ภาคที่ 2 บทที่ 7 พบอีกครั้ง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 7 พบอีกครั้ง

 

 

หลังจากเอาชนะห้องแรกมาได้ มิติมายาก็สลายหายไป ซูเฉินพบว่าตนยืนอยู่ในห้องที่ล้อมรอบไปด้วยค่ายกลพลังต้นกำเนิด ที่อีกฝั่งหนึ่งมีประตูอีกบาน เมื่อผลักมันเปิดออก เด็กหนุ่มก็พบว่าตนเองกลับออกมาที่ห้องโถงใหญ่ข้างนอกแล้ว

 

 

ศิษย์ผู้ช่วยตัวผอมนัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้าผ่านระดับแรกแล้วหรือ ? ไม่เลว”

 

 

“ข้าเพียงแต่โชคดีเท่านั้น” ซูเฉินตอบเสียงไร้อารมณ์ จากนั้นดึงป้ายประจำตัวออกมา การเอาชนะห้องแรกนั้นจะได้รับ 25 คะแนนอุทิศ

 

 

“อย่างไรเล่า ลองห้องที่สองหน่อยหรือไม่ ? หากเจ้าสามารถผ่านไป จะได้ 50 คะแนนอุทิศเชียวนะ” ศิษย์ผู้ช่วยแนะซูเฉิน ท่าทางมีเจตนาไม่ดีเท่าไหร่

 

 

“ตกลง !” ซูเฉินตกลงโดยง่าย

 

 

เมื่อเห็นซูเฉินเดินเข้าประตูบานที่สองไป ศิษย์ผู้ช่วยตัวผอมก็หัวเราะเยาะออกมา “หลอกมาได้อีกคนแล้ว”

 

 

เขาทำงานอยู่ที่นี่มานาน รู้นอกออกในเป็นอย่างดี

 

 

ห้องแรกเป็นห้องที่ผ่านง่ายที่สุด เป็นห้องที่มีไว้เพื่อให้เหล่าศิษย์ได้ปรับตัวและมอบคะแนนอุทิศให้ หากเฉลียวฉลาดมากพอ ก็จะสามารถประมาณกำลังตนในห้องที่สองได้ สามารถคิดคำนวณได้ว่าตนเองสามารถผ่านห้องที่สองไปได้หรือไม่

 

 

ส่วนมากศิษย์ใหม่จะสามารถผ่านห้องแรกไปได้โดยง่าย เมื่อมีคะแนนอยู่กับตัว 25 คะแนนแล้วก็จะต้องผ่านไปยังห้องต่อไปซึ่งยากมากขึ้น

 

 

ผู้ช่วยศิษย์ร่างผอมสัมผัสไวนัก เขาสัมผัสได้ทันทีว่าซูเฉินไร้กลิ่นอายของคนที่มีสายเลือด ดังนั้นคงจะเป็นศิษย์ธรรมดา เพิ่งเข้าสถาบันมาเพียงไม่กี่เดือนแล้วเข้าไปทดสอบในห้องที่สองเลยเช่นนี้ ผลออกมาย่อมมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ล้มเหลว

 

 

นั่นเป็นผลลัพธ์ที่ศิษย์ตัวผอมคิดไว้

 

 

เขาอยู่ที่นี่มาตลอด ดูศิษย์คนแล้วคนเล่าผ่านไปและผ่านมา สิ่งที่เขาชอบที่สุดคือการเห็นศิษย์เดินเข้ามาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก่อนจะกลับออกไปอย่างพ่ายแพ้ เมื่อเห็นคนอื่นล้มเหลวแล้วเขาก็รู้สึกมีความสุขนัก

 

 

การเห็นคนอื่นล้มเหลวเช่นนี้ทำให้เขาพึงพอใจมาก แท้จริงแล้วความยินดีที่มาจากความโชคร้ายของผู้อื่นเช่นนี้ ผู้ที่ประสบพบเจอกับความล้มเหลวมาก่อนมักจะมีความคิดเห็นเช่นนี้เสียมาก

 

 

หากแต่รอยยิ้มบนใบหน้าเขาพลันเลือนหายไปเมื่อแสงสีเขียวเปล่งขึ้นเหนือบานประตูที่สอง เขายืนจ้องภาพนั่นด้วยความมึนงง สำเร็จงั้นหรือ ? เขาทำได้จริงหรือ ?

