บทที่ 8 เป้าหมาย
กู่ชิงลั่วกำลังนั่งอยู่ในมุมหนึ่งใกล้หน้าต่าง นางถือตำราเล่มหนึ่งไว้ในมือ กำลังอ่านอย่างตั้งใจ
หัวคิ้วนางขมวดเป็นปมเล็ก ๆ ราวกับกำลังไขปัญหาบางอย่าง มุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับตำราตรงหน้า
แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ส่องล้อร่างนางแผ่ออกมาเป็นแสงจ้า
“ชิงลั่ว !”
เสียงเรียกนั้นเบาบางนัก แต่กลับสามารถปลุกความทรงจำของหญิงสาวที่อยู่ในจิตใจเขาขึ้นมาได้ราวกับสายฟ้าฟาด
กู่ชิงลั่วชะงักไป
นางละสายตาจากตำราในมือก่อนจะหันมามองซูเฉิน ทั้งสองคนสบตากัน เวลาโดยรอบพากันเดินช้าลง
ซูเฉินมองกู่ชิงลั่วตาไม่กะพริบ กู่ชิงลั่วเองก็มองเขา ทั้งสองคนจ้องตากันโดยไร้คำพูดใด
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กู่ชิงลั่วจึงยิ้มบางออกมา “เจ้ามาแล้ว”
การทักทายเรียบง่ายของนายทำให้จิตใจซูเฉินพลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อน หากแต่ใบหน้าเขากลับไม่เปลี่ยน “อืม เจ้าก็เหมือนกัน”
กู่ชิงลั่ววางตำราลง “ข้านับเป็นคนจากหลงซี จึงต้องไปเข้าร่วมการสอบที่นั่น”
“เจ้าจึงรีบร้อนออกจากหลินเป่ยไปเพื่อไปสอบในเขตตนเองงั้นหรือ ?” ซูเฉินถามราวกับระหว่างทั้งสองคนไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
เขาทำท่าราวกับว่าการจากไปของกู่ชิงลั่วเป็นเพียงควันกลุ่มหนึ่ง
คนหนุ่มสาวมักใจร้อน แม้จะเห็นคนที่ตนรักอยู่ตรงหน้าแต่ก็ยังหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอง
“ใช่แล้ว” กู่ชิงลั่วก้มหน้าลง ตอบเสียงเบาออกมา “โชคไม่ดีที่ข้ารีบนัก ดังนั้นจึงไม่มีเวลาบอกเจ้า ขอโทษด้วย”
ในใจซูเฉินพลันรู้สึกถึงความโกรธพลุ่งพล่าน “ข้าไม่เห็นรู้ว่าเจ้ารีบร้อนจะไปสอบมากถึงเพียงนั้น”
คนอื่น ๆ ในหอตำราได้ยินทั้งสองคนคุยกัน จึงพากันตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ บางคนกระทั่งส่งเสียง ชู่ โกรธ ๆ ออกมา
กู่ชิงลั่วถอนหายใจ วางตำราในมือลง นางรู้ว่าวันนี้คงอ่านตำราเล่มนี้ไม่จบเป็นแน่
กู่ชิงลั่วเก็บหนังสือกลับที่เดิม “ข้าอยากไปเดินเล่นเสียหน่อย เจ้ามากับข้าหน่อยไหม ?”
ซูเฉินนิ่งเงียบ เดินตามกู่ชิงลั่วออกจากหอตำราไป
ทั้งสองคนเดินไปตามทาง สองฝั่งฟากมีต้นไม้ประปราย ก่อนที่กู่ชิงลั่วจะพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “ครั้งก่อนข้ารีบร้อนจากไป ไม่ได้บอกเจ้าก่อน ข้าไม่ควรทำเช่นนั้น ดังนั้นข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”
ซูเฉินรู้สึกโกรธ เขาพูดตอบโต้ไปว่า “เจ้ารู้ว่านั่นไม่ใช่คำที่ข้าอยากได้ยิน”
“เจ้าอยากรู้ว่าเหตุใดข้าจึงเร่งร้อนจากไปใช่หรือไม่ ?” กู่ชิงลั่วยิ้มบางออกมา นางหยุดไปพักหนึ่ง “เพราะระหว่างข้ากับเจ้ามันเป็นไปไม่ได้”
“เพราะเหตุใด ?”
“เจ้ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว เจ้าเพียงไม่อยากยอมรับมันก็เท่านั้น”
ซูเฉินรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ “เป็นเพราะพื้นฐานตระกูลข้างั้นหรือ ?”
