บทที่ 284 กราบกรานขอร้องทั้งน้ำตา

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 284 กราบกรานขอร้องทั้งน้ำตา
บทที่ 284 กราบกรานขอร้องทั้งน้ำตา

“ท…ท่านประธาน ตอนนี้เราแย่แล้ว! จู่ ๆ เครือฮ่าวหรานก็ยกเลิกสัญญาการค้ากับเราทั้งหมด แถมบริษัทอื่น ๆ ที่เราทำการค้าด้วยก็ทยอยยกเลิกสัญญาที่ทำเอาไว้กับเราไปตาม ๆ กัน และยังไม่รวมถึงพวกผู้ถือหุ้นทั้งหลายต่างก็พากันเทขายหุ้นบริษัทของเราอย่างไร้เหตุผลจนราคาหุ้นบริษัทดำดิ่งอย่างรุนแรง หากเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราล้มละลายแน่! ท่านไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจไว้หรือเปล่าท่านประธาน!?”

ปลายสายเล่าถึงสถานการณ์ในตอนนี้ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกสุดขีด

แน่นอนว่าข่าวนี้ทำให้ชายวัยกลางคนถึงกับทรุดลงไปที่พื้น ก่อนที่จะมองหน้าอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาหวาดกลัว

“อ…อาเปียว แกพูดว่ายังไงนะพูดใหม่อีกทีสิ!”

ชายวัยกลางคนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเมื่อครู่ เขาจึงถามย้ำขึ้นอีกครั้ง โดยที่ยังมองอวี้ฮ่าวหรานราวกับเห็นผี

“บ…บริษัทของฉันกำลังจะล้มละลายงั้นเหรอ???”

ผู้ปกครองที่มุงดูเหตุการณ์อยู่รอบ ๆ เมื่อได้ยินบทสนทนานี้ พวกเขาต่างก็มองหน้ากันด้วยความสับสน

หลังจากผ่านไปอีกพักหนึ่งและได้รับคำยืนยันจากคนของตัวเองอีกครั้ง ชายวัยกลางตื่นตระหนกจนจับโทรศัพท์ไม่อยู่ เขาทำโทรศัพท์ร่วงลงไปที่พื้นก่อนที่จะเอ่ยถามอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าสิ้นหวัง

“นี่…นี่เป็นฝีมือของแกงั้นเหรอ?”

เสียงของเขาสั่นเทิ้ม เขาไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้สามารถล้มบริษัทของเขาได้จริง ๆ แถมยังทำมันได้ภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ!

นี่เขาไปล่วงเกินตัวตนแบบไหนเข้ากันแน่!?

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างเยาะเย้ยและตอบกลับ “ที่ทุกอย่างมันเร็วขนาดนี้เป็นเพราะบริษัทของแกมันกระจอกเมื่อเทียบกับบริษัทของฉัน!”

หากเทียบความใหญ่โตและอิทธิพลกันแล้ว บริษัทจิ่นหลานไม่ต่างอะไรกับเด็กประถมซึ่งเครือฮ่าวหรานสามารถบีบคอให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้

“น…นี่นายเป็นใครกันแน่??”

ตอนนี้น้ำเสียงของชายวัยกลางคนเริ่มอ่อนลงแล้ว เขาไม่หลงความอวดดีที่มีก่อนหน้านี้อีกต่อไป สีหน้าของเขาตอนนี้มีแค่ความหวาดกลัวและสิ้นหวัง

แค่การโทรออกครั้งเดียวสามารถบดขยี้บริษัทของเขาได้ภายในครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้โกหกเขาเพื่อขู่เล่น ๆ แต่คน ๆ นี้คือของจริงที่เขาไม่อาจต่อกรด้วยได้!

‘พลั่ก!’

เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายวัยกลางคนรีบคุกเข่าลงทันที จากนั้นเขารีบคลานเข่าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าอ้อนวอน

“ผ…ผมผิดไปแล้ว! ผมขอโทษ ๆ ได้โปรดเถอะ! ได้โปรดปล่อยบริษัทผมไป! ผมยอมเห่าเป็นหมาก็ได้ แต่ได้โปรดให้อภัยผมสักครั้งเถอะ!”

ชายวัยกลางคนคุกเข่าและกราบซ้ำแล้วซ้ำเล่าขอความเมตตาอย่างสุดฤทธิ์ ซึ่งภาพนี้มันทำให้ผู้คนที่ดูเหตุการณ์อยู่ต่างอ้าปากค้าง

พวกเขาสลับมองระหว่างชายวัยกลางคนและอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

ชายหนุ่มคนนี้…เป็นผู้มีอิทธิพลงั้นเหรอ?

เขาสามารถทำให้ประธานบริษัทจอมหยิ่งผยองคุกเข่ากราบได้ถึงขนาดนี้เลยเนี่ยนะ?

ในขณะเดียวกัน หลิวว่านฉิงซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่เช่นกันก็ตกตะลึงจนตาค้าง

เธอยังจำได้เลยว่าตอนที่ชายวัยกลางคนผู้นี้พาลูกมาสมัครเรียน ผู้บริหารของโรงเรียนถึงกับต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าชายวัยกลางคนผู้นี้มีอิทธิพลขนาดไหน

แต่ตอนนี้ชายวัยกลางคนคนเดียวกันกลับคุกเข่ากราบชายหนุ่มรุ่นราวคราวรุ่นน้องตัวเองอย่างไม่กลัวอายแบบนี้เนี่ยนะ?

