บทที่ 94 เมื่อไม่มีบ้าน ก็ไม่ควรมีพวกมัน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 94 เมื่อไม่มีบ้าน ก็ไม่ควรมีพวกมัน!
บทที่ 94 เมื่อไม่มีบ้าน ก็ไม่ควรมีพวกมัน!

เรือเหาะสมบัติทะยานฝ่าไปท่ามกลางมวลเมฆา ภูเขาและแม่น้ำประหนึ่งภาพวาดปรากฏอยู่เบื้องล่าง ผู้คนบนท้องถนนมีขนาดจิ๋วเท่ามด เมืองแล้วเมืองเล่า ถนนสายแล้วสายเล่า อาคารบ้านเรือนแถวแล้วแถวเล่าขนาดเท่าปลายเล็บ โลกที่หรูหราอลังการเป็นที่ดึงดูดแก่สายตา

ตามความเร็วนี้ อีกเพียงไม่กี่วันเฉินซีก็จะกลับถึงเมืองหมอกสนได้อย่างแน่นอน

เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่ที่หัวเรือ ทำความเข้าใจกับค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสอย่างพินิจพิจารณา

หลังจากทำความเข้าใจเต๋าแห่งสายลมจนแจ่มแจ้งแล้ว สายตาของเฉินซีฉายประกายฉลาดสุขุมอย่างเหลือเชื่อ ในความเห็นของเขาค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ดั่งแรงลมรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทั้งคมและไวดั่งแสง สัมพันธ์กับความไว แม่นยำและดุดันอย่างลึกซึ้ง

เพียงครู่หนึ่งเฉินซีก็ฉวยกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มออกจากแหวนมิติของเขา ภายนอกของกระบี่ท่องปรภพเป็นกระบี่บินที่แตกต่างจากกระบี่บินทั่วไป ความยาวสามฉื่อและเย็นเยือกราวน้ำแข็งพันปี

ฟู่! ฟู่!

เฉินซีโคจรปราณแท้ไหลเวียนภายในกาย จากนั้นจึงสะบัดปลายนิ้วชี้วาดอักขระอักษรลงบนกระบี่ท่องปรภพโดยใช้แก่นแท้โลหิตของตนเอง

การฝึกค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแส ขั้นแรกเขาจะต้องใช้แก่นแท้โลหิตเขียนอักขระพลังธารประทีปและเลือนกระแสลงไปที่กระบี่บิน เพื่อสร้างการเชื่อมโยงเฉพาะระหว่างกระบี่บินแต่ละเล่ม จนทำให้พวกมันสามารถประสานการทำงานได้อย่างง่ายดาย ประหนึ่งเป็นลมหายใจเดียวกัน ขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการตั้งสัญลักษณ์ค่ายกล และหากปราศจากสัญลักษณ์ค่ายกลดังกล่าวจะไม่อาจเรียกว่าค่ายกลกระบี่

ด้วยความที่เคยมีประสบการณ์ในการสร้างยันต์อักขระของเฉินซี ฉะนั้นการเขียนอักขระทั้งสองจึงถือเป็นเรื่องง่ายทีเดียว

ทว่าที่น่าประหลาดใจคือทันทีที่อักขระเลือนกระแสและธารประทีปสำเร็จลุล่วง มันก็บังเกิดเส้นสายของพลังลี้ลับปรากฏบนกระบี่บินซึ่งเขาใช้แก่นแท้โลหิตของตนเองวาดออกมาอยู่เป็นจำนวนมาก!

ฟู่ว!

เมื่อวาดอักขระลงบนกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเสร็จสมบูรณ์ ใบหน้าของเฉินซีถึงกับซีดขาวอย่างน่ากลัว จิตใจของเขาอ่อนล้าเป็นอันมาก แท้จริงแล้วเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่ายามที่ต้องต่อสู้อย่างดุเดือดเสียอีก

หากมิใช่เพราะร่างกายที่กล้าแกร่งกับพลังชีวิตและกระแสโลหิตที่ไหลเวียนราวกับกระแสคลื่นของเขาแล้วละก็ เกรงว่าคงไม่สามารถกระทำขั้นตอนวาดอักขระจนสำเร็จลุล่วงไปได้

‘นี่แค่กระบี่บินเพียงแปดเล่มเท่านั้น หากข้าต้องการใช้ค่ายกลกระบี่ขั้นสอง จะต้องตั้งสัญลักษณ์ยันต์บนกระบี่บินเพิ่มอีก 56 เล่ม สงสัยว่าข้าจะต้องใช้แก่นแท้โลหิตอีกมากเพียงใด…’ คิดแล้วเฉินซีก็ต้องถอนใจเฮือกขณะมองดูกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดตรงหน้า

“ก่อตัว!”

