระมัง”
ป๋ายซูกล่าวเยาะเย้ยตามคำสั่งของหลินเมิ้งหยา
นางแสดงท่าทางเย็นชา กอปรกับทักษะการต่อสู้ที่เคยแสดงให้เห็น ใบหน้าของพวกหมอหลวงจึงซีดเผือด
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นอึดอัด หลินเมิ้งหยาจึงกระตุกยิ้มเล็กน้อย
“ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่งจึงมิได้ไปที่สำนักหมอหลวง หมอหลวงทุกท่านล้วนมีความสามารถและขยันหมั่นเพียร แม้ข้าจะไปที่นั่นก็ช่วยเหลืองานพวกท่านมิได้มากมายนัก ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่เข้าไปก่อความวุ่นวายจะดีกว่า เชิญทุกท่านกลับไปเถิด เหตุเพราะสำนักหมอหลวงมีงานให้ต้องทำมากมาย การที่พวกท่านออกมาที่นี่อาจทำให้งานในสำนักหมอหลวงต้องติดขัด”
คำปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิงหาใช่เพียงเหล่าหมอหลวงที่กล่าวได้สะดวกปาก
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้พวกหมอหลวงหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เหตุเพราะพวกเขาเป็นฝ่ายทำผิดก่อน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าหาใช่คนไร้บทบาทอันใดไม่
เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคของนางกลับทำให้สำนักหมอหลวงวุ่นวายเสมือนถูกพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้
“คือ….เกรงว่าท่านเจ้าสำนักหมอหลวงอาจจะไม่กล้ากราบทูลเรื่องนี้ ท่านเจ้าสำนักด่าว่าพวกกระหม่อมที่ละเลยต่อแขกคนสำคัญเช่นพระองค์ พระชายาเป็นคนใจกว้าง ได้โปรดอย่าถือสาหาความพวกข้าน้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาคิดจะใช้เจ้าสำนักมากดดันนาง?
แค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ แต่ถึงกระนั้นสีหน้ายังคงเรียบเฉย
หมอหลวงเหล่านี้ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย พวกเขาใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือเพื่อกระทำความผิดอย่างกำเริบเสิบสาน
“ข้าเองก็รู้ว่าท่านเจ้าสำนักเป็นผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมจนข้ามิอาจเปรียบเทียบกับเขาได้ ฉะนั้นในเมื่อสำนักหมอหลวงมีท่านเจ้าสำนักคอยดูแล ข้าที่เป็นเพียงสตรีก็หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ เชิญพวกท่านกลับไปเถิด ฝ่ายในหาใช่สถานที่ที่จะสามารถเข้านอกออกในได้นาน เชิญทุกท่านกลับไปก่อนเถิด”
หลินเมิ้งหยาออกปากไล่สองสามครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงมิกล้าพูดสิ่งใดอีก
ได้แต่เดินคอตกกลับไปยังสำนักหมอหลวง
เรือนเล็กกลับเข้าสู่สภาวะปกติ หลงอิงฮวานอนหลับสนิทเพราะกำยานหอมที่หลินเมิ้งหยาเป็นผู้ผสมด้วยตนเอง เด็กจำเป็นต้องพักผ่อนให้มากจึงจะเติบโตแข็งแรง ความรู้สึกหวาดผวาของเมื่อสองวันก่อนยังสร้างความทุกข์ระทมให้กับองค์ชายน้อยอยู่มาก
“นายหญิง เมื่อครู่ท่านปราดเปรื่องยิ่งนัก เอ่ยเพียงไม่กี่ประโยคแต่กลับทำให้พวกเขามิอาจคัดค้านได้ ทั้งที่เมื่อหลายวันก่อนพวกเรายังต้องแบกรับอารมณ์ของพวกเขาแท้ๆ แต่พอวันนี้กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ”
ป๋ายซูเป็นคนประเภทมีบุญคุณต้องทดแทนมีความแค้นต้องชำระ เมื่อถูกรังแก นางจึงคิดจะหาทางเอาคืน
แม้สาวใช้ทั้งสี่ของนางจะว่านอนสอนง่าย แต่หลินเมิ้งหยารู้ สาเหตุที่ไม่มีใครกล้าทำอะไรสาวใช้ที่เหลืออีกสามคนก็เพราะมีป๋ายซูคอยปกป้อง
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า แล้วถอนหายใจ
“เจ้าจะรู้อะไร หากเพียงใช้สายตามองอาจจะรู้สึกมีความสุข แต่อันที่จริงแล้วข้ากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากต่างหาก เจ้าลองตรองดูเถิด เหตุที่พวกเขากำลังเดือดเนื้อร้อนใจก็เพราะพวกเขาต้องเจอกับปัญหาเพราะข้า หากมิใช่เพราะเหตุนี้ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อข้าเช่นไร?”
หากมิใช่เพราะสถานการณ์กำลังคับขัน นางคงไม่เลือกใช้วิธีเช่นนี้
เรื่องแผนฆาตกรรมหลงอิงฮวามิต่างอันใดจากการที่นางโดนตีแสกหน้า องค์ชายสิบเพิ่งจะห้าขวบ ส่วนพระสนมเสียนเฟยเพิ่งจะได้รับความโปรดปรานเมื่อปีที่แล้ว
ลูกของสนมคนหนึ่ง นับตั้งแต่วันที่ได้ลืมตาดูโลกอาจมีโอกาสถูกปองร้ายได้ทุกเมื่อ