บทที่ 93 ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแส

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 93 ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแส
บทที่ 93 ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแส

หลังจากโคจรปราณแท้เข้าไปในคัมภีร์ครอบจักรวาล แผ่นหยกพลันเปล่งแสงขึ้นมาทันที จากนั้นก็มีตัวอักษรจำนวนมากผุดขึ้นมาจากคัมภีร์ครอบจักรวาล ตัวอักษรมากมายถูกเขียนแบ่งหมวดหมู่ประเภทออกไปมากกว่าหนึ่งร้อยชนิด ไม่ว่าจะเป็นโอสถบำบัดโรค ยันต์ค่ายกล สมบัติล้ำค่าหายาก ฯลฯ ในจำนวนนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่าที่มีอยู่มากที่สุดจะเป็นสมบัติวิเศษที่ถูกระบุไว้ในคัมภีร์ครอบจักรวาลนั้นมากกว่าครึ่งหนึ่งทีเดียว

คัมภีร์ครอบจักรวาลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ค่ายกลอักขระ ซึ่งได้จารึกอักขระภาพลวงเอาไว้ส่งผลให้ผู้ที่ใช้งานคัมภีร์ครอบจักรวาลนี้จะสามารถเห็นตัวอย่างรูปลักษณ์ของสิ่งที่ต้องการจะซื้อราวกับได้เห็น ‘ของจริง’ ต่อหน้าต่อตา

‘สมบัติวิเศษระดับมนุษย์ ระดับล้ำลึก ระดับปฐพี…มีสมบัติวิเศษระดับสวรรค์แท้จริงอีกด้วย!’ เฉินซีแทบสำลักลมหายใจตัวเองขณะตรวจสอบประเภทสมบัติที่มีขาย

ในหมวดหมู่ศัสตราวิเศษนั้นมีทั้งกระบี่ ทวน ดาบ ง้าว ขวานสั้น ขวานศึกยาว ตะขอ ตรีศูล… หรือแม้กระทั่งพวกของตกแต่งบ้านล้ำค่าเช่นกระถางหยก เครื่องเคลือบ ตะเกียงไฟ และอื่น ๆ อีกมากมาย ครอบคลุมทุกสิ่งเรียกว่ามีทุกอย่างในจักรวาลก็ว่าได้

“เฉินซี ถ้าเจ้าเอาแต่พลิกดูไปมาเช่นนี้ อีกสามวันสามคืนก็คงดูไม่จบ” ต้วนมู่เจ๋อเตือนสติมาจากข้างตัว “คัมภีร์ครอบจักรวาลชื่อก็บอกแล้วว่าครอบคลุมทุกอย่างที่มีในจักรวาล แม้แต่สมบัติวิเศษที่เกี่ยวกับตัวเลขทางดาราศาสตร์ก็มีรวมไว้ในนี้!’

ฟู่ว…

เฉินซีผ่อนลมหายใจแผ่วเบาให้สมองปลอดโปร่ง ก่อนละทิ้งความคิดวุ่นวายที่มารบกวนสมาธิออกไปจากหัว จากนั้นจึงพลิกไปที่หน้าของประเภทค่ายกลกระบี่ทันทีก่อนจะเริ่มพลิกดูทีละหน้า

สุดท้ายแล้วแม้ว่าในคัมภีร์ครอบจักรวาลนี้จะมีรายชื่อของสมบัติวิเศษมากมาย แต่กลับพบว่าส่วนใหญ่จะไม่เหมาะกับเขา เฉินซีจึงตั้งใจค้นหาสมบัติวิเศษที่ตนเองต้องการจริง ๆ เพื่อใช้เสริมความแข็งแกร่งของตัวเองให้เหมาะสม

‘ค่ายกลกระจายแสงกระบี่อัคคีครามนี้รุนแรงนัก ใช้กระบี่บินอัคคีครามถึงสามสิบเก้าเล่มเพื่อตั้งเป็นค่ายกลใหญ่ ถึงจะสำแดงอำนาจได้อย่างสมบูณ์ พลังของมันไม่ด้อยไปกว่าการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ทว่าน่าเสียดายที่ไม่เหมาะกับข้า’

