เล่ม 1 ตอนที่ 256 จะต่อยเจ้า ไม่จำเป็นต้องคิด

ราชินีพลิกสวรรค์

“เจียงเฮ่าขอท้าเฉียนจวิ้น เฉียนจวิ้นจะรับคำท้าหรือไม่!”

เวทีการประลองทางนั้น เสียงซักถามครั้งที่สองดังไปทั้งสถาบันไป๋หยวน รับรองว่าอยู่มุมใดในสถาบันก็ได้ยิน

ตามประเพณีแล้ว โดยทั่วไปการท้าสู้แบบนี้ ต้องพูดให้ผู้คนได้ยินสามครั้ง

หลังจากพูดสามครั้ง ผู้ที่ถูกท้าไม่ได้ตอบอะไร ก็แสดงว่าปฏิเสธคำท้า ก็เป็นธรรมดาที่ไม่ต้องขึ้นบนเวทีประลอง แต่ก็จะถูกคนทั้งสถาบันดูถูก เรื่องแพร่ออกไป เกรงว่าจะกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองอู๋เขิ่น

โดยเฉพาะคนอย่างเฉียนจวิ้นที่มีฐานะแบบนี้!

เสียงท้าสู้ครั้งที่สามดังขึ้นมาในอากาศ เจียงเฮ่าขอท้าเฉียนจวิ้น เฉียนจวิ้นจะรับคำท้าหรือไม่!

“ได้! เฉียนจวิ้นรับคำท้า หลังจากหมดเวลาหนึ่งก้านธูป ให้มาที่เวทีประลอง”

เสียงนั้นค่อยๆ หายไป

ตอนนี้ คนทั้งสถาบันไป๋หยวนก็รู้ว่าหลังจากธูปหมดดอก บนเวทีการประลองจะมีการต่อสู้ที่น่าสนุกเกิดขึ้น

พลังประเภทโจมตีท้าสู้กับพลังประเภทสนับสนุน?

ฮาๆๆๆ! นี่คือความเกลียดชังและความเคียดแค้น!

หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น แน่นอนว่าเจียงเฮ่าต้องแบกรับชื่อเสียงคนที่แข็งแกร่งรังแกคนที่อ่อนแอ แต่ว่าถ้าหากเฉียนจวิ้น องค์ชายคนนี้ไม่ไป ผลสุดท้ายคำวิภาควิจารณ์ก็จะตกอยู่ที่เขา ใครใช้ให้ฐานะของเขาเป็นที่น่าสนใจมากกว่าเจียงเฮ่าล่ะ

ห้องพักทางเหนือของสถาบัน ลู่เสวียนกลั้นยิ้มแล้ววิ่งไปที่ๆ เจียงหลีอยู่ พอเข้าห้องไปก็ตะโกนว่า “ซ้อเล็ก เฉียนจวิ้นนั่นเก็บอารมณ์ไม่อยู่ รับคำท้าจริงๆ ด้วย อีกครู่เจ้าจะไปดูองค์ชายน้อยคนนั้นโดนต่อยหรือไม่”

เจียงหลีส่ายหัว “ไม่ไป เป็นการต่อสู้ที่ไม่น่าเป็นห่วงเลยสักนิด มีอะไรให้น่าดู” ถ้าหากต้องการจะดูว่าเฉียนจวิ้นถูกรังแกอย่างไร นางได้ฆ่าเขาไปถึงสองครั้งในสถานที่การประเมิน ก็ได้เห็นพอแล้ว

“เพียงแต่” ลู่เสวียนขมวดคิ้ว พูดอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยว่า “หลิงซือประเภททักษะช่วยเหลือรับคำท้า ตามประเพณีสามารถเชิญหลิงซือประเภทโจมตีขึ้นเวทีได้คนหนึ่ง เพื่อมาช่วยต่อสู้ ด้วยฐานะของเฉียนจวิ้นแล้ว ต้องหาคนฝีมือดีมาอย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นแล้วอย่างไร บนเวทีประลอง ขั้นพลังของผู้ที่ถูกท้าไม่ควรสูงกว่าผู้ที่ท้าขั้นหนึ่งใหญ่ๆ เฉียนจวิ้นจะใช้เส้นสายได้อย่างไร ทำได้เพียงหาคนขั้นหลิงเจี้ยง แล้วก็สามารถหาได้แค่ลูกศิษย์ของสถาบันเรามาต่อสู้ ขอเพียงเป็นลูกศิษย์ของสถาบันที่มีพลังขั้นหลิงเจี้ยง ท่านพี่ก็ไม่มีทางพ่ายแพ้” ในน้ำเสียงของเจียงหลี มีความมั่นใจในตัวเจียงเฮ่าสูงมาก

