ภาคที่ 2 บทที่ 9 คำสาบานศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 9 คำสาบานศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง

คำประโยคนั้นดังออกมาจากที่ใดไม่อาจรู้ได้ ส่งผลให้ซูเฉินตกใจ

เขาหันไปในพลัน พบว่าเป็นชายแก่ผู้หนึ่งกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนผืนหญ้า มือกำลังเล่นอยู่กับดอกไม้ดอกเล็กชนิดหนึ่งที่ซูเฉินไม่รู้จัก

ดูท่าชายชราจะนอนอยู่ตรงนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายเขาปกคลุมไปด้วยใบไม้ แต่ถึงไร้ใบไม้ก็ยังดูน่าเกลียดมากอยู่ดี ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครายาวไม่เรียบร้อย ไม่อาจรู้ได้ว่าทำความสะอาดครั้งสุดท้ายเมื่อไร เบาตาบวมเป่ง มีรอยคล้ำสีม่วงล้อมรอบอยู่ ดูท่าจะถูกใครสักคนตีมาอย่างหนัก

ซูเฉินไม่รู้ชายชราผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คำที่ชายชราโพล่งขึ้นมาเมื่อครู่ต้องพูดกับเขาเป็นแน่

ซูเฉินรู้สึกโกรธอยู่บ้าง แต่ก็พยายามทำใจให้สงบ

การพบกับกู่ชิงลั่วทำให้สภาพจิตใจเขาไม่มั่นคง แต่ใช้เวลาไม่นานเขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ยังคงเป็นซูเฉินที่สงบเยือกเย็นและรอบคอบคนเดิม

หากซูเฉินโกรธย่อมต้องถกเถียงกับชรายชรา แต่ซูเฉินที่สงบเยือกเย็นจะไม่ทำเช่นนั้น

เด็กหนุ่มสงบสติอารมณ์ จัดชุดตนเสียใหม่ จากนั้นเอ่ยขึ้น “ท่านพูดถูก ข้าเพียงตะโกนอันใดไร้สาระเท่านั้น เป็นเพียงคนบ้าเอ่ยคำพูดเสียสติออกมา ขออภัยให้ชายหนุ่มที่เพิ่งอกหักที่พูดอันไร้สติไปด้วย อย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย”

“หืม ?” ชายชราส่งเสียงประหลาดใจออกมา

เขาพลันปรากฏร่างขึ้นตรงหน้าซูเฉิน ราวกับว่าระยะห่างร้อยจั้งนั้นสั้นนัก มองซูเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยนัยน์ตาราวกับมีหมอกปกคลุม

ครู่ต่อมาเขาจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าสงบอารมณ์ได้เร็วนัก ไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่ข้าคิดไว้”

ซูเฉินตอบอย่างนบน้อม “ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับคำชม ข้าน้อยเพียงเอ่ยไปไม่ทันคิด ทำให้ผู้อาวุโสต้องหัวเราะแล้ว”

“นี่ เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดข้าจึงบอกว่าเจ้าพูดไร้สาระ ?” ชายชราถาม หรี่ตามองเด็กหนุ่ม

ซูเฉินพยักหน้า “แน่นอนว่าข้าน้อยเพียงเอ่ยคำไร้สาระ เผ่ามนุษย์มีผู้กล้ามากมายในประวัติศาสตร์หลายหมื่นปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีใครสามารถทำตามเช่นที่ข้ากล่าวได้ ส่วนข้า ศิษย์ที่เพิ่งเจ้าสถาบันมาได้ไม่นาน กลับเอ่ยคำขึ้นเช่นนั้นขึ้นมาย่อมเป็นเรื่องไร้สาระ”

น่าแปลกที่ชายชรากับเผยความโกรธออกมา “ไร้สาระ ไร้สาระสิ้นดี ! หากบรรพบุรุษทำไม่ได้ก็ไม่มีใครทำได้งั้นหรือ ? เป็นแนวคิดประหลาดจากที่ใดกัน ? เผ่ามนุษย์เคยไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณด้วยตนเองมาก่อน แต่ตอนนี้ก็สามารถทำได้แล้วไม่ใช่หรือ ? ไม่เพียงเท่านี้ เรายังสามารถทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไม่จำเป็นต้องมีสายเลือด ไม่ใช่ว่าความวาดฝันของเผ่ามนุษย์เป็นจริงแล้วงั้นหรือ ? หากคนหนึ่งไม่สามารถทำได้ งั้นเป็นหมื่นคนเล่า ? หากปีหนึ่งไม่พอ เช่นนั้นสักหมื่นปีเป็นอย่างไร ? รุ่นแล้วรุ่นเล่า มนุษย์เราสั่งสมความรู้จนกระทั่งถึงจุดหมาย เหตุใดจึงยอมแพ้แล้วเอ่ยคำว่าเป็นไปไม่ได้ออกมากัน ? สำหรับข้า อย่างไรมนุษย์ก็ต้องสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของสายเลือดได้ในสักวันหนึ่ง จนสามารถพัฒนาการบ่มเพาะพลังของเผ่าเราเองขึ้น จากนั้นก็เอาชนะเผ่าสัตว์อสูร ผงาดขึ้นครองใต้หล้าจนชั่วกัลปาวสาน !”