ชายหนุ่มถอนใจเฮือกอย่างเสียดาย พลางส่ายหน้าเล็กน้อย กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดล้วนมีคุณสมบัติเย็นเยือก อีกทั้งเคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์ที่เขาฝึกฝนก็เป็นทักษะบ่มเพาะที่มีคุณสมบัติเย็นเยือกเช่นกัน น้ำกับไฟ เย็นกับร้อนไม่อาจรวมกัน ฉะนั้นไม่ว่าค่ายกลกระจายแสงกระบี่อัคคีครามจะน่าเกรงขามเพียงใดก็ไม่เหมาะสำหรับเขา

‘ค่ายกลกระบี่เก้าหยินนี้ก็ลึกล้ำใช่เล่น แต่ด้อยอำนาจสังหารไปหน่อย จึงสามารถใช้เพื่อวางกับดักศัตรูได้อย่างเดียวเท่านั้น’

‘ค่ายกลกระบี่ขบถสวรรค์อย่างนั้นหรือ? ต้องใช้คนสังเวยชีวิตในการขัดเกลาอย่างไม่จบไม่สิ้นเพื่อจะได้ดูดซับปราณวิญญาณอาฆาต เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่วิธีการที่เป็นธรรม ดังนั้นต่อให้แข็งแกร่งกว่าเดิม แต่ต้องแลกกับการสร้างบาป ข้าก็ไม่อยากได้!’

‘ค่ายกลกระบี่ทะเลหยกซัดโถม? ค่ายกลกระบี่หนึ่งเดียวที่สามารถควบคุมกระบี่บินได้ถึง 108 เล่ม สำแดงอำนาจประหนึ่งคลื่นถาโถม ทุกชั้นของกระแสพลังจะแกร่งกล้ากว่ากระแสก่อนหน้า ถ้าข้าเป็นคนที่บ่มเพาะเต๋าแห่งสายน้ำคล้ายราชาอีกาทมิฬ ข้าคงยอมจ่ายเพื่อซื้อมันแน่!’

ผ่านไปทีละหน้า ๆ เฉินซีค่อยพลิกแผนภาพขึ้นมาพิจารณาค่ายกลกระบี่

แม้ว่าบางอย่างไม่ได้เป็นความเชี่ยวชาญของเฉินซี หากเมื่อพิจารณาดูเขาก็ยังรู้สึกอยากได้ไปหมด แต่มีค่ายกลกระบี่เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างแท้จริง

ฟึ่บ!

คัมภีร์ครอบจักรวาลกางออกอีกครั้ง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เล่อฉีซึ่งอยู่ไม่ไกลก็อดปากไม่ได้จึงเอ่ยทำนองเตือนความจำให้อีกฝ่าย “สหายเต๋าขั้นบ่มเพาะของเจ้ายังอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลไม่ใช่หรือ? จากนี้ต่อไปมันจะเป็นคัมภีร์ของค่ายกลกระบี่ระดับล้ำลึกแล้ว ซึ่งเป็นทางเลือกของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่สามารถฝึกฝนใช้งานได้”

โดยทั่วไปสมบัติวิเศษและเคล็ดวิชาแต่ละระดับการใช้งานหรือฝึกได้จะต้องมีคุณสมบัติที่ตรงตามกำหนดด้วย สมบัติวิเศษระดับล้ำลึกจำเป็นต้องเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำจึงจะสามารถใช้มันได้หรือสมบัติวิเศษระดับปฐพีจะต้องเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำตามลำดับ

อย่างไรก็ตามสำหรับเฉินซีเป็นข้อยกเว้น

ด้วยดวงวิญญาณของเขาบรรลุไปถึงระดับญาณจิตแล้ว ทั้งยังเหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำอื่นทั่วไป รวมไปถึงเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ที่ชายหนุ่มได้ฝึกฝนมานั้นได้ส่งผลให้ปราณแท้ของเขาทั้งหนาแน่นและบริสุทธิ์ชนิดที่ไม่มีผู้ใดเปรียบ แม้ว่าตอนนี้ขั้นบ่มเพาะของเขาจะอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลห้าดาราก็ตาม แต่ปราณแท้ของเขานั้นหนาแน่นกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบด้วยซ้ำ

