ภาคที่ 2 บทที่ 10 หักนิ้ว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 10 หักนิ้ว

ฟ้าว !

ริ้วพลังพาดกันเป็นกากบาทอยู่กลางอากาศ ก่อร่างขึ้นเป็นตาข่ายพลัง

จีหานเยี่ยนเก็บมือตนเอง นางใช้สัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงตาข่ายล่องหนเล็กน้อย ในนัยน์ตานางฉายแววพึงพอใจ

“เจ้าทำได้จริง ๆ เป็นตาข่ายล่องหน”

“โชคร้ายที่มันล่องหนกับเฉพาะตาเปล่า หากอีกฝ่ายใช้ทักษะต้นกำเนิดเกี่ยวกับการรับรู้พลังต้นกำเนิด มันก็จะไม่เป็นตาข่ายล่องหนอีกต่อไป” ซูเฉินถอนหายใจ

“ไม่มีทักษะต้นกำเนิดใดที่ดีไปหมดทุกอย่างหรอก แค่ตาเปล่ามองไม่เห็นก็พอ” จีหานเยี่ยนยังพึงพอใจกับผลลัพธ์ “คนส่วนมากไม่เปิดใช้ทักษะต้นกำเนิดด้านการรับรู้ตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับต่ำ เป็นเพราะมีพลังต้นกำเนิดไม่เพียงพอ แต่หากอีกฝ่ายใช้ทักษะต้นกำเนิดด้านการรับรู้ ทำให้วิชานี้ไม่ได้ผล แต่ก็ยังนับใช้ได้อยู่ ถือเป็นการทำให้อีกฝ่ายเปลืองแรง”

นัยน์ตาซูเฉินเต็มไปด้วยความชื่นชม “เจ้าพูดถูก ข้าต้องลองนำไปใช้จริงถึงจะรู้ได้ แต่เจ้ากลับสามารถคิดได้เองในทันที เจ้านี่ฉลาดไม่น้อย”

“ข้าเพียงเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ แต่ก็ยังเทียบเจ้าไม่ได้” จีหานเยี่ยนเหลือบมองซูเฉิน “เจ้าสิอัจฉริยะของแท้ สร้างทักษะต้นกำเนิดขึ้นมาได้ถึงสองวิชาติดต่อกัน ทั้งยังสามารถสร้างขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ”

“ไม่เอาแล้ว !” ซูเฉินโบกมือ “แค่สองวิชานี้ข้าก็หมดแรงแล้ว”

จริง ๆ แล้วซูเฉินไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่การพูดให้มากเกินจริงเข้าไว้นับเป็นสิ่งที่พ่อค้าใจคดทุกคนต้องมี อีกอย่างเด็กหนุ่มก็ไม่อยากใช้เวลาสร้างทักษะต้นกำเนิดใหม่แล้ว

เขาสร้างทักษะต้นกำเนิดใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตามต้องการ ไม่ใช่เพื่อฆ่าเวลา ซูเฉินยังมีข้อมูลความรู้และทักษะต้นกำเนิดอีกหลายวิชาที่เขายังไม่เคยรู้อีกมาก ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่มีความจำเป็นในการสร้างทักษะต้นกำเนิดใหม่ขึ้นมา หากทำก็คงเหมือนกับเอารถม้าไปวางอยู่หน้าม้า (1)

ซูเฉินตอบตกลงจีหานเยี่ยนเพราะต้องการทดลองกฎแห่งบรูค ตอนนี้เมื่อได้ทดลองแล้วก็ได้เวลาปิดบังความสามารถที่ตนมี

ตัวเขาในตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องมุ่งสร้างทักษะต้นกำเนิดใหม่ขึ้นอีก มุ่งฝึกฝนวิชาเดิมที่มีอยู่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างไรเขาก็น่าจะใช้วิชาเดิมของตนได้ดี สร้างรากฐานของตนให้มั่นคงได้

จีหานเยี่ยนเห็นแววไม่เต็มใจในนัยน์ตาซูเฉินจึงไม่เอ่ยขึ้นอีก “ช่างเถอะ แต่หากเจ้าสามารถคิดค้นอะไรที่ช่วยทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นได้…”

“ข้าจะนำมาบอกเจ้า !” ซูเฉินตอบเสียงจริงจัง

จีหานเยี่ยนพยักหน้า

“ว่าแต่เจ้าตั้งชื่อมันว่าอะไร ?” จีหานเยี่ยนถาม

“ข้ายังไม่ได้ตั้ง เจ้าไม่ลองตั้งดูเล่า ?”