เฟี้ยวววว! เฟี้ยวววว! เฟี้ยววววว! เฟี้ยวววว!

กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มทะยานวนรอบตัวเฉินซีทันทีขณะปราณกระบี่แหลมคมและน่ากลัวพุ่งวาบ กระบี่บินเหล่านี้เสมือนฝูงปลาชาญฉลาดเต็มไปด้วยไหวพริบ เมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของดวงวิญญาณของเฉินซี ไม่ว่าพวกมันจะรวมตัวกันหรือกระจัดพลัดพราย หรือว่ายวนสลับไปมาทั้งแนวนอนและแนวตั้งหรือเป็นแนวดิ่ง…พวกมันมีความปราดเปรียวและตื่นตัวทำให้ชายหนุ่มสามารถควบคุมพวกมันได้ไม่ยากเย็นราวกับว่ากระบี่เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาแล้ว

“มีอะไรผิดปกติสักอย่าง” เฉินซีพึมพำขณะครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ พลันเขานึกขึ้นได้ว่าค่ายกลที่ก่อตั้งเชื่อมโยงกับพลังแห่งฟ้าดินแล้ว อีกทั้งเป็นค่ายกลกระบี่ด้วยและมีสัมผัสรับรู้แห่งฟ้าดิน จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังฟ้าดินของผู้เป็นนาย…

ชั่วหนึ่งก้านธูป

เฉินซีเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายประกายลึกล้ำดั่งดาราพร่างพราว ทันใดนั้นเขาก็ออกคำสั่งในใจทันที กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดที่ลอยตัวอยู่รอบ ๆ มีเสียงครางกระหึ่มพร้อมกันเป็นจังหวะสอดประสานหนึ่งเดียวราวกับกระบี่ที่มีลมหายใจแต่เป็นอิสระต่อกันและกัน หากแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

โอม!

ทันใดนั้นแสงกระบี่พร่ามัวพลันพุ่งออกจากกระบี่บินทั้งแปดเล่ม แหลมคมดั่งเข็มและกะพริบริบหรี่ขณะที่มันทะยานไปรอบตัวของเฉินซี แม้จะดูเหมือนน้อยนิดด้วยมีเพียงกระบี่บินแค่แปดเล่ม แต่พวกมันกลับแผ่รังสีอันมหึมาอย่างยากจะหาสิ่งใดเสมอเมือน ราวทหารหาญเลือดเย็นเต็มเปี่ยมด้วยพลังอำมหิตทำให้ผู้พบเห็นถึงกับสะท้านด้วยความหวาดกลัว ในบริเวณมีเสียงดังกระหึ่มไปทั่วจากการเสียดแทงด้วยประกายกระบี่อันแหลมคม

‘เสียดายที่ข้าอยู่บนเรือเหาะสมบัติจึงทดสอบพลังของมันไม่ได้ แต่ในบันทึกของแผนผังค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสระบุว่าค่ายกลกระบี่ขั้นแรกก็เพียงพอที่จะทำลายผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั่วไป!’

ใบหน้าของเฉินซีพลันเจิดจ้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็บอกกับตัวเองว่าตามปกติค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้นจึงใช้งานได้ ในขณะที่เขาเพิ่งบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดาราเท่านั้น เช่นนี้บางทีความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ของเขาน่าจะไม่ด้อยกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ…”

แต่เฉินซีรู้อยู่แก่ใจว่า ไม่ว่าจะอย่างไรความต่างระหว่างขอบเขตตำหนักอินทนิลกับขอบเขตเคหาทองคำก็ยิ่งใหญ่และไม่อาจดูแคลน ถ้าเขาต้องพบกับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำที่ร้ายกาจ หรือเผชิญหน้ากับเหล่ายอดอัจฉริยะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่น่ากลัว เขาจะประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย เนื่องจากเคยมีเหตุการณ์ความล้มเหลวอย่างน่าสังเวชของผู้ที่มีความมั่นใจมากเกินไปมานักต่อนักแล้ว

ฟิ้วววว!