กู่ชิงลั่วเผยรอยิ้มสว่างไสวงดงามออกมา “เห็นหรือไม่ เจ้ารู้ดีว่าเราคู่กันไม่ได้ เจ้าควรเข้าใจความต่างระหว่างตระกูลสายเลือดชั้นสูงและตระกูลไร้สายเลือดดีโดยที่ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ฟัง ใช่หรือไม่ ?”
ซูเฉินย่อมต้องเข้าใจ !
เด็กหนุ่มเข้าใจตั้งแต่การสอบที่มณฑลสามเทือกเขาแล้ว
ความต่างระหว่างตระกูลสายเลือดชั้นสูงและตระกูลไร้สายเลือดนั้นก็เหมือนกับความต่างระหว่างซูเฉินและข้ารับใช้ในตระกูล
ความต่างนี้ถูกสร้างขึ้นมาหลายพันปีโดยตระกูลสายเลือดชั้นสูง ไม่ใช่ด้วยความชื่นชอบส่วนตัวของบุคคลใด
เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือด ตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะแต่งงานกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงด้วยกันเท่านั้น
มีอยู่บ้างที่จะมีการแต่งงานระหว่างผู้ที่มีสายเลือดกับผู้ไร้สายเลือด แต่เกิดขึ้นน้อยนัก อีกทั้งยังสำเร็จได้น้อยมากด้วย การแต่งงานระหว่างคู่เช่นนี้จะถูกมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงอื่น ๆ
นอกจากความรักของซูเฉิน และกู่ชิงลั่วนั้นจะแตกต่างกันเรื่องสถานะแล้ว มันยังไม่ถูกต้องตามหลักสังคมอีก ดังนั้นกู่ชิงลั่วจึงปฏิเสธเขา
อีกทั้งนางไม่ได้ทำแบบหักหน้าเขา นางเลือกที่จะทำเพียงจากไปแทน
ซูเฉินเคยละเมอเพ้อพกมาก่อน คิดว่าความรักสามารถเอาชนะสถานะและชนชั้นทางสังคมได้ ฝันว่ากู่ชิงลั่วคงจะจากไปด้วยเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ทว่ายามที่เขาได้พบกู่ชิงลั่วอีกครา ยามได้ยินคำอธิบายของนาง ความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายได้ก็พลันทิ่มแทงอยู่ภายในจิตใจ
ความจริงเรียบง่ายเช่นนี้เลยงั้นหรือ ?
เป็นเรื่องจริงแล้วใช่หรือไม่ ?
สุดท้ายคนสองคนยังไม่ทันได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กันสักครา เขาจะขอให้นางยอมทอดทิ้งทุกอย่างที่มีเพื่อเขาได้อย่างไร ?
ซูเฉินรู้ว่าไม่อาจโทษกู่ชิงลั่วได้ แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้ความเจ็บปวดในใจบรรเทาลงแม้แต่น้อย
ซูเฉินพยายามกดความเจ็บปวดไว้ภายในใจ ภายนอกส่งยิ้มบางออกมา “ข้าย่อมต้องเข้าใจ ข้าเพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ ไปเท่านั้นว่าจะสามารถเอื้อมคว้าดอกฟ้าได้ สตรีเช่นเจ้า ได้ทำความรู้จักคบเป็นสหายก็ดีเกินพอแล้ว แต่ข้ากลับอยากได้มากกว่านั้น ข้านี่มัน……”
ซูเฉินยกมือขึ้นเกาหัว “แต่หากเจ้าไม่เต็มใจ เหตุใดจึงไม่บอกกับข้าเล่า ? เจ้าไม่ทิ้งข้อความใดไว้ ไม่บอกว่าเจ้าจะมาที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นด้วยซ้ำ เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่ยอมแพ้งั้นหรือ ? กลัวว่าข้าจะตามเจ้ามา ทำตัวเป็นปัญหาให้เจ้าใช่หรือไม่ ?”
กู่ชิงลั่วก้มหน้าลง “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ ไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อเจ้าปฏิเสธข้า ข้าก็จะไม่ไปรบกวนเจ้าอีก” ซูเฉินหัวเราะ “เช่นนั้นเรายังเป็นสหายกันได้ใช่หรือไม่ ?”
กู่ชิงลั่วพยักหน้า “ย่อมสามารถทำได้”
ซูเฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะเบา ๆ ออกมา “ใช่แล้ว เจ้าได้อันดับที่เท่าไหร่ในเขตหรือ ?”