 

 

พอซูเฉินเดินออกมา คะแนนอุทิศ 50 คะแนนก็ถูกเพิ่มเข้าป้ายประจำตัวในมือเขา

 

 

“ไม่เลวนี่เจ้าหนู !” ผู้ช่วยศิษย์ร่างผอมรีบเก็บท่าทางตกใจตน ทำทีเป็นแสดงความยินดีกับซูเฉินอย่างจริงใจ “จะเข้าห้องที่สามเลยหรือไม่ ? ในหมู่ศิษย์ชั้นปีหนึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ผ่านไปได้”

 

 

“อืม” ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าจะลองดู”

 

 

สวรรค์ เจ้าพูดจริงหรือไม่ ?

 

 

ศิษย์ผู้ช่วยร่างผอมหัวเราะอยู่ในใจ เจ้านี่ไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย

 

 

ประตูทุกสองบานเทียบเท่ากับเวลาหนึ่งปีในสถาบัน อย่างน้อยสถาบันมังกรซ่อนเร้นก็วางรูปแบบไว้เช่นนั้น

 

 

หรือก็คือการที่ศิษย์ปีหนึ่งสามารถผ่านประตูสองบานมาได้เช่นนี้นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ประตูบานที่สามถูกออกแบบมาให้ศิษย์ชั้นปีสอง มีเพียงเด็กระดับต้น ๆ ของชั้นปีแรกเท่านั้นที่จะสามารถผ่านมันไปได้

 

 

คะแนนอุทิศที่ได้รับจะเป็นไปเช่นนี้ หากเขาสามารถผ่านประตูไปก่อนเวลากำหนดได้ ก็จะได้คะแนนมากขึ้น แต่หากไม่สามารถผ่านประตูภายในเวลากำหนดก็จะได้คะแนนน้อยลง

 

 

มีเพียงเหล่าหน่ออ่อนเท่านั้นที่จะสามารถผ่านประตูไปก่อนกำหนดเวลาได้ แน่นอนว่าเจ้าคนไร้สายเลือดที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้ไม่มีทางเก่งเทียมคนเหล่านั้น

 

 

ประตูบานที่สาม หึ…… ข้าจะรอดูความล้มเหลวของเจ้า

 

 

ศิษย์ร่างผอมแห้งผู้นั้นหัวเราะเสียงเย็นอยู่ภายในใจ

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น

 

 

ประตูทองแดงก็เปิดออก เหนือบานประตูมีแสงสีเขียวส่องเรืองอยู่ ผู้ช่วยศิษย์ร่างผอมแห้งตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

 

 

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เจ้านี่สามารถผ่านห้องที่สามไปได้งั้นหรือ !

 

 

หากเรื่องที่ศิษย์ชั้นปีที่หนึ่งซึ่งไร้สายเลือดสามารถผ่านประตูบานที่สามไปได้หลังจากเข้าสถาบันมาเพียงไม่กี่เดือนหลุดออกไปละก็ หลาย ๆ คนคงตกใจจนฟันร่วงกันเป็นแถบแน่ !

 

 

แต่เห็นได้ชัดว่าซูเฉินไม่ได้มีท่าทางผ่อนคลายเช่นประตูบานก่อน ๆ

 

 

สามารถเห็นร่องรอยของความเหนื่อยล้าบนใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน ที่หน้าผากเด็กหนุ่มในขณะนี้มีเหงื่อผุดขึ้นมาหลายเม็ด

 

 

หากแต่เขาก็มีความสุขยิ่งนัก เพราะห้องที่สามให้คะแนนเขามาถึง 100 คะแนนอุทิศ !

 

 

หากสามารถผ่านประตูบานที่สี่ไปได้ตอนนี้จะได้คะแนนเท่าไหร่กัน ?