เฉินซีในปัจจุบันนี้สามารถใช้ค่ายกลกระบี่ระดับล้ำลึกได้อย่างไม่ยากเย็นแน่นอน

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

เฉินซีไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเล่อฉีและพลิกดูค่ายกลกระบี่ไปเรื่อย ๆ ต่อไป

เมื่อเห็นเช่นนี้เล่อฉีจึงไม่ได้ชี้แนะอะไรอีก อย่างไรเสียผู้ที่จ่ายเงินคือเฉินซี ถ้าชายหนุ่มต้องการสมบัติวิเศษชั้นสวรรค์ขึ้นมาจริง ๆ ตนเองก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ใช่หรือไม่?

‘ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแส! ขั้นแรกคือความสามารถในการควบคุมกระบี่บินจำนวนแปดเล่ม สามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างไม่ยากเย็น ขั้นที่สองสามารถแปรเปลี่ยนกระบี่บินทั้งแปดเป็นค่ายกลกระบี่ย่อย และสามารถรวมแปดค่ายกลกระบี่ย่อยเป็นค่ายกลมหากระบี่! ค่ายกลมหากระบี่ควบคุมกระบี่บินได้ถึงหกสิบสี่เล่ม! หรือหากบรรลุแก่แท้ของค่ายกลกระบี่โดยสมบูรณ์อาจจะควบคุมกระบี่บินได้มากกว่า!’

‘หืม? ไยจึงไม่มีบอกไว้ว่าขั้นสูงสุดที่ควบคุมได้เป็นกระบี่กี่เล่ม?’ เฉินซีชะงักงัน และในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งเหลือบเห็นข้อความสีแดงตรงมุมซึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่า ‘ไม่สมบูรณ์’ เขาจึงถอนใจด้วยความรู้สึกเสียดาย ค่ายกลกระบี่ที่น่าพรั่นพรึงเช่นนี้ถ้าสมบูรณ์เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกจัดเข้ากลุ่มค่ายกลกระบี่ระดับล้ำลึกเท่านั้น…

“อาจารย์เล่อ ข้าต้องใช้วารีวิญญาณเท่าไรเพื่อซื้อค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสนี้?” เฉินซีถามคนตรงหน้า

“สองแสนชั่ง” ตอบออกไปแล้ว เล่อฉีก็นึกหวั่นใจไม่น้อยว่าเฉินซีจะตีความไปอีกอย่างจึงอธิบายว่า “ถึงแม้ตอนนี้ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสจะไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ด้วยพลังที่มากมหาศาลของค่ายกลนี้ทำให้เป็นหนึ่งในค่ายกลกระบี่ระดับล้ำลึกที่น่าเกรงขามที่สุด หากมิใช่เพราะยังไม่สมบูรณ์แล้วมูลค่าของมันจะสูงกว่านี้มาก”

‘สองหมื่นชั่งเชียวหรือนี่!’

แม้พวกของตู้ชิงซีจะแสดงออกถึงความสุขุมเยือกเย็นเพียงใด เมื่อได้ยินมูลค่าทั้งหมดจากปากอีกฝ่ายเข้าเท่านั้น พวกเขาก็ถึงกับนิ่งอึ้งพูดไม่ออก จากนั้นทุกคนก็ขยับเข้าไปพิจารณาดูใกล้ ๆ

“ค่ายกลกระบี่ชนิดนี้มีพลังน่าเกรงขามจริง ๆ แม้จะเป็นค่ายกลที่ไม่เสร็จสมบูรณ์แต่ก็ยังสามารถบรรลุขั้นค่ายกลกระบี่ระดับล้ำลึกได้ แต่มันต้องการปราณแท้และความแข็งแกร่งทางดวงวิญญาณขั้นดุเดือดนัก เฉินซี…ถึงเจ้าจะบรรลุขั้นตำหนักอินทนิลแล้วในเวลานี้ แต่ออกจะไม่ฉลาดนักถ้าจะซื้อมัน…” ตู้ชิงซีออกความเห็นด้วยเช่นกัน “ไม่ว่าค่ายกลกระบี่นี้จะเลิศล้ำเพียงใด หากซื้อไปแล้วแต่ใช้ไม่ได้ มันก็จะเป็นได้แค่ขยะอยู่ดี ข้าขอแนะนำให้เลือกค่ายกลอื่นชนิดที่เหมาะกับเจ้าจะดีกว่า เพราะเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะสามารถใช้พลังทั้งหมดที่มีได้อย่างเต็มที่”