กู่ชิงลั่วส่ายหัว “ข้าทำได้ไม่ดีเท่าเจ้า ได้เพียงอันดับที่ 12”
“12 หรือ ? น่าเสียดาย เกือบติดหนึ่งในสิบแล้วแท้ ๆ แต่สายเลือดตระกูลกู่ก็แข็งแกร่งมาก อีกทั้งเจ้ายังมีความสามารถ เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้นได้อีกมากแน่”
“ขอบใจมาก”
ทั้งสองเดินไปพูดคุยไป หากแต่น้ำเสียงกลับสุภาพและเหินห่างนัก
หลังจากเดินคุยต่อไปได้อีกหน่อย ซูเฉินก็เอ่ยขึ้น “สวรรค์ ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องให้ต้องไปจัดการ ข้าขอตัวก่อน วันนี้ข้าดีใจนักที่ได้พบเจ้า ! เอาไว้ต่อไปก็ติดต่อหากันดีหรือไม่ ?”
“อืม” กู่ชิงลั่วตอบเสียงเบา
จากนั้นทั้งสองคนจึงบอกลากัน
กู่ชิงลั่วมองเงาร่างที่กำลังเดินจากไปของเขา น้ำตาค่อย ๆ ไหลรินลงข้างแก้ม เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้น “ข้าขอโทษด้วยซูเฉิน ข้าไม่อยากให้เจ้าตาย……”
หลังจากเดินออกห่างจากกู่ชิงลั่วแล้ว ซูเฉินก็พุ่งเข้าไปในป่าที่อยู่ไม่ไกลนัก
ฝีเท้าเขาก้าวรวดเร็วราวกับว่ากำลังถูกบางอย่างไล่ล่าติดตามมา
สองเท้าของเด็กหนุ่มก้าวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็กลายเป็นออกวิ่งอย่างเต็มกำลัง
เขากระโดดพุ่งตัวไปในป่ากว้าง ไม่สนใจสิ่งที่ขวางทาง โค่นต้นไม่ไปหลายต้นจนกระทั่งไร้เรี่ยวแรง เขาเอนหลังพิงหินใหญ่ก้อนหนึ่งจากนั้นร้องตะโกนออกมา
น้ำตาหลั่งไหลนองหน้า เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด หมดสิ้นแล้วท่าทางที่เคยฝืนกดไว้
ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่เขาพยายามรวบรวมไว้สลายไป เหลือเพียงความเจ็บปวดที่กัดกินทั่วร่าง รู้สึกราวกับในใจกำลังถูกเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มแทง
ซูเฉินปลดปล่อยความอ่อนแอภายในใจออกมาจนสิ้น
หลังจากเวลาผ่านพ้นไป ความโศกเศร้าก็เริ่มจางลง ความสงบเยือกเย็นเริ่มกลับคืนมา
เขาปาดน้ำตาที่แก้มตนออกก่อนลุกขึ้น
ซูเฉินสูดหายใจเข้าลึก ขัดเสื้อคลุมตนเองใหม่ จากนั้นเอ่ยพึมพำกันตนเอง “เอาล่ะ เลิกร้องไห้ทำตัวอ่อนแอเสีย ได้เวลาตั้งสติใหม่แล้ว”
“แต่ก่อน ข้าเพียงหวังจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงต้องการความแข็งแกร่งนั้นมาครอบครอง”
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้วว่าจะเลือกเดินไปยังหนทางเช่นไร !”
“สายเลือดบัดซบอะไรกัน ? อย่างไรก็เป็นเพียงมนุษย์กลายพันธุ์ ! ศัตรูของเผ่ามนุษย์คือพวกเผ่าสัตว์อสูรที่ชั่วร้าย หากเราพึ่งพาเพียงสายเลือดเพื่อนำมาซึ่งความแข็งแกร่งย่อมไม่อาจเอาชนะเผ่าสัตว์อสูรได้ !”
“ข้าจะเอาชนะสายเลือดเหล่านี้ สร้างวิธีการบ่มเพาะพลังของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาเสียใหม่ ต่อไปมนุษย์จะไม่ต้องพึ่งพาสายเลือดในการบ่มเพาะพลังอีก ข้าจะทำให้เผ่ามนุษย์โดดเด่นรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง !”
“ข้าจะสร้างบัลลังก์ให้เผ่ามนุษย์ที่จะเหนือกว่าสายเลือดไหน ๆ !”
ซูเฉินประกาศเป้าหมายชีวิตตนออกมา
หลังเขาพูดจบ เสียงชายชราผู้หนึ่งก็ดังเข้าหูเขา “ไร้สาระสิ้นดี ! มีเพียงคนเสียสติเท่านั้นที่จะเอ่ยเช่นนี้ออกมาได้ !”