ครั้นเอ่ยถึงยามนี้มุมปากของเยี่ยเม่ยยกยิ้มแกมประชดประชันขึ้นมา “ข้าเชื่อท่านได้หรือ อี้อ๋อง ทุกย่างก้าวล้วนเป็นหมากของท่าน ท่านผู้เป็นปราชญ์อันดับหนึ่ง ข้าจะเชื่อได้ใช่ไหม ข้ากล้าเชื่อท่านดีหรือเปล่า”
นางถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล้วนตอกย้ำว่านางรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตามต่อให้ไม่นับว่าถูกงูกัดหนึ่งครั้งกลัวเชือกไปสิบปี นางก็ไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตว่าเพราะความไว้วางใจเป่ยเฉินอี้ในปีนั้น สุดท้ายแลกมาด้วยค่าตอบแทนถึงแก่ชีวิต
คนอย่างเขา นางเชื่อใจอย่างผิดพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว นางยังจะกล้าเชื่ออีกหรือ
เป่ยเฉินอี้รับฟัง เอ่ยตอบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมเชื่อข้า และข้าก็รู้ว่ายากที่จะได้รับความเชื่อใจจากเจ้า แต่ว่าเยี่ยเม่ย ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้ฐานะข้าในใจของคนทั้งหมดในราชสำนัก ขอเพียงข้ายึดบัลลังก์สำเร็จจากนั้นค่อยฆ่าตัวตายเสีย ทั้งยังทิ้งคำสั่งสุดท้ายไว้ เช่นนั้นในฐานะพระชายาของข้า เจ้าก็กลายเป็นกษัตริย์ของเป่ยเฉินได้อย่างถูกทำนองคลองธรรม เจ้าคิดจะเปลี่ยนเป็นราชสำนักจงเจิ้งก็ไม่มีใครขวางเจ้าได้ ขอเพียงมีฐานะพระชายาของข้า ก็ช่วยให้เจ้ามีเหตุผลเพียงพอ”
สำหรับเป่ยเฉินอี้แล้ว การครองบัลลังก์หาใช่เรื่องยาก เพียงรอจนเขากำจัดพิษไปหมดสิ้น ฟื้นฟูวรยุทธ์กลับมา อย่างนั้นก็เป็นเรื่องง่ายประดุจพลิกฝ่ามือ
ตั้งแต่แรกข้าคิดฆ่าล้างคนของราชสำนักเป่ยเฉินอย่างป่าเถื่อน เหมือนกับที่ปีนั้นเสด็จพี่สั่งการให้สังหารคนของจงเจิ้งทั้งเมืองหลวง ให้เสด็จพี่เห็นเลือด รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดกับประชาชนตนที่หลั่งเลือด
ดังนั้นก้าวแรกที่เขาเลือกในการเดินออกมาสู่ภายนอกอีกครั้งจึงไม่ใช่ที่เมืองหลวง แต่ไปชายแดนเพื่อร่วมมือกับราชาต้ามั่ว
แต่เมื่อวันนี้อาซียังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เป่ยเฉินอี้กล่าวต่อ “รอเจ้ากลายเป็นจักรพรรดินีของเป่ยเฉิน เจ้าอยากให้ราชสำนักเป่ยเฉินล่มสลาย เจ้าคิดจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยาก จะเป็นอาซีก็ดี เยี่ยเม่ยก็ช่าง เจ้าน่าจะเข้าใจว่านี่คือทางลัดในการฟื้นฟูบ้านเมืองของเจ้า!”