 

 

แต่แค่ห้องที่สามก็ทำให้เขาต้องงัดวิชาออกมาใช้จนเกือบหมดแล้ว เขาถึงขนาดจำเป็นต้องใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายและกระสุนพลังต้นกำเนิด ในเมื่อเขาไม่มั่นใจว่าจะผ่านห้องที่สี่ไปได้จึงล้มเลิกความคิดไป

 

 

แต่กระนั้น ซูเฉินก็ยังเอ่ยถามศิษย์ผู้ช่วยร่างผอมขึ้น “ในเหล่าศิษย์ชั้นปีหนึ่ง มีกี่คนที่สามารถผ่านห้องที่สามไปได้แล้วบ้าง ?”

 

 

อาจเพราะซูเฉินสามารถตะลุยผ่านประตูสามบานได้ติดต่อกัน น้ำเสียงของศิษย์ผู้ช่วยร่างผอมจึงเจือแววนับถือ เขาเหลือบไปมองสมุดบันทึกรายชื่อ จากนั้นเอ่ยตอบ “จนถึงตอนนี้มีทั้งหมด 84 คน รวมเจ้าด้วย”

 

 

มี 84 คนงั้นหรือ ?

 

 

ยังไม่รวมผู้ที่มีความสามารถแต่ยังไม่ได้มาลองฝีมือด้วยซ้ำ

 

 

แน่นอนว่าในสถาบันแห่งนี้มีผู้เยี่ยมยุทธ์อยู่มากแม้แต่กระทั่งศิษย์ชั้นปีที่หนึ่ง

 

 

“แล้วมีใครที่สามารถผ่านห้องที่สี่ไปได้หรือไม่ ?” ซูเฉินถาม

 

 

ศิษย์ผู้ช่วยร่างผอมพลิกสมุดบันทึกรายชื่อดูก่อนตอบ “5 คน”

 

 

มีคน 5 คนสามารถผ่านไปได้แล้วงั้นหรือ ?

 

 

“บอกได้ไหมว่าเขาเป็นใคร ?” ซูเฉินสอบถาม

 

 

ศิษย์ผู้ช่วยร่างผอมตอบ “ 2 คนปกปิดตัวตน อีก 3 ไม่ พวกเขาคือเจียงซีสุ่ย เยว่หลงซา และจีหานเยี่ยน”

 

 

จีหานเยี่ยนคือหนึ่งในนั้น

 

 

ไม่แปลกนักหากคำนวณจากฝีมือของนาง

 

 

ห้องที่สี่อาจจะยังไม่ใช่จุดที่นางไปได้สุดด้วยซ้ำ อย่างไรจีหานเยี่ยนก็สามารถประมือกับพานเฮ่าได้อย่างสูสี ดังนั้นว่ากันตามหลักแล้วนางควรจะสามารถผ่านไปได้ถึงห้องที่ห้า ที่นางยังไม่ทำอาจเพราะนางต้องการคิดให้ถี่ถ้วนรอบคอบเท่านั้น

 

 

ส่วนเจียงซีสุ่ยหรือเยว่หลงซานั้นเป็นใครเขาไม่รู้จัก

 

 

ศิษย์ผู้ช่วยร่างผอมเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ในเมื่อสามารถผ่านประตูบานที่สามไปได้ก็สามารถบันทึกชื่อลงไปได้แล้ว เจ้าต้องการ……”

 

 

“ไม่จำเป็น” ซูเฉินส่ายหัวตอบปฏิเสธ

 

 

เขาไม่สนใจเรื่องอันดับมากนัก หลังจากรู้ว่ามีใครสามารถผ่านไปได้แล้วบ้าง ซูเฉินจึงมั่นใจว่าความแข็งแกร่งของตนเองในปัจจุบันคงมีเทียบเท่ากับคันศรไม้จางเซิ่งอันหรืออสูรโลหิตจงติ่งเท่านั้น

 

 