หลังจากที่ลู่เสวียนได้ฟัง ก็พยักหน้าซ้ำๆ “มีเหตุผล! พี่เฮ่าต้องเอาชนะไอ้เลวนั้นได้อย่างแน่นอน ในเมื่อเจ้าไม่ไป เช่นนั้นข้าจะไป อีกครู่จะมาบอกข่าวดีให้เจ้าฟัง”

เจียงหลีเลิกคิ้วแล้วพยักหน้า ลู่เสวียนรีบออกไปอย่างกับลมอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากที่ในห้องเหลือเพียงตัวเองลำพัง เจียงหลีถึงค่อยๆ หุบยิ้มที่ริมฝีปากของตัวเอง แล้วความกลัดกลุ้มก็ค่อยๆ เผยขึ้นมาในดวงตาที่สดใสของนาง

ความตาย เป็นความทุกข์ยากหนึ่งของท่าน หลังจากผ่านมันไป ท่านถึงจะสามารถกลับคืนสู่ตัวตนที่แท้จริง? ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะเดินไปกับท่านจนสุดเส้นทางนี้อย่างแน่นอน! เจียงหลีตัดสินใจในใจอย่างเงียบๆ

ในตอนที่มู่ชิงเกอบอกเรื่องนี้กับนาง ในใจของนางก็ยอมรับความจำเป็นนี้ รอ? นางไม่กลัว! นางเชื่อในตัวเอง แล้วก็เชื่อในตัวลู่เจี้ย

นางกลัวแค่ว่าเขาจะไม่ยอมให้นางเดินข้ามผ่านไปกับเขา

ใช่แล้ว! ชิงเกอ! จู่ๆ เจียงหลีก็ได้สติกลับมา หลังจากที่มู่ชิงเกอจากไป คนข้างกายนาง อย่างเช่นลู่เสวียน เจียงเฮ่า เฟิงสิงอวิ๋น เหมือนว่าพวกเขาจะลืมยอดฝีมือคนนั้นที่อยู่เคียงข้างนางไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น ต้องเป็นเพราะว่ามู่ชิงเกอลบความทรงจำของพวกเขาอย่างแน่นอน

ไม่ต้องคิดอะไรมาก เจียงหลีก็เข้าใจทันที

ตอนนี้ บนเวทีประลองของสถาบันไป๋หยวน เวลาหนึ่งก้านธูปมาถึงแล้ว

บนเวทีประลองทรงกลมขนาดใหญ่ เจียงเฮ่าที่มีท่าทางทะนงองอาจ ใบหน้าที่หล่อเหลาแสดงความเคร่งขรึมออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ผู้คนกลัวจนตัวสั่น

ภายใต้รัศมีที่ปราศจากเจียงหลี ลูกศิษย์ของสถาบันที่มาล้อมดูก่อนถึงได้รู้ว่าเจียงเฮ่าคนนี้ก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง!

“ถึงเวลาแล้ว!”

เวทีประลองกลางอากาศ ได้มีที่นั่งชมการแข่งขันเล็กๆ ลอยขึ้นมา ผู้อาวุโสของสถาบันที่รับผิดชอบเวทีประลองยืนอยู่ด้านบน ดำเนินการการประลอง

ตอนนี้ ตรงหน้าเจียงเฮ่าได้มีคนเดินออกมาอย่างช้าๆ สามคน

คนที่อยู่ตรงกลางก็คือเฉียนจวิ้น ผู้ที่ถูกท้าประลองในวันนี้ และที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของเขาก็คือโจวยวน แล้วก็หลิงเจี้ยงคนหนึ่งที่ดูทะนงองอาจ

“คือศิษย์พี่จงนี่เอง!”

“ไม่คาดคิดว่าจะเชิญศิษย์พี่จงมา!”

“ศิษย์พี่จงเป็นหลิงเจี้ยงขั้นเจ็ด ตอนนี้เจียงเฮ่าน่าสงสารแล้ว ข้าจำได้ว่าในตอนที่เขาเพิ่งจะเข้าสถาบันของพวกเรา พลังแค่หลิงเจี้ยงขั้นสาม เพิ่งจะผ่านไปปีกว่าๆ มากสุดเขาก็เลื่อนได้แค่หนึ่งขั้นมั้ง”

ในสามคนนี้ มีแค่สองคนที่ขึ้นเวที หลังจากที่โจวยวนมาถึงข้างเวทีประลอง ก็ถอยไปยังที่นั่งผู้ชมที่ใกล้ที่สุด แล้วมองไปยังเจียงเฮ่าและลู่เสวียนที่ให้กำลังเขาอยู่ด้านหลังด้วยใบหน้านิ่ง

แต่ทว่า ครั้งนี้เหมือนว่าลู่เสวียนไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของเขา ยังคงให้กำลังใจเจียงเฮ่าอยู่ การเมินเฉยแบบนี้ ทำให้โจวยวนแววตาดุดันขึ้นมา เกิดความโมโหขึ้นในใจ