เยี่ยเม่ยพลันเงียบไป เมื่อเขาเสนอออกมา
นางวิเคราะห์ได้ว่าเป่ยเฉินอี้พูดไม่ผิด สิ่งที่เขาพูดคือหนทางที่ง่ายที่สุด วันนี้ราชสำนักเป่ยเฉินยอมรับแม่ทัพหญิงท่านอ๋องหญิงได้ เช่นนั้นภายหน้าก็ต้องยอมรับนางเป็นจักรพรรดินีได้เช่นกัน
ส่วนเป่ยเฉินอี้ก็ได้ใจประชา มีโอกาสชิงบัลลังก์ได้สำเร็จมากที่สุด
ไม่ว่าอย่างไร ยามเมื่อเป่ยเฉินอี้ปรากฏตัวในท้องพระโรงวันนี้ไม่ว่าจะเป็นคนของฝั่งจงซาน หรือว่าฝั่งซือถูจ้าว ร้อยละแปดสิบเมื่อเห็นเขาแล้วตาวาวเป็นประกาย
เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายไม่เคยลืม นักปราชญ์อันดับหนึ่งของใต้หล้า อายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้นก็กระทำเรื่องที่ผู้นำของเป่ยเฉินหลายสมัยไม่อาจทำได้สำเร็จ สยบสามแคว้นที่มีความเข้มแข็งทัดเทียมกับราชสำนักเป่ยเฉินลงได้
ไม่ว่าเขาใช้วิธีการอย่างไร จะเป็นวิธีที่ไม่สง่าผ่าเผยนัก แต่ความจริงก็คือในใจของเหล่าขุนนาง ทันทีที่คนผู้นี้ได้เป็นฮ่องเต้ ภายหน้าไม่แน่ว่าโม่เป่ย หนานเจียง หรือจะเป็นแคว้นเล็กๆ ตามชายขอบอาจต้องสยบอยู่ใต้อาณัติของเป่ยเฉินทั้งสิ้น
ไม่แน่ว่ายังมีอีกหลายดินแดน แผ่นดินผืนใหญ่ที่อื่นอาจจะต้องสยบอยู่ใต้เท้าของเป่ยเฉิน
เขาคือคนที่เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างพากันเฝ้ารอการกลับมา หวังให้เป็นฮ่องเต้คนหนึ่ง เมื่อได้ใจคน เขาก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขามีสติปัญญา ทันทีที่ขจัดพิษได้หมดสิ้น ต่อให้เป็นเสินเซ่อเทียนก็ยากขัดขวางเขา
การร่วมมือกับคนเช่นนี้ ยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
เพียงแต่…
นางเชื่อเขาได้หรือไม่ อีกอย่างนางจะเกลี้ยกล่อมตัวเองให้แต่งกับศัตรูได้อย่างไร ต่อให้ทำเพื่อแก้แค้นก็ตาม
เห็นนางเงียบไม่พูดจา
เป่ยเฉินอี้เอ่ยเสียงขรึม “อาซี เจ้าไม่ต้องรีบร้อนตอบข้า เจ้ากลับไปไตร่ตรองดูให้ดีก่อน ยังมีเวลาอีกสามวัน! แต่เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้เจ้าไม่รับปาก ข้าก็ไม่มีทางเปิดโปงฐานะเจ้าต่อหน้าเสด็จพี่”
เยี่ยเม่ยมองเขา ตอบรับว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงไม่ต้องขอบคุณท่าน”
การที่เขาไม่เปิดโปงฐานะของนาง สำหรับเยี่ยเม่ยแล้วถือเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แต่ว่าไม่อาจแลกคำขอบคุณของนาง
สิ้นเสียง นางก็จากไป
เยี่ยเม่ยออกจากรถม้า
ชิงเกอมองนางที่กระโดดลงไป ก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไร
หลังจากเยี่ยเม่ยจากไป เป่ยเฉินอี้กลับไอขึ้นมาอย่างรุนแรง ชิงเกอเอ่ยอยู่นอกรถม้าว่า “ท่านอ๋อง ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ หลายวันนี้อารมณ์ของท่านไม่สงบเอาเสียเลย ต่อให้คิดจะล้างผิด อยากช่วยนาง แต่ก็ควรรักษาร่างกายก่อน”