มันคงเป็นความจริงใช่ไหมที่ชายหนุ่มซึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาถูก แท้จริงแล้วคือบุคคลที่มีอำนาจมากในเมือง?

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังตกตะลึง ชายวัยกลางคนก็ยังโขกหัวตัวเองที่พื้นไม่หยุด พยายามอ้อนวอนอวี้ฮ่าวหรานด้วยน้ำตาที่นองหน้า

“ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ! บริษัทของผมคือหยาดเหงื่อที่ผมลงแรงมาครึ่งชีวิต ได้โปรดอย่าทำผมเลย! ผมสัญญาว่านับจากนี้ผมจะไม่โผล่หน้ามาให้คุณเห็นอีกแน่นอน ผมขออย่างเดียว ได้โปรดปล่อยผมไป…”

ทางด้านของหญิงวัยกลางคน เมื่อเห็นการกระทำของสามีตัวเองเช่นนี้ เธอก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันเลวร้ายสุดขีดสำหรับพวกเขา

“ฉ…ฉัน…ผิดไปแล้ว…”

ท่ามกลางเสียงอ้อนวอนที่ดังระงม อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจอะไรกับครอบครัวนี้อีกต่อไป เขาอุ้มถวนถวนขึ้นมาบนอกและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

คนพวกนี้มีค่าไม่ต่างอะไรกับแมลง หลังจากบี้เสร็จแล้วทำไมต้องสนใจศพของพวกมันต่ออีก?

หลังจากเหตุการณ์นี้ เขาเชื่อว่าครอบครัวนี้ไม่กล้าโผล่หน้ามาเจอเขาอีกแน่นอน

หลังจากขึ้นรถ อวี้ฮ่าวหรานก็ปลอบลูกสาวของตัวเองอีกครั้ง

“ถวนถวน ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะลูก พ่อจัดการกับพวกคนเลวหมดแล้ว ลูกเห็นแล้วใช่ไหมว่าพวกคนเลวพวกนั้นกลัวพ่อจนยอมคุกเข่าเลย?”

“อื้ม! พ่อจ๋าเก่งที่สุด!”

เด็กน้อยปาดน้ำตาตัวเองก่อนที่จะชูมือขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่เล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตัวเองปรับอารมณ์ได้บ้างแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงขับรถกลับคอนโดทันที

อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับไปถึงห้อง ชายหนุ่มกลับพบว่าหลี่หรงยังไม่กลับมาซึ่งมันน่าแปลกนิดหน่อย…

กว่าหลี่หรงจะกลับมาก็อีกราวหนึ่งชั่วโมงให้หลัง หลังจากที่กลับเข้ามาถึงห้อง หลี่หรงวางถุงวัตถุดิบอาหารลงที่โต๊ะอาหารก่อนที่ตัวเธอจะเดินไปทิ้งตัวที่โซฟาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

“เฮ้อ…พี่เขย วันนี้ฉันเหนื่อยมาก ๆ เลย”

เธอนอนคว่ำบนโซฟา ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนอยู่สักพักราวกับว่าเธอหมดแรงจริง ๆ

“ฉันออกไปเที่ยวแค่ไม่กี่วัน พอกลับมาทุกอย่างในบริษัทก็เละเทะไปหมด ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยว่าพวกลูกน้องของฉันทำงานกันประสาอะไร…”

วันนี้ที่บริษัทของเธอยุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ยอมไปเที่ยวกับอวี้ฮ่าวหรานและถวนถวนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

“พี่เขย พี่กับถวนถวนรอฉันสักพักก็แล้วกัน ขอฉันพักให้หายเหนื่อยสักแป๊บ เดี๋ยวฉันไปทำอาหารให้กิน สองวันที่ผ่านมานี้ฉันเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดแน่ะ!”

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินประโยคนี้

“บริษัทของเธอมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ? ทำไมมันถึงยุ่งมากขึ้นหลังจากที่เรากลับมาจากเที่ยว?”

หลังจากที่กลับมาจากไปเที่ยว ถึงแม้ว่าเครือฮ่าวหรานจะเผชิญกับมรสุมโดนใส่ร้ายเรื่องภาษี แต่ตัวเขาก็ยังไม่ยุ่งเท่ากับหลี่หรง ทั้ง ๆ ที่บริษัทของเธอไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินคำถามนี้ของพี่เขยตัวเอง หลี่หรงกลับอารมณ์ขึ้นอย่างฉับพลัน

“พี่เขย! ไหนพี่บอกว่าหลังจากกลับมาจากไปเที่ยว พี่จะช่วยฉันเคลียร์งานในบริษัทของฉันให้ยังไงล่ะ? นี่กลับมาตั้งหลายวันแล้วฉันยังไม่เห็นพี่ไปช่วยฉันเลย!”

“อ…เอ่อ…จริงด้วย”

อวี้ฮ่าวหรานอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงเขาลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย

หลังจากนั้น อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ช่วงนี้เครือฮ่าวหรานไม่มีอะไรสำคัญให้เขาไปดูมากนักเพราะทุกอย่างสามารถดำเนินไปได้ด้วยกลไกในบริษัทอยู่แล้ว ดังนั้นจึงพยักหน้าตกลง

“ก็ได้ พรุ่งนี้พี่จะไปกับเธอที่บริษัท!”