“เช่นนั้นเรียกมันว่าตาข่ายลมพิสุทธิ์”

“ตกลง !” ซูเฉินตอบ จากนั้นคนทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน

ในตอนที่กำลังคิดจะขอตัวกลับ ซูเฉินก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว เจ้าเคยได้ยินเรื่องชายชราคนหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูท่าทางไม่ใส่ใจรูปลักษณ์ตนเอง แต่ก็มีกำลังสูงส่ง น่าจะมีขั้นพลังด่านสู่พิสดารบ้างหรือไม่ ? ดูเหมือนคนเสียสติหน่อย ๆ”

จีหานเยี่ยนครุ่นคิด หลังผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “หากเป็นชายชรา ก็คงไม่น่าใช่ศิษย์ น่าจะเป็นอาจารย์ส่วนตัว แต่ข้านึกถึงอาจารย์ส่วนตัวที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงและไม่ใส่ใจรูปลักษณ์ตนไม่ออกเลยสักคน ส่วนที่ว่าดูเหมือนคนเสียสติหน่อย ๆ…… เจ้ากำลังพูดถึงเขาอยู่หรือไม่ ?”

——————————————

ซูเฉินกลับมาที่ห้องตนเองหลังจากบอกลาจีหานเยี่ยน

ตลอดทางเดินกลับ เด็กหนุ่มเดินคิดมาตลอดว่าตนควรจะกลับไปยังหอตำราหรือหอพักเพื่อทำการทดลอง หากแต่เมื่อเห็นบางอย่างเดินตรงเข้ามาหา เขาก็พลันหลุดออกจากภวังค์ความคิด

คือชายในชุดขาวที่ถูกจีหานเยี่ยนตบจนกระเด็นไป

เขากลับไปเปลี่ยนชุดมาใหม่ ท่าทางงามสง่ายิ่งนัก ผมทุกเส้นบนหัวส่องประกาย ในมือสะบัดพัดแผ่วเบา ตอนนี้เข้าฤดูหนาวมาหลายเดือนแล้ว ท่าทางเช่นนั้นจึงดูประหลาดไปสักหน่อย

ข้ารับใช้ตัวน้อยติดตามอยู่ด้านหลังเขา ใบหน้าชื่นชมเชิดชูนายตนยิ่งนัก

ชายชุดขาวผู้นั้นขวางทางซูเฉินไว้ “ข้าจะถามเจ้าเพียงหนึ่งคำถาม เจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับจีหานเยี่ยน ?”

น้ำเสียงเขาเสียมารยาทมาก หากเป็นคนอื่นก็คงโกรธจัดไปแล้ว

ซูเฉินเข้าใจสถานการณ์ เขายิ้มก่อนกล่าว “อย่าคิดอะไรไร้สาระ แม่นางจีและข้าไม่มีความสัมพันธ์ใด รู้จักกันเพราะการซื้อขายเท่านั้น ที่นางยินดีเมื่อเห็นข้าเป็นเพราะข้ามีสิ่งที่นางต้องการ หลังจากนางตรวจดูสินค้าแล้วข้าก็ถูกไล่ออกมาเช่นกัน”

เขาตอบเสียงสุภาพ อีกทั้งยังชัดเจนและตรงประเด็น เพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถแก้ความเข้าใจผิดได้แล้ว

แม้ชายชุดขาวจะวางท่า แต่ก็ไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว เขาถอนหายใจโล่งอกออกมา “เป็นเช่นนั้นนี่เอง หานเยี่ยนจะไปเห็นคนไร้สายเลือดอย่างเจ้าอยู่ในสายตานางได้อย่างไร”

เจ้ารู้จักมารยาททางการพูดคุยบ้างหรือไม่ ?

ซูเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับไป เอ่ยเพียง “ในเมื่อพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว ข้าขอตัว”

พูดจบเขาก็ทำท่าจะเดินจากไป

ในตอนนั้นเอง ซูเฉินก็เห็นว่าข้ารับใช้น้อยกนะซิบกระซาบบางอย่างให้เจ้านายตนฟัง

ชายหนุ่มชุดขาวหันมาทางซูเฉิน “ประเดี๋ยว เจ้าเอาอะไรให้หานเยี่ยน ?”

ซูเฉินส่ายหัว “คำถามนี้เจ้าไปถามแม่นางจีเองดีกว่า ข้าอาจไม่มีอำนาจบอก”

ชายหนุ่มชุดขาวขมวดคิ้ว “เจ้าบอกข้ามาดีกว่า ข้าจะได้นำของที่นางต้องการมาได้”

เขาอยากรู้เพราะรู้ดีกว่าในใต้หล้านี้มีเพียงไม่กี่อย่างที่สามารถทำให้หานเยี่ยนพึงพอใจได้

แต่หากของสิ่งนั้นสามารถทำให้จีหานเยี่ยนยิ้มได้ เช่นนั้นก็คงได้มายากแน่นอน หากเขาสามารถช่วยจีหานเยี่ยนหาของเหล่านั้นมาได้ ไม่แน่ว่านางอาจหันมาชื่นชอบเขา