“ผู้อาวุโส ศิษย์พี่จงเป็นคนขึ้นประลอง ข้าสนับสนุนอยู่ข้างๆ ไม่ได้ผิดกฎใช่หรือไม่” ขึ้นเวทีประลองไปแล้ว เฉียนจวิ้นมองเจียงเฮ่าอย่างเหยียดหยาม แต่กลับพูดกับผู้อาวุโส

ผู้อาวุโสพยักหน้า “อืม ถ้าผู้ถูกท้าประลองเป็นหลิงซือประเภททักษะช่วยเหลือ สามารถเชิญหลิงซือประเภทโจมตีคนหนึ่งมาช่วยต่อสู้ได้ จงเย่ว์และเจียงเฮ่าล้วนเป็นหลิงเจี้ยง ไม่ถือว่าผิดกฎ”

“ดี!” เฉียนจวิ้นพูดเสียงดัง มองเจียงเฮ่าที่หน้าตาสงบนิ่งด้วยแววตาที่มืดมัว แสยะยิ้ม “อีกเดี๋ยว ข้าจะดูว่าเจ้าจะขอให้ข้ายกโทษให้อย่างไร!”

เจียงเฮ่าที่ไม่ตอบโต้ ทำให้แววตาของเฉียนจวิ้นยิ่งมืดมัวเข้าไปอีก จิตสังหารเกิดขึ้นในแววตา “จงเย่ว์ สั่งสอนมันให้ข้าที!”

“ฝ่าบาทวางใจได้” จงเย่ว์ที่ท่าทางทะนงองอาจมั่นใจ

“เริ่มได้!” ผู้อาวุโสบนเวทีประกาศ

สิ้นเสียงของเขา ร่างของเจียงเฮ่าก็หายไปจากบนเวทีประลอง

ตอนที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ผู้คนได้ยินเพียงเสียงที่คำรามด้วยความโกรธ ร่างของจงเย่ว์ลอยออกไปนอกเวทีประลอง

อะไรกัน!

เกิดอะไรขึ้น

 หลังจากที่ผู้คนที่อยู่บนอัฒจันทร์มองดูจงเย่ว์ที่อยู่บนเวทีประลองลอยออกไปอย่างปากอ้าตาค้าง ส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ทำไมเจียงเฮ่าถึงได้เร็วเช่นนั้น เร็วจนจงเย่ว์ไม่ทันได้ตอบโต้เลย!

แล้วก็ ความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณที่เจียงเฮ่าปล่อยออกมาเมื่อครู่ ทำไมถึงเหมือนเป็นของหลิงเจี้ยงขั้นหก

บ้าเอ้ย! ฝึกฝนอย่างไร!

“บ้าไปแล้วทั้งสองพี่น้อง!” ลู่เสวียนอุทานอย่างอิจฉาตาร้อน

เกรงว่ามีเพียงเจียงหลีคนเดียวที่รู้ว่าเจียงเฮ่ามีร่างกายที่พิเศษ ขั้นพลังทั้งหมดก่อนหน้าจะถึงขั้นหลิงหวง ล้วนแต่เลื่อนขั้นได้อย่างไม่มีอะไรมาขว้างได้ ความเร็วในการเลื่อนขั้นของเขาเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถเทียบได้

ถ้าไม่ใช่เพราะว่านางมีเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ เครื่องมือช่วยโกงและฝืนลิขิตฟ้านี้ นางก็คงจะถูกโยนไปข้างหลัง

ตู้ม!

ร่างของจงเย่ว์กระแทกลงบนพื้นด้านนอกเวทีประลอง ตามกฎแล้ว ถ้าออกจากเวทีประลองก็ถือว่าแพ้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ว่านี่มันก็ขายหน้าเป็นอย่างมาก ยืนขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่ไปดูเฉียนจวิ้นคนที่เชิญเขามาเลย เพียงแค่พูดกับเจียงเฮ่าว่า “เป็นกระบวนท่าที่ยิดเยี่ยม! วันนี้ข้าจะจำเอาไว้!” ในคำพูดนั้น เหมือนว่าเจียงเฮ่าใช้วิธีการที่ไม่ดีเอาชนะเขาอย่างไรอย่างนั้น

พูดจบ เขาก็หันตัวแล้วรีบเดินจากไป

เจียงเฮ่ากลับไม่สนใจ แต่มองไปยังเฉียนจวิ้นที่ยืนอยู่บนเวทีประลองด้วยสีหน้าดูไม่ได้และตะลึง

“เจ้า!” เฉียนจวิ้นถูกเจียงเฮ่าจ้อง ทันใดนั้นก็ขาอ่อนทั้งสองข้าง

แต่ทว่า เจียงเฮ่ากลับเผยรอยยิ้มที่ทำให้เขาไม่สบายตา แล้วเหวี่ยงหมัดไปที่หน้าของเขา

………………