ชายแก่พูดไปก็ชี้มือชี้ไม้ไปทั่วด้วยความโกรธ น้ำลายกระเซ็นทั่วทิศ ซูเฉินถึงกับอึ้งไป

เขามองชายชรานิ่ง “แต่…… แต่ว่า…… ข้าเพียง…… ท่าน……”

“ที่ข้าบอกว่าเจ้าพูดไร้สาระเป็นเพราะแรงจูงใจของเจ้านั้นผิด !” ชายชราตะโกนเสียงดัง จิ้มนิ้วไปที่หน้าผากซูเฉิน “มีผู้กล้ากี่คนที่ยอมอุทิศทั้งชีวิตของตนเพื่อทำให้เผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรือง แม้ไม่สำเร็จแต่ก็ไร้ความเสียใจใด ! เพราะเหตุใด ? เพราะในใจพวกเขามีความฝัน ฝันถึงอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดของเผ่ามนุษย์ ! แต่เจ้าเล่า ? เหตุใดจึงลั่นคำสาบานออกมา ? เพียงเพราะสตรีนางหนึ่งเท่านั้น !”

ซูเฉินชะงักไป

ชายชราเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากเจ้าอยากทำการใหญ่ จิตใจเจ้าต้องอยู่ให้ถูกที่ถูกทาง เจ้าไม่มีทรรศนะเช่นนั้น แต่กลับกล้าคิดว่าตนมีค่าพอ ประกาศว่าจะนำพาเผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรืองอย่างนั้นหรือ ? จะทำลายขีดจำกัดทางสายเลือดเพื่อสตรีนางหนึ่งหรือ ? เป็นเรื่องน่าขันที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาเลยทีเดียว ! เจ้าไม่บอกว่าจะล้มแคว้นใหญ่ทั้งเจ็ดแล้วตั้งราชวงศ์เป็นชื่อตนเองขึ้นเพื่อสตรีนางหนึ่งเสียเลยเล่า ? อย่างน้อยก็มีเหตุผลมากกว่าการก้าวข้ามขีดจำกัดทางสายเลือด ! วันนี้เจ้าเอ่ยคำสาบานเพื่อสตรีนางหนึ่ง วันหน้าเจ้าก็สามารถผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับสตรีนางนั้นเช่นกัน……”

ซูเฉินได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงละอายใจ

ชายชราท่านนี้ไม่ได้โพล่งคำด่าขึ้นมาเพราะความคิดใหญ่ใฝ่สูงของเขา แต่เป็นเพราะแรงจูงใจให้คิดใหญ่ของเขาต่างหาก

ชายชรายังยืนบ่นอีกหลายสิ่งอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นว่า “คิดการใหญ่แต่แรงจูงใจน่าสมเพชนัก จะมีผู้ใดที่กล้าเอ่ยวาจาไร้สาระเช่นเจ้าออกมาได้อีกบ้าง ? ไอ้หนูอย่างเจ้าไม่มีค่าพอให้เอ่ยคำว่า ‘ทำให้เผ่ามนุษย์รุ่งเรืองโดดเด่น’ ขึ้นมาให้แปดเปื้อน ! เรื่องเช่นนี้จำต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทำให้สำเร็จ”

ชายชราเอามือไพล่หลัง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป

ซูเฉินนิ่งอึ้ง ชายชราจากไปทั้ง ๆ อย่างนั้น

ซูเฉินพลันคิดได้ เขาตะโกนถามขึ้นมา “ผู้อาวุโส นามอันมีเกียรติของท่านมีนามว่าอะไร ? ซูเฉินจะไม่ลืมคำชี้แนะของผู้อาวุโสเป็นแน่”

น้ำเสียงของชายชราลอยมาให้ได้ยิน “เป็นเพียงคนโง่คนหนึ่งที่เสียเวลาไปครึ่งชีวิตเพื่อไล่ตามความฝัน ไม่มีค่าให้เอ่ยนามหรอก !”

“คนโง่คนหนึ่งที่เสียเวลาไปครึ่งชีวิตเพื่อไล่ตามความฝันงั้นหรือ ?” ซูเฉินพึมพำเสียงต่ำ “หรือจะเป็น…… เหมือนกับเหมยอิงปู้ลู่เค่อ ?”