“ใช่ อย่าฝืนตัวเองเลยจะดีกว่า” ต้วนมู่เจ๋อเองก็เห็นด้วย

“เฉินซี คิดใหม่ก็ดีนะ!” กระทั่งซ่งหลินที่มักหลับตาอยู่เป็นนิจยังงัวเงีย ๆ พูดออกมา

“พวกเจ้าอย่าห่วงเลย ข้ารู้ดีว่ากำลังทำอะไร” ชายหนุ่มอมยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วหันไปพูดกับเล่อฉีทันที “ตกลง ข้าขอซื้อค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสนี้ล่ะ!”

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งเคล็ดค่ายกลกระบี่นี้ให้ภายหลัง ไม่แน่ใจว่าสหายเต๋ายังต้องการอย่างอื่นอีกหรือไม่” เล่อฉีตอบหน้าเฉยก็จริง ทว่าเขาแอบถอนหายใจอยู่ข้างใน ‘สหายหนุ่มคนนี้เพิ่งจะได้รับวารีวิญญาณมาเพียง 1.5 ล้านชั่งเท่านั้นและตอนนี้เริ่มใช้จ่ายฟุ่มเฟือยโดยปราศจากการยับยั้งชั่งใจ อนิจจา ไยคนหนุ่มรุ่นใหม่จึงไม่เอาไหนเช่นนี้…’

“กระบี่บิน 56 เล่มข้าขอเป็นระดับมนุษย์ชั้นยอดทั้งหมด” เฉินซีหยุดคิดทบทวนเล็กน้อยก่อนเอ่ยออกไป เขามีกระบี่บินระดับมนุษย์ชั้นยอดอย่างกระบี่ท่องปรภพอยู่แล้วแปดเล่ม ดังนั้นหากต้องฝึกขั้นที่สองของค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสจึงเป็นธรรมดาที่จะต้องมีกระบี่บินอีก 56 เล่ม อย่างไรก็ตาม ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสเป็นค่ายกลกระบี่ระดับล้ำลึก ชายหนุ่มหวั่นใจว่าการควบคุมใช้งานอาจไม่ราบรื่นนัก ซึ่งดีที่สุดคือขั้นที่สอง เขาจึงเลือกซื้อกระบี่บินที่ระดับทัดเทียมกันทั้งหมดไปเลย

เมื่อถึงตอนนี้ เฉินซีก็หวนคิดถึงเฉินฮ่าวน้องชายของเขา ‘เฉินฮ่าวได้เข้าไปอยู่กับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมานานกว่าปีหนึ่ง ด้วยสติปัญญาที่มีเขาน่าจะก้าวสู่ขั้นตำหนักอินทนิลแล้ว เวลานี้ก็คงใจจดใจจ่ออยู่กับการฝึกฝนกระบี่และไม่ค่อยมีเงินมีทอง อาจจะไม่มีกระบี่บินคุณภาพดีใช้งาน ข้าควรใช้โอกาสนี้หาของขวัญเตรียมไว้ให้น้องชายด้วย’

จากนั้นเฉินซีก็พูดขึ้นอีกว่า “นอกจากนี้ข้าขอซื้อกระบี่บินระดับมนุษย์ชั้นยอดอีก 64 เล่มด้วย”

ขวับ!

แม้เล่อฉีจะรู้อยู่แล้วว่าเฉินซีเป็นเพียงเด็กหนุ่มมือเติบที่ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายยามมั่งมี ทว่าทันทีที่ได้ยินประโยคหลัง เขาก็ระงับอาการตกตะลึงเอาไว้ไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างตะกุกตะกักไปว่า “สหายน้อยเฉินซี กระบี่บินระดับมนุษย์ชั้นยอดเล่มหนึ่งมีค่าเท่ากับวารีวิญญาณห้าพันชั่ง ดังนั้นจำนวนกระบี่บินที่เจ้าต้องการจึงมีมูลค่าเท่ากับวารีวิญญาณหกแสนชั่ง!”