ในระหว่างการสอบที่มณฑลสามเทือกเขา เขาคว้าอันดับที่ 5 มาได้จากการใช้ประโยชน์หลากหลายอย่าง ทว่าในตอนนี้เขาจึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่าเขานั้นเหมาะสมกับอันดับที่ 5 อย่างแท้จริง

 

 

หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนักหากต้องการไล่ตามอัจฉริยะอย่างจีหานเยี่ยน

 

 

แต่ทว่าเด็กหนุ่มไม่ใส่ใจเรื่องนั้นมากนัก เพราะอย่างไรเป้าหมายก็มีไว้เพื่อให้ไล่ตามให้ถึงในสักวันหนึ่ง

 

 

เขาหันไปมองประตูบานที่สี่ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินจากไป

 

 

“แล้วมาใหม่นะ !” น้ำเสียงของผู้ช่วยร่างผอมแห้งเต็มไปด้วยความนับถือ ไร้ซึ่งความเกียจคร้านดังเช่นในตอนแรก

 

 

เขามาที่นี่เพื่อทดสอบทักษะต้นกำเนิดใหม่ของตนเท่านั้น แต่กลับเดินออกมาพร้อมกับคะแนนอุทิศ 170 คะแนน ดังนั้นจึงค่อนข้างพึงพอใจมาก

 

 

ซูเฉินเข้ามายังสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้หลายเดือนแล้ว แม้เขาจะใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ทว่าเขาก็รู้ว่าคะแนนอุทิศนั้นสำคัญมาก หลาย ๆ อย่างในสถาบันจำต้องใช้คะแนนเหล่านี้ หรือก็คือการทำเช่นนี้เป็นการพยายามทำให้เหล่าศิษย์มีความเท่าเทียมกันในระดับหนึ่ง เพราะอย่างไรหากสามารถใช้เงินซื้อทุกอย่างได้ เหล่าศิษย์ที่ร่ำรวยก็จะได้ประโยชน์ไป ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการฝึกฝนของตนเองอย่างแน่นอน

 

 

ดังนั้นการใช้คะแนนอุทิศเป็นสิ่งสำคัญจึงสามารถขีดจุดเริ่มต้นที่ยุติธรรมให้เหล่าศิษย์ได้

 

 

แต่แน่นอนว่าความยุติธรรมที่แท้จริงนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง ตระกูลสายเลือดชั้นสูงอย่างไรก็ได้ประโยชน์มากกว่าผู้อื่น ส่วนพวกไร้สายเลือดก็ไม่อาจหาทางต่อกรพวกเขาได้ ซึ่งความต่างในจุดนี้นั้นไม่สามารถหาสิ่งใดมาทำให้เท่าเทียมได้

 

 

หลังจากได้รับคะแนนอุทิศ 170 คะแนนมาแล้ว และยังมีคะแนนเมื่อก่อนหน้านี้อยู่อีก ซูเฉินจึงตัดสินใจเดินทางไปยังหอตำรา

 

 

อาจเพราะเขาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเผ่าอาร์คาน่ามามาก ความกระหายในความรู้ของซูเฉินจึงมีมากกว่าคนอื่น ๆ

 

 

ทั้งนี้ยังต้องเอ่ยถึงความแตกต่างระหว่างสองเผ่าพันธุ์อีกด้วย

 

 

เผ่าอาร์คาน่าได้ความแข็งแกร่งมาจากมันสมองของตน ปรมาจารย์อาร์คาน่าทั้งหลายต่างเป็นนักปราชญ์ ที่คอยเสาะหาและคลี่คลายความลึกลับในใต้หล้า

 

 

แต่มนุษย์นั้นแตกต่าง พวกเขาให้ความสำคัญกับความรู้ แต่ก็มุ่งเน้นเฉพาะความรู้ที่เกี่ยวพันกับการบ่มเพาะพลังเพียงเท่านั้น ข้อมูลความรู้ทุกชุดต้องเกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะพลัง ทั้งยังต้องมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะพลังของตนเอง ไม่เช่นนั้นก็นับว่าเป็นข้อมูลไร้ค่าไร้ความหมาย

 

 