เรือเหาะสมบัติเหินไปบนอากาศผ่านวันและคืนไปอย่างรวดเร็ว

ถึงเวลาพลบค่ำเฉินซีลืมตาตื่นขึ้นมาจากการฝึกบ่มเพาะพลัง สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาของชายหนุ่มก็คือแนวเทือกเขากว้างไกลไร้ขอบเขตสูงต่ำสลับไปมาอย่างต่อเนื่อง แค่มองแวบเดียวจะเห็นแนวเทือกเขานั้นยาวไกลไร้จุดสิ้นสุด

ทว่าสิ่งที่น่าตกใจก็คือ เมือง ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าเทือกเขาลูกนั้น รูปร่างของมันเหมือนกระดองเต่าและสร้างหันด้านหลังให้ภูเขา เมืองนี้มีอาณาบริเวณสามพันลี้ ซึ่งเมื่อเทียบกับเมืองทะเลหมอกที่โออ่าหรูหราและรุ่งเรืองจะกลายเป็นว่าเมืองนี้มีขนาดเล็กอย่างน่าเวทนา

เมืองหมอกสน!

เฉินซีขยับลุกขึ้นยืนทันทีขณะจับจ้องมองไปในระยะไกล ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้ชมทัศนียภาพของเมืองหมอกสนอย่างเต็มตา ซึ่งพอมองลงมาจากบนท้องฟ้าสูงเช่นนี้ เมืองทั้งเมืองจึงถูกเปิดเผยต่อหน้าต่อตาของเขา

อาณาบริเวณของจวนแม่ทัพ เขตสำนัก เขตสามัญชน…ขณะที่เขามองภาพบรรยากาศที่คุ้นเคย เฉินซีกลับรู้สึกราวกับว่าภาพเหล่านี้ล่วงเลยผ่านมาเนิ่นนานแล้ว

‘แค่ชั่วปีเดียวเท่านั้น เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือนจากไปเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้วเช่นนี้เล่า?’

‘ผู้อาวุโสจี้อวี๋เล่าว่าภายหลังจากที่ผู้บ่มเพาะได้ก่อสร้างรากฐานเต๋าแล้ว ผู้บ่มเพาะจึงจะเริ่มเข้าใจมรรคาแห่งสวรรค์และสามารถรับรู้กระแสความดีชั่ว ความรู้สึกนั้นอาจคลุมเครือและลึกซึ้งทว่าแม่นยำ บางทีข้าจะรู้สึกเช่นนั้นบ้างหรือไม่?’

ในหัวใจของเฉินซีรู้สึกกังวลขึ้นวูบหนึ่งอย่างบอกไม่ถูกก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันให้เขาได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนยิ่งขึ้นกลับพบว่ามันได้หายไปเสียแล้ว จิตใจของเขาว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นก่อน

‘อืม… การกลับมาบ้านครั้งนี้ทำให้ข้าประหม่าถึงเพียงนี้อย่างนั้นหรือ?’ เฉินซีสลัดความคิดนั้นทิ้งไป จากนั้นชายหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะเก็บเรือเหาะสมบัติลงแหวนมิติแล้วก็มุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองทันที

ขณะที่เดินผ่านเข้าสู่ประตูเมือง สายตาก็กวาดมองถนนหนทางที่เจนตา กลิ่นที่คุ้นเคยลอยอวลอยู่ในอากาศ ใช่ว่าจิตใจที่กำลังเคร่งเครียดของเฉินซีจะไม่รู้สึกผ่อนคลายเท่านั้น ทว่ากลับยิ่งเคร่งเครียดหนักขึ้น อีกทั้งความคิดในหัวก็สับสนอลหม่านอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน

เขาไม่รอช้าและเร่งตรงไปยังบ้านของตนเองอย่างรวดเร็ว

ราวกับเสียงกระซิบแผ่วเบาจากสวรรค์มาเร่งเร้าให้เขาต้องรีบทำเช่นนี้ทันที

ยามนี้ชายหนุ่มราวกับติดปีกที่เท้า ร่างกายเคลื่อนไหวราวกับสายลม ในหัวใจของเฉินซีเต้นรัวแรงยิ่งขึ้นดั่งตีกลองขณะใกล้บ้านเข้าไปทุกขณะ

ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!

หัวใจของเฉินซีสั่นระรัวด้วยความวิตกระคนหวาดกลัว

ฟิ้ว!

ชายหนุ่มชะงักหยุดกึก รูม่านตาขยายขณะดวงตาเบิกโพลงด้วยไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

เขตสามัญแบ่งเป็นสี่แปลง มีเนื้อที่แปลงละสามร้อยลี้ ผู้ยากไร้ของเมืองหมอกสนจะรวมตัวอาศัยอยู่ที่นั่น ซึ่งครอบครัวของเฉินซีก็อาศัยอยู่ในเขตนี้เช่นกัน

ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เวลานี้ในอดีต เหล่ากรรมกรที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวันจะลากสังขารอันเหนื่อยล้ากลับมาบ้านให้ไวที่สุด คนเหล่านี้จะอาศัยอยู่รวมกัน มือถือชามข้าวของใครของมันขณะปากก็ขี้โม้คุยโวกันดังลั่น บางคนตะโกนเรียกภรรยาให้ไปซักเสื้อผ้าบ้างทำกับข้าวบ้าง ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งเล่นไปมา เด็กชายและเด็กหญิงที่โตหน่อยจะรวมกลุ่มกระซิบกระซาบคุยกัน…

ทว่า เวลานี้พื้นที่โดยรอบในรัศมีกว่าสามร้อยลี้ ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีผู้คนเดินพลุกพล่าน ไม่มีเสียงดังและไม่มีกลิ่นที่คุ้นเคยมานานกว่าสิบปี มีแต่เศษอิฐเศษหินที่เกิดจากการพังทลายกระจายอยู่เต็มพื้นดิน ฝูงกาดำส่งเสียงร้องขณะที่พวกมันกำลังบินวนอยู่เหนือท้องฟ้า สุนัขป่ากำลังแทะกัดซากศพเน่าเปื่อย

เศษซากปรักหักพัง!

บ้านทั้งหลังได้พังถล่มจนเหลือแต่ซาก!

เฉินซีรู้สึกเหมือนโลกดับวูบลงไปต่อหน้าต่อตา ความเจ็บปวดใจนั้นสุดจะพรรณนา เขารับรู้ถึงความปวดร้าวจนเขาต้องใช้มือจับหน้าอกของตนเอาไว้ ขณะที่อยากจะร้องตะโกนออกไปสุดเสียง แต่กลับพบว่าตนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่คำเดียว

เกิดอะไรขึ้น!

เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?

เขาไม่อยากเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง ขณะเดียวกันความเจ็บปวดรุนแรงผสานกับความโกรธพุ่งขึ้นถึงขีดสุดดั่งกระแสน้ำเชี่ยวที่จู่ ๆ ก็โหมเข้าทำร้ายจิตสำนึกของคนอย่างรุนแรงจนสับสนงุนงงไปหมด

ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อเหมือนซากผีที่เดินได้ ขาทั้งสองหนักอึ้งดุจแท่งตะกั่วขณะขยับเท้าทีละก้าว ๆ ไปยังสถานที่ที่คุ้นชิน เขาเดินตรงไปที่ที่เคยเป็นบ้านของเขาในวัยเด็กจวบจนวัยรุ่น ทุกก้าวหนักอึ้งและทุกก้าวราวกับกำลังก้าวไปสู่ขุมนรกกระนั้น

บ้านเป็นที่พักพิงทางใจของเฉินซีที่สามารถป้องกันคลื่นลมและพายุ เมื่ออยู่ที่นี่ชีวิตประจำวันของเขาจะมีเสียงสั่งสอนของท่านปู่ไปพร้อม ๆ กับการเลี้ยงดูน้องชายที่ยังเล็ก ไม่ว่าจะเหนื่อยยากสักเพียงใดเมื่อเขากลับถึงบ้าน จะเห็นท่านปู่และน้องรอกินข้าวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นแล้ว จนเรื่องที่ตนต้องอับอายและถูกเยาะเย้ยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลายเป็นไร้ความหมายไปทันที

คำว่าบ้าน เป็นสถานที่ที่ไม่มีวันถูกลบล้างไปจากหัวใจของเฉินซี สายใยแห่งความอบอุ่นยังไม่เคยจางหาย

เพราะบ้านหลังนี้เขาจึงต้องยอมแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวตั้งแต่แรก เขาอดทนต่อคำพูดปรามาสหาว่าเป็นตัวซวยและถูกคนเหยียดหยามด้วยการถูกฉีกสัญญาหมั้นหมายทิ้ง เพราะเขาต้องรับผิดชอบต่อบ้านนี้และช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ตระกูลเฉิน ทำให้เขาพยายามอย่างแน่วแน่ในการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อปกป้องบ้านหลังนี้ ทว่าตอนนี้…

ไม่เพียงบ้านของเขาที่ถูกทำลายป่นปี้เสียแล้ว กระทั่งเพื่อนบ้านและผู้คนในละแวกใกล้เคียงที่อยู่ในรัศมีสามร้อยลี้ก็เหลือแต่ซากหักพังไปแล้ว คนนับไม่ถ้วนต้องตาย โครงกระดูกสีขาวถูกทิ้งอยู่กลางถนน เป็นหลุมฝังศพที่ไม่มีป้ายชื่อเหมือนนรกดี ๆ นี่เอง

“เจ้าคงเคยได้ยิน นี่น่ะเป็นฝีมือของตระกูลหลี่ พวกเขาต้องการกวาดล้างคนที่รอดชีวิตของตระกูลเฉินทุกคนอย่างไรล่ะ”