“เรื่องนี้……” ซูเฉินเกาหัว “อาจเป็นของที่เจ้าไม่สามารถหามาได้”

“หืม ?” ชายหนุ่มชุดขาวยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เขากางพัดในมือ โบกพัดพัดตนสองคราก่อนเอ่ย “ในใต้หล้านี้ มีเพียงไม่กี่สิงที่คุณชายไป๋อี่หงเช่นข้าไม่อาจหาได้”

“เจ้ามั่นใจดีเหลือเกิน” ซูเฉินก่นด่าเสียงเบา

ข้ารับใช้ด้านข้างกระซิบกระซาบอีก

ซูเฉินขมวดคิ้วมุ่น

ความเข้าใจผิดทั้งหลาย หลายครั้งเกิดขึ้นเพราะเหล่าข้ารับใช้ผู้ไม่หวังดีเป็นเหตุ

ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองซูเฉินแล้วเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าเกือบใช้ประโยค ‘อาจเป็นของที่เจ้าไม่สามารถหามาได้’ หลอกข้าได้แล้ว เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไร้สายเลือด มีอะไรที่เจ้าหาได้แล้วข้าหาไม่ได้กัน ? บอกข้ามา เจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับหานเยี่ยนกันแน่ ?”

ซูเฉินเองก็เริ่มโกรธขึ้นมาบ้างเช่นกัน เขาเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าก็เห็นด้วยตาตนเองไปแล้ว ยังต้องถามอีกหรือ ?”

ไป๋อี่หงได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปในพลัน ร่างกายเริ่มสั่นด้วยความโกรธ “เป็นไปไม่ได้ ! เป็นไปไม่ได้ ! หานเยี่ยนจะตกหลุมรักคนอย่างเข้าได้อย่างไร ?”

“คนอย่างข้าแล้วอย่างไร ? เหตุใดจีหานเยี่ยนจะตกหลุมรักคนอย่างข้าไม่ได้ ?” ซูเฉินตอกกลับเสียงเยาะเย้ย

“ต้องไม่ได้ !” ไป๋อี่หงเริ่มตะโกน “คนเช่นเจ้า พวกคนไร้สายเลือด แค่ได้เข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นก็ดีมากเกินพอแล้ว แต่เจ้ายังกล้าหมายตาสตรีดอกฟ้าเช่นนางอีกหรือ ? เจ้าทำเกินไปแล้ว !”

เขาชี้นิ้วมาทางซูเฉิน “หยุดความคิดของเจ้าไว้เพียงเท่านี้เสีย ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจ”

หยุดความคิดงั้นหรือ ?

ซูเฉินอดคิดถึงกู่ชิงลั่วไม่ได้

คนที่มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้น ผู้ไร้สายเลือดทุกคนย่อมต่ำต้อยกว่า

พวกเขาไม่อาจสวมใส่เสื้อผ้างดงามประดับทอง ต้องหลีกทางให้พวกชนชั้นสูงยามเดินตามท้องถนน ไม่อาจแต่งงานกับคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้ เมื่อทำภารกิจ คนตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็มีโอกาสเลือกงานง่ายที่สุดไปก่อน ส่วนพวกเขากลับถูกเกณฑ์ไปแถบชายแดนเพื่อไปเป็นเหยื่อกระสุนปืนใหญ่ และหากคนตระกูลสายเลือดชั้นสูงสังหารพวกเขา ความผิดก็แทบไม่มี

เปลวเพลิงแห่งความโกรธเข้ากัดกินจิตใจซูเฉิน

เป็นความโกรธที่มาจากสิ่งเลวร้ายที่ขีดจำกัดของสายเลือดได้สร้างขึ้น

ไป๋อี่หงยังคงชี้นิ้วมาที่หน้าผากซูเฉิน

ซูเฉินมองนิ้วนั้น จากนั้นเอ่ยถาม “นิ้วนี้มีค่าคะแนนอุทิศมากเท่าไร ?”

“ว่าอะไรนะ ?” ไป๋อี่หงชะงักไป

ซูเฉินยื่นมือออกไป

เขากำนิ้วมือที่ยื่นเขามา จากนั้นบิดมันในพลัน

เปรี๊ยะ !

นิ้วนั้นหักในทันที

เชิงอรรถ

เอารถม้าไปวางหน้ามา หมายถึง ทำอะไรผิดขั้นตอน ปกติจะให้ม้าลากรถม้าต้องให้ม้าอยู่ด้านหน้า แต่หากนำรถม้ามาไว้ด้านหน้ามาย่อมไม่สามารถทำให้รถม้าเคลื่อนไปได้