ความต่างด้านความคิดนี้เกิดจากความแตกต่างด้านร่างกาย เผ่าอาร์คาน่าด้อยกว่าในเรื่องการบ่มเพาะพลัง หากแต่มีจิตใจและมันสมองที่ฉลาดปราดเปรื่อง สามารถเข้าใจความผันแปรของพลังต้นกำเนิดได้ ดังนั้นจึงมีความคิดจะสร้างรูปแบบพลังต้นกำเนิดขึ้นมา เหตุที่เผ่าอื่น ๆ สามารถเรียนและใช้วิชาโบราณอาร์คาน่าได้ เป็นเพราะตัววิชาทั้งหลายส่งผลต่อการไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดในร่าง ไม่เกี่ยวกับความต่างทางเผ่าพันธุ์

 

 

สำหรับมนุษย์แล้ว ยันต์พลังต้นกำเนิดก่อกำเนิดขึ้นบนร่างกายและสามารถส่งผลต่อร่างกายได้เท่านั้น และเมื่อพวกเขาใช้ทักษะต้นกำเนิดจากภายในร่าง มันจึงเป็นวิชาที่สามารถใช้ได้เฉพาะในเผ่ามนุษย์เท่านั้น

 

 

ความแตกต่างระหว่างสองเผ่าพันธุ์ทำให้แต่ละเผ่ามีวิธีการบ่มเพาะพลังแตกต่างกัน

 

 

หากแต่ซูเฉินเป็นคนประหลาด เขามองภาพเป็นทางเดินใหม่แยกออกมาอย่างสิ้นเชิง เป็นทางที่สามารถรวมอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกัน รวมวิชาโบราณอาร์คาน่าและทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยเข้าด้วยกันได้

 

 

มีคนที่เคยเลือกเดินทางนี้มาแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาคือทักษะอาร์คาน่าฉบับปรับปรุง

 

 

นัยน์ตาวิญญาณนับเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดนัก

 

 

หากแต่การเลือกเดินในเส้นทางนี้ จะหาความสำเร็จได้ยากนัก เป็นเพราะมันมีความซับซ้อน อีกทั้งวิชาที่ใช้ในการต่อสู้ได้ดียังมีไม่มาก

 

 

แต่ด้วยกฎแห่งบรูคและนัยน์ตาคู่นี้ของเขาที่สามารถมองเห็นพลังต้นกำเนิดได้ ซูเฉินจึงมีความสามารถในการปรับปรุงทักษะต้นกำเนิดเหล่านั้นให้แข็งแกร่งขึ้นได้

 

 

ในตอนนี้ปัญหาอย่างเดียวของเด็กหนุ่มคือเขาขาดความรู้

 

 

ดังนั้นหอตำราคือสถานที่ที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้

 

 

หลังจากมาถึงที่หอตำราแล้ว เขาก็พบว่าที่นี่เป็นเหมือนกับห้องโถงกลั่นร้อยวิชา ศิษย์เองก็มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่นี่เช่นกัน เมื่อทำงานแล้วจะได้รับคะแนนอุทิศ แม้จะไม่มาก แต่ก็เป็นงานที่ปลอดภัย

 

 

ครั้งนี้ศิษย์ผู้ช่วยคือหญิงสาวหน้ากลมคนหนึ่ง นางรู้ว่าซูเฉินเป็นศิษย์มาใหม่ ดังนั้นจึงอธิบายเกี่ยวกับหอตำราให้ฟัง “ตำราทั้งหมดไม่สามารถนำออกไปได้ สามารถอ่านได้เฉพาะในหอตำราเท่านั้น ครึ่งชั่วยามในหอตำราหักคะแนนอุทิศ 10 คะแนน หากมีสิทธิพิเศษจะรับส่วนลด ขึ้นอยู่กับระดับของสิทธิ์ที่เจ้ามี”

 

 

ซูเฉินเป็นหน่ออ่อนระดับสอง ได้รับสิทธิ์ขั้น 9 ตั้งแต่เริ่ม ดังนั้นครึ่งชั่วยามจึงจ่ายเพียงคะแนนอุทิศ 9 คะแนนเท่านั้น