“ชู่!!! เบาหน่อย! ตอนนี้คนในเมืองหมอกสนไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้หรอกนะ เพราะตระกูลหลี่ประกาศชัดว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเฉินซี หรือแม้แต่เพื่อนบ้านจะต้องถูกสังหารอย่างไร้ความปรานี ดูนั่น…เขตสามัญที่อยู่ในรัศมีสามร้อยลี้กับผู้คนกว่าหมื่นคนที่เกี่ยวข้องกับเขา ตอนนี้กลายศพและกองกระดูกขาวโพลนอยู่บนพื้นดินเต็มไปหมด”

“เฮ้อ…แม้แต่ร้านขายของตระกูลจางก็ถูกทำลายเพราะเจ้าของร้านที่ชื่อจางต้าหยงเคยช่วยเหลือเป็นธุระให้กับเฉินซีมานานหลายปี ทว่าเหตุใดร้านอาหารนทีกระจ่างจึงต้องถูกทำลาย ข้าได้ยินมาว่าคนในร้านอาหารนั้นตายในกองเพลิงอย่างน่าสลดใจทั้งหมดเลย”

“เจ้าไม่รู้หรือไร เฉินซีเคยไปฝึกเป็นพ่อครัววิญญาณที่ร้านอาหารนทีกระจ่างเมื่อนานมาแล้ว จะไม่ให้ตระกูลหลี่บุกไปทำลายเสียได้อย่างไร?”

กระแสเสียงสนทนาของใครหลายคนดังเข้ามาในโสตประสาทของเฉินซี ไกลออกไปยามรักษาการณ์สองคนสวมเกราะเหล็กที่มาจากจวนแม่ทัพกำลังก้มหน้าก้มตาช่วยกันเก็บกวาดศพที่ติดอยู่ในซากอาคาร

‘เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าอย่างนั้นหรือ?’

ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ร่างของเฉินซีเริ่มสั่นเทาอย่างไม่อาจยับยั้ง สีหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้นทุกขณะ แววตาลุกโชนราวกับมีกองเพลิงโชติช่วงขณะจ้องเขม็งไปยังเถ้าถ่านที่มอดดับไปนานแล้ว กองไฟเจิดจ้ามีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นเปลวไฟลุกโชนพร้อมเสียงระเบิดเปรี้ยง กระทั่งเปลวไฟลุกโชติช่วงราวกับจะเผาผลาญฟ้าดินให้มอดไหม้

“ตระกูลหลี่…ไอ้พวกตระกูลหลี่…” ชายหนุ่มพึมพำแผ่วเบายิ่งราวกับสายลมหวีดหวิว รังสีแผ่วาบออกจากร่างกายของเฉินซี เจตนาฆ่าซึ่งสั่งสมมาจากดินแดนรกร้างใต้พิภพและส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่!

ณ ตอนนี้เขาเสมือนวิญญาณร้ายที่ผุดออกมาจากบึงมรณะ เย็นชา ไร้ความรู้สึก ทันใดนั้นเจตนาเข่นฆ่าพลันทะลุปะทุขึ้นเสียดฟ้า!

เฉินซีทรุดฮวบลงคุกเข่ากับพื้นก่อนจะโขกศีรษะให้กับสิ่งที่เคยเป็นบ้านของตนเองสามครั้ง จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินกลับออกไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองอีกเลย

ในหัวใจของเขาเวลานี้มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่บริสุทธิ์ที่สุด เรียบง่ายที่สุดและเถรตรงที่สุด

ฆ่าให้สิ้น!

“เอ…เหตุใดข้าจู่ ๆ ก็หนาวขึ้นมา?”

“อากาศเปลี่ยนอย่างนั้นหรือ?”

ยามรักษาการณ์ทั้งสองของจวนแม่ทัพที่กำลังช่วยกันขนย้ายซากศพออกมาจากซากหักพัง ต่างรู้สึกราวกับว่าถูกจู่โจมด้วยกระแสลมที่เย็นจัดจนเข้ากระดูกดำ ทั้งคู่เริ่มสั่นสะท้านก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความแปลกใจทว่าก็ไม่เห็นความผิดปกติ

ทว่าหากสังเกตดี ๆ จะพบว่าขณะนี้ฝูงนกกาจำนวนมากนอนตายเกลื่อนอยู่บนพื้นดิน จากการที่เลือดในตัวของมันแข็งตัวและลูกนัยน์ตาเบิกกว้างแต่ไร้ร่องรอยบาดแผลบนร่างกาย