ในที่สุดเขาจึงเข้าใจว่าเหตุใดชายชราจึงดุด่าเขาถึงเพียงนั้น

สำหรับคนอย่างชายชรา การที่สาบานเช่นนี้เพื่อสตรีผู้หนึ่งอาจนับเป็นการดูหมิ่นความฝันของเขาอย่างถึงที่สุด

————————————————

ซูเฉินเดินออกจากป่า กลับมายังสถาบันที่มีเหล่าศิษย์เดินไปมาขวักไขว่

หลังจากถูกชายชราก่นด่าเสียยกใหญ่ จิตใจซูเฉินจึงลบเลือนความคิดเกี่ยวกับกู่ชิงลั่วไปได้

หลังจากสงบแรงกระเพื่อมภายในใจตนลงได้ ซูเฉินก็มุ่งหน้าไปยังหอคว้าจันทร์

จีหานเยี่ยนพักอยู่ที่นั่น

หลังจากเดินทางมาถึงหอคว้าจันทร์แล้ว ซูเฉินก็เห็นจีหานเยี่ยนเดินออกมา ตามมาด้วยชายหนุ่มในชุดขาวผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นมีท่าทางนอบน้อม ดูท่าจะอยากพูดคุยกับนางเป็นอย่างมาก

หากแต่ความกระตือรือร้นของเขากลับสูญเปล่า จีหานเยี่ยนไม่สนใจเขาแม้สักเล็กน้อย ทำเพียงเดินตรงต่อไปไม่ใส่ใจ

เมื่อเห็นซูเฉินมาถึง จีหานเยี่ยนก็นัยน์ตาเป็นประกาย ใบหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็งของนางกลับละลายลงเป็นรอยยิ้มหนึ่ง

นางยิ้มเพราะนางรู้ดีว่าเหตุผลที่ซูเฉินมาหานางในตอนนี้ ย่อมหมายถึงเขาสร้างทักษะต้นกำเนิดใหม่ขึ้นมาสำเร็จแล้ว

รอยยิ้มจากนางเป็นปรากฏการณ์ไม่น่าเชื่อสายตา ราวกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ราวกับสายน้ำหวนกลับคืนสู่ขุนเขา

“หานเยี่ยน เจ้า เจ้ายิ้มอย่างนั้นหรือ ? เจ้าคิดกับข้าเช่นนี้ ? หากข้ารู้ข้าคง…”

“เจ้าเสียงดังหนวกหู” จีหานเยี่ยนสะบัดแขนออกไปทีหนึ่ง ตบหน้าชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ จนร่างเขากระเด็นออกไปไกล ก่อนนางจะเดินเข้ามาหาซูเฉินก่อนเอ่ยถาม “สำเร็จไหม ?”

ซูเฉินพยักหน้า

“มาที่ห้องข้า” จีหานเยี่ยนเอ่ยขึ้นในทันที

นางอยากให้ซูเฉินตามนางไปที่ห้องเพราะที่ห้องนางมีห้องฝึก เหมาะสำหรับการสำแดงวิชาและทักษะต้นกำเนิดใหม่โดยเฉพาะ

ชายชุดขาวเพิ่งจะลุกขึ้นยืนได้ เมื่อได้ยินคำนั้นของนางเขาก็เกือบเซล้มลงไปกับพื้นอีกครา

เขามองภาพจีหานเยี่ยนที่เดินดึงซูเฉินให้เดินตามนางไปไม่อยากเชื่อสายตา สุดท้ายจึงเข้าใจว่ารอยยิ้มนั้นของจีหานเยี่ยนไม่ได้ส่งมาให้เขา

เจ้านั่นเป็นใคร ? ทำให้จีหานเยี่ยนเผยยิ้มออกมาได้ ? บนร่างเจ้านั่นไร้กลิ่นเลือด เป็นคนธรรมดาแท้ ๆ !

ชายชุดขาวไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

จีหานเยี่ยนตบเขาเพื่อคนธรรมดาคนหนึ่งหรือ ? กระทั่งดึงคนธรรมดาผู้นั้นไปห้องกับนางด้วย ?

เขาจึงอดร้องเสียงดังขึ้นไม่ได้ “หยุดอยู่ตรงนั้น !”

ซูเฉินขมวดคิ้ว ดูท่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเจตนาของจีหานเยี่ยนผิดไป

เขากำลังคิดจะเปิดปากอธิบาย หากแต่คิ้วบางของจีหานเยี่ยนกลับโก่งขึ้น ไอแข็งรายล้อมร่างนางในทันที

ซูเฉินสัมผัสได้ว่าเรื่องเลวร้ายกำลังจะบังเกิด

พริบตาต่อมา จีหานเยี่ยนก็หันกลับไปส่งหนึ่งฝ่ามือเข้าใส่ชายหนุ่มในชุดขาว

คลื่นพลังเยือกแข็งทะยานเข้าหาร่างชายหนุ่ม ปกคลุมร่างชายหนุ่มจนกลายเป็นน้ำแข็ง