ขณะเดียวกันความตื่นเต้นพุ่งเข้าจับหัวใจคนพูดอย่างยากจะอธิบาย วารีวิญญาณหกแสนชั่งบวกกับวารีวิญญาณสองแสนชั่งที่เกิดจากการซื้อค่ายกลกระบี่ก่อนหน้า ในเวลาอันสั้น สหายหนุ่มคนนี้ก็ใช้วารีวิญญาณไปแล้วแปดแสนชั่งทีเดียว!

ลูกค้ารายใหญ่!

‘พิจารณาจากนิสัยใจคอและวิธีจัดการเงินทองของเจ้าหนุ่มคนนี้ ต้องกลายมาเป็นหนึ่งในจำนวนลูกค้ารายใหญ่อย่างแน่นอน!’

‘โอ ข้าจะได้ส่วนแบ่งงานนี้สักเท่าไรนะ’

ยามนี้สมองของเล่อฉีเริ่มคำนวณตัวเลขอย่างรวดเร็ว ความปีติแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนใบหน้าเผยรอยยิ้มซื่อบื้อออกมาอย่างไม่สามารถระงับไว้ได้

คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อย่างตู้ชิงซีต่างพากันตกใจไปกับการกระทำของเฉินซีด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีใครซักถามเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มมีสีหน้าราบเรียบไม่มีทีท่าร้อนรนสียดายแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นบรรดาศิษย์สายตรงจากตระกูลใหญ่เหล่านี้ก็ยังอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่เห็นเฉินซีใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเช่นนี้

ถ้าจะบอกว่าการที่เฉินซีใช้จ่ายไปแปดแสนชั่งรวดเดียวภายในระยะเวลาสั้น ๆ โดยไม่รู้สึกอะไรเลย เขาก็คงโกหกอย่างแน่นอน ถึงกระนั้นเมื่อคิดว่าพลังความแกร่งกล้าของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นอันมากและเมื่อคิดถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขของเฉินฮ่าวเวลาที่ได้รับกระบี่บินทั้ง 64 เล่มซึ่งตนนำไปให้ เฉินซีก็รู้สึกว่าทั้งหมดที่ทำไปนั้นคุ้มค่าแล้ว

เนื่องจากชายหนุ่มครอบครองตราคำสั่งขุมทรัพย์สวรรค์สีทองคำม่วง เล่อฉีจึงมอบส่วนลดให้แก่เฉินซีเป็นวารีวิญญาณจำนวนห้าแสนชั่ง เมื่อออกจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ ไม่เพียงแต่ในแหวนมิติของชายหนุ่มจะมีเคล็ดค่ายกลกระบี่เพิ่มเข้ามาเท่านั้น ยังมีกระบี่บินระดับมนุษย์ชั้นยอดอีกร้อยยี่สิบเล่ม วารีวิญญาณเจ็ดแสนห้าหมื่นชั่งที่ได้จากการขายวัตถุดิบวิญญาณต่าง ๆ และหลังจากหักการซื้อเคล็ดค่ายกลกระบี่และกระบี่บิน

แรกทีเดียวเฉินซีตั้งใจจะซื้อสมบัติวิเศษให้กับพวกตู้ชิงซีและคนอื่นด้วย แต่พบว่าทั้งสามคนปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ตามที่ต้วนมู่เจ๋อบอกกับเขา “เจ้าควรเก็บวารีวิญญาณนี้ไว้ใช้บ่มเพาะพลังของตัวเอง เราสามคนไม่ได้ขาดเหลืออะไร!”

ยามค่ำคืนมาเยือนแล้ว แต่ภายในเมืองทะเลหมอกก็ยังสว่างไสว ราวกับเมืองที่ไม่เคยหลับใหลอยู่ใต้นภาราตรี

นิกายที่อยู่เบื้องหลังตู้ชิงซีและพวกล้วนมีสาขาอยู่ในเมืองทะเลหมอกซึ่งใช้เป็นสถานที่ทำการประมูลซื้อขายสินค้า สถานที่ใหญ่โตโอ่อ่า และยังมีคนคุ้มกันเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำอยู่หลายคน