 

 

“ข้าจะสามารถเพิ่มขั้นสิทธิ์ของข้าได้อย่างไร ?” ซูเฉินถาม

 

 

“สามารถเพิ่มได้ด้วยการทำภารกิจที่ทางสถาบันมอบให้ หรือจะซื้อด้วยคะแนนอุทิศก็ได้เช่นกัน หากจะซื้อสิทธิพิเศษให้ถึงขั้น 9 จะต้องใช้ทั้งหมด 100 คะแนนอุทิศ” หญิงสาวหน้ากลมไม่รู้ว่าซูเฉินมีสิทธิพิเศษอยู่ที่ขั้น 9 แล้ว ดังนั้นจึงอธิบายเพิ่ม

 

 

“หากต้องการเลื่อนจากขั้น 9 ไป 8 เล่า ?”

 

 

“จะใช้ทั้งหมด 150 คะแนน” หญิงสาวหน้ากลมตอบ “แต่สิทธิพิเศษนี้ไม่เพียงใช้ได้ที่หอตำราเท่านั้น ยังสามารถใช้ในสถานที่อื่น ๆ ได้ด้วย”

 

 

ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบป้ายประจำตัวออกมา “เจ้าเพิ่มสิทธิ์ให้ข้าเป็นขั้น 8 ได้หรือไม่ ?”

 

 

แม้จะใช้เพียงเพื่อเข้าหอตำรา การใช้ 150 คะแนนอุทิศเพื่อเพิ่มสิทธิพิเศษก็นับว่าคุ้มค่าสำหรับเขา

 

 

เมื่อเห็นซูเฉินคิดใช้ 150 คะแนนอุทิศเพื่อเพิ่มขั้นสิทธิพิเศษตนเอง หญิงสาวหน้ากลมก็ประหลาดใจมาก

 

 

150 คะแนนอุทิศเป็นจำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังใช้เพื่อได้รับส่วนลดเพียง 1 คะแนนจากการใช้หอตำราครึ่งชั่วยามเท่านั้น นี่หมายความว่าหากต้องการใช้ให้คุ้มค่า เขาจำต้องใช้เวลาอยู่ในหอตำรานานถึง 75 ชั่วยาม และยังต้องใช้คะแนนอุทิศอีก 1200 คะแนน

 

 

หากไม่มีเงินตราก็บอกได้เพียงว่าคนผู้นี้มีความมั่นใจว่าตนจะสามารถทำให้คุ้มค่าได้

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สาวน้อยหน้ากลมก็ส่งนัยน์ตาระยิบระยับให้ซูเฉิน

 

 

การทำงานช่วยเหลือเช่นนี้จะไม่ได้คะแนนอุทิศมากมายนัก นับเป็นเหล่าศิษย์ที่มีฐานะต่ำต้อย พื้นฐานทางบ้านไม่โดดเด่น พละกำลังมีไม่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเสาะหาทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังได้จากวิธีการเรียบง่ายเช่นนี้เท่านั้น ดังนั้นการที่ผู้มีฝีมือสูงส่งเห็นพวกเขาอยู่ในสายตานั้นเป็นดั่งฝัน เป็นสิ่งที่หาได้ยากนัก

 

 

ดังนั้นศิษย์ผู้ช่วยร่างผอมจึงชื่นชมเขานักยามที่ซูเฉินสามารถผ่านห้องที่สามออกมาได้ และตอนนี้หญิงสาวหน้ากลมก็มองเขาด้วยสายตาระยิบระยับเช่นเดียวกัน

 

 

โชคร้ายที่ซูเฉินไม่สนใจนางแม้แต่น้อย

 

 

เขามองข้ามสายตานั้นของหญิงสาวไป หลังจากเพิ่มขั้นสิทธิพิเศษของตนแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปในหอตำราทันที

 

 

เมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปในหอตำรา เงาร่างอันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

 

 

เขารู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม ซูเฉินชะงักค้างไปทันที เท้าราบกับถูกตรึงไว้บนพื้น

 

 

“ชิงลั่ว !”