เป่ยเฉินอี้ไม่ตอบ
ชิงเกอก็บังคับรถม้าตรงกลับจวนอี้อ๋อง
……
หลังจากเยี่ยเม่ยลงจากรถม้าก็พบจิ่วหุน
จิ่วหุนออกมาตามหานาง
เยี่ยเม่ยยิ้มมุมปาก ถามว่า “เจ้าตามข้ามาตลอดเลย หรือว่า…”
“เห็นเจ้ายังไม่กลับไป ก็เลยออกมาหา กลัวว่าเจ้าไม่รู้ทาง” น้ำเสียงของจิ่วหุนยังเล็กราวกับสัตว์ตัวน้อย ทว่าทำให้เยี่ยเม่ยสงบใจได้อย่างประหลาด
นางเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจไม่รู้ว่าจวนแม่ทัพของนางอยู่ตรงไหน หลังจากจิ่วหุนสอบถามทุกอย่างชัดเจน ก็ออกมาตามหานาง เกรงว่านางไม่รู้ทางกลับ
เยี่ยเม่ยเข้าใจความคิดเขา
นางคิดไม่ถึงว่า ความเมตตาเพียงชั่วขณะช่วยจิ่วหุนครั้งหนึ่ง กลับช่วยชีวิตน้องชายเช่นนี้คนหนึ่ง
ไม่ว่าตอนไหนเขาล้วนติดตามอยู่ข้างหลัง ทุกอย่างมีนางเป็นผู้นำ ทุกครั้งที่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา เขาก็ไม่เคยถามถึงเหตุผลมาก่อนลงมือทำ ทั้งยังปกป้องนางอย่างไร้เงื่อนไข
นางรู้สึกว่าชีวิตนางประสบโชคร้ายมามาก แต่ว่าก็พบโชคดีไม่น้อย อย่างเช่นจิ่วหุน…
เขาเป็นหนึ่งในโชคดีที่สุดของชีวิตนาง…
เยี่ยเม่ยเดินตรงไปด้านหน้า ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “กลับกันก่อนเถอะ!”
“อืม”
……
หลังจากกลับถึงจวนแม่ทัพ สิ่งแรกที่เยี่ยเม่ยทำคือให้จงรั่วปิงไปเชิญไป๋หลี่ซือซิวมา เขาเคยบอกแล้วว่า หากนางต้องการความเห็นของเขาก็ตามตัวมาได้
จงรั่วปิงไม่ถามมาก ก็กลับไปหาบิดาของตน
หลังจากนั้น ไป๋หลี่ซือซิวก็ใช้ฐานะคนส่งอาหาร เข้ามาจากทางประตูหลังจวน
หลังจากเขามาถึง เยี่ยเม่ยก็เชิญเขามาที่ห้องด้านข้าง
ซือหม่าหรุ่ยก็อยู่เช่นกัน
คนทั้งสามอยู่ในห้อง เยี่ยเม่ยเล่าคำพูดทั้งหมดของเป่ยเฉินอี้ที่วันนี้นางได้พบให้กับไป๋หลี่ซือซิวจนหมดสิ้น
ซือหม่าหรุ่ยรู้ว่าตัวเองเกลียดเป่ยเฉินอี้มาตลอด ทั้งยังกระทำตามอารมณ์ ดังนั้นยามนี้นางไม่รีบร้องส่งเสียง รอฟังความเห็นจาก ไป๋หลี่ซือซิว
หลังจากเยี่ยเม่ยเล่าจบ ก็มองไป๋หลี่ซือซิว ชิงถามขึ้นว่า “ท่านคิดว่าคำพูดของเขาเป็นจริงหรือว่าเท็จกัน”
ไป๋หลี่ซือซิวเงียบไปหลายวินาที จับจ้องมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากจากใจว่า “ข้าคิดว่าเป็นความจริง! เป็นความจริงทุกคำพูด!”
“เพราะอะไร” เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจ
ไป๋หลี่ซือซิวอธิบาย “เพราะว่าการกระทำทั้งหลายของเขาหลังจากที่คิดว่าท่านตายไปแล้ว ข้าดูไม่ออกมาตลอด จนกระทั่งสิ่งที่เขาพูดในวันนี้ ข้าถึงเข้าใจความสำคัญทั้งหลาย ทุกอย่างสมเหตุสมผล อีกอย่างข้าเองก็เป็นบุรุษ ย่อมเข้าใจบุรุษด้วยกัน!”