หลังจากที่พากันออกจากหอขุมทรัพย์สวรรค์แล้ว คนทั้งสามได้เชื้อเชิญเฉินซีให้ไปพักอยู่ที่สาขาของนิกายแต่ชายหนุ่มเอ่ยปฏิเสธ เนื่องจากเขารู้สึกกังวลจึงอยากกลับให้ถึงบ้านโดยเร็วที่สุด

หากเทียบกับคนสามคนในกลุ่มของตู้ชิงซี ความจริงแล้วมีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่มีความกังวลจนอยากจะกลับเมืองหมอกสนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาอยากรีบกลับหลังจากที่ต้องพลัดถิ่นฐานบ้านช่องไปนานนับปี

เมื่อหว่านล้อมจนไม่รู้จะทำอย่างไร กลุ่มของตู้ชิงซีจึงทำได้เพียงพาเฉินซีไปที่ภัตตาคารเซียนหลงระเริง ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองทะเลหมอกเท่านั้น ทั้งหมดตั้งใจว่าจะเลี้ยงอำลาด้วยอาหารชั้นเลิศที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณอย่างเต็มที่

ภัตตาคารเซียนหลงระเริงเป็นภัตตาคารอันดับต้นของเมือง ภายในมีการตกแต่งอย่างประณีตและหรูหรา ดังนั้นจึงเป็นสถานที่ที่ผู้มีอิทธิพลในเมืองทะเลหมอกให้ความนิยมชมชอบเป็นอันมาก

ตอนที่กลุ่มของเฉินซีมาถึงภัตตาคารเซียนหลงระเริงก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว แต่ลูกค้าที่มาใช้บริการด้านในยังคงพลุกพล่านดั่งก้อนเมฆ จนสถานที่แทบแตกและไม่มีห้องส่วนตัวว่างเลย ดังนั้นพวกเขาที่มาจึงจำต้องยึดโต๊ะนั่งใกล้กับหน้าต่างเท่านั้น

ขณะที่กำลังดื่มกินอย่างเพลิดเพลินพร้อมกับสนทนากันอย่างออกรส

โดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งสี่คนก็หวนรำลึกถึงภาพความทรงจำเมื่อครั้งที่ได้พบกันเป็นครั้งแรก ทั้งหมดจดจำได้ถึงทุกข์และสุขที่ร่วมเผชิญตลอดระยะเวลาการเดินทาง พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนาน บางครั้งก็สาปแช่งด่าทออย่างแค้นเคือง บ้างก็เย้ยหยันถากถางระคนตลกขบขัน บรรยากาศจึงมีทั้งประทับใจและสบายใจอย่างยิ่ง

แม้แต่เฉินซีก็ยังปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้ามากขึ้นทุกขณะ มิตรภาพในชีวิตที่ได้ประสบพบพาน ความตาย ความเจ็บปวดและทุกข์ยาก เปรียบดั่งสุรารสร้อนแรงจนแทบเผาริมฝีปากให้มอดไหม้ยามที่ดื่มกิน ยิ่งทิ้งไว้นานสุราเหล่านั้นก็จะยิ่งส่งกลิ่นหอมหวานมากขึ้น กระทั่งถึงจุดที่เป็นที่จดจำแก่ผู้คนเสมอ

แต่ที่ใดมีงานเลี้ยง ที่นั่นย่อมมีวันเลิกรา

ข้างนอกประตูเมืองทะเลหมอก เฉินซีโบกมืออำลาไปให้พวกตู้ชิงซีที่บนกำแพงเมือง ก่อนจะทะยานขึ้นไปบนเรือเหาะสมบัติและพุ่งไปยังขอบฟ้าแสนไกลอย่างรวดเร็ว

“เฉินซี…พวกเราจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองทะเลสาบมังกร ปีหน้าจะมีงานจัดอันดับมังกรซ่อนแห่งดินแดนทางใต้ เจ้าต้องมาให้ได้นะ!” ต้วนมู่เจ๋อแหกปากตะโกนเสียงดังลั่นมาจากระยะไกล

เฉินซียืนเด่นเป็นสง่าอยู่ที่หัวเรือ หัวใจไหววูบด้วยความรู้สึกภายใน งานจัดอันดับมังกรซ่อน…ข้าไปแน่!