ภาคที่ 2 บทที่ 6 ผ่านด่าน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 6 ผ่านด่าน

หนึ่งเดือนต่อมา

วันนี้ซูเฉินไม่มีเรียน

เขานั่งอยู่บนเตียง นิ้วมือขยับไปมา ทำท่ากดเส้นสายบางอย่างในอากาศ

แม้จะดูราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นยกเว้นสายลมแผ่วเบาที่พัดมาเล็กน้อยสายหนึ่ง หากแต่ซูเฉินกลับสามารถเห็นตาข่ายแสงส่องสว่างด้วยพลังต้นกำเนิด มันก่อร่างสานตัวขึ้นเป็นตาข่ายจนเต็มพื้นที่ตรงหน้า

เขาหยิบหินแผ่นหนึ่งขึ้นมาโยนใส่ตาข่ายแสงล่องหน มันแยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที ตาข่ายแสงสั่นสะท้านเล็กน้อยแต่ไม่ได้สลายไป

อีกชั่วครู่หนึ่งหลังจากนั้นมันถึงสลายไปเอง

สำเร็จ!

เด็กหนุ่มเผยสีหน้ายินดีออกมา

เขาสามารถสร้างทักษะต้นกำเนิดใหม่นี้ขึ้นมาได้เร็วกว่าที่คิดไว้ ทั้งความเฉียบคมและความทนทานของวิชานี้มีมากกว่าพื้นฐานเดิมของมันมาก อีกทั้งเมื่อรวมวิชาเบือนแสงเข้าไป จึงทำให้ตาเปล่าไม่อาจมองเห็น เป็นการซ่อนตัววิชาที่ยอดเยี่ยม สามารถใช้ทำให้ศัตรูพลาดท่าได้ไม่ยาก

แต่ความคมและความทนทานของตาข่ายก็ไม่ใช่ว่าไร้ขีดจำกัด ทักษะต้นกำเนิดทั้งหลายไม่มีคำว่าที่สุด อย่างไรก็จะมีวิชาที่เยี่ยมยอดกว่าขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ หากแต่พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของซูเฉินในปัจจุบันยังไม่จำเป็นต้องใช้วิชาที่ดีกว่านี้

ไปลองวิชาที่โถงกลั่นวิชาดีกว่า

เขาเป็นเหมือนเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นใหม่ เมื่อได้มาแล้วก็ย่อมต้องอยากลองเล่น !

ที่ผ่านมาเด็กหนุ่มทำการวิเคราะห์รูปแบบพลังต้นกำเนิดมาตลอด ดังนั้นตอนนี้จึงมีความคุ้นเคยกับวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย วิชาตรึงวิญญาณ และกระสุนพลังต้นกำเนิดมากขึ้น เมื่อมีความเชี่ยวชาญในวิชาเหล่านี้เพิ่มขึ้นแล้ว เขาก็รู้สึกว่าพละกำลังของตนต้องเพิ่มขึ้นสูงมากเป็นแน่ ดังนั้นจึงต้องการออกไปทดสอบ

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวซูเฉิน เขาจึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องโถงกลั่นร้อยวิชาของสถาบันมังกรซ่อนเร้นในทันที

สถาบันมังกรซ่อนเร้นมีห้องโถงกลั่นร้อยวิชาไว้เพื่อให้เหล่าศิษย์ได้ทดสอบพลังของตนโดยเฉพาะ

ไม่ว่าใครก็สามารถมาทดสอบพลังของตนว่าเพิ่มขึ้นสูงไปมากเท่าไหร่ได้ที่นี่

ซูเฉินเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เมื่อเดินทางมาถึงเขาก็พบกับห้องโถงขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง

เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ดูโออ่ายิ่งนัก ด้านซ้ายขวามีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของทหารยืนตระหง่านอยู่ 18 นาย แม้จะดูเหมือนเป็นเพียงรูปปั้นรูปหนึ่ง แต่มองดูแล้วน่าจะเป็นหุ่นเชิดปีศาจที่เอาไว้ใช้รักษากฎระเบียบภายในเสียมากกว่า

ในนั้นมีประตูทองแดงอยู่ 20 บาน แต่ละบานมีลายสลักแตกต่างกันไป

ซูเฉินไม่เข้าใจว่าพวกมันมีไว้เพื่อสิ่งใด โชคดีที่มีผู้ช่วยยืนอยู่ ดังนั้นเขาจึงเดินตรงเข้าไปถามในทันที

ศิษย์ผู้ช่วยคนที่เขาเดินเข้าไปหานั้นมีร่างผอมบางเหมือนถั่วฝักยาว หากแต่เขากลับตอบคำถามของซูเฉินด้วยน้ำเสียงกระโชกไปหน่อย “ประตูยี่สิบบานเปรียบได้กับระดับความแข็งแกร่งแต่ละระดับ ศิษย์ใหม่จะเข้าประตูแรกทางด้านซ้ายก่อน หากสามารถกำจัดสิ่งที่อยู่หลังประตูบานแรกได้จึงจะสามารถเปิดประตูบานที่สองได้ อีกทั้งการผ่านประตูแต่ละบานยังได้คะแนนอุทิศ หากสามารถผ่านประตูก็รับคะแนนไปได้ ส่วนคะแนนมีกี่คะแนนนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่เจ้าเข้าไป ยิ่งเข้าไปมากครั้งก็จะยิ่งได้คะแนนอุทิศน้อย”

“เช่นนั้นหากข้าสามารถผ่านประตูแรกในครั้งเดียวก็จะได้คะแนนอุทิศที่สูงที่สุดมา แต่หากเอาชนะในครั้งแรกไม่ได้ก็จะได้คะแนนอุทิศน้อยลง แม้จะผ่านออกมาได้ในภายหลังแต่ก็จะได้คะแนนน้อยลงใช่หรือไม่ ?”

“ถูกต้อง ดังนั้นศิษย์แต่ละคนจำต้องประเมินพลังของตนให้ดี”

“เช่นนั้นข้าบ่มเพาะพลังสักสองสามปีแล้วค่อยเข้ามารับการทดสอบได้หรือไม่ ?” ซูเฉินถาม

“ย่อมสามารถทำได้ หากแต่มีกฎว่ายิ่งศึกษาอยู่ในสถาบันนานเท่าไหร่ยิ่งได้รับคะแนนอุทิศน้อยลงเท่านั้น ประตูแต่ละบ้านมีเวลาจำกัดอยู่ หากเจ้าผ่านประตูหลังกำหนดก็จะได้คะแนนน้อยลง” ศิษย์คนนั้นหัวเราะ “จะเอาเปรียบสถาบันแห่งนี้ไม่ง่ายเลยใช่หรือไม่เล่า ?”

เป็นเช่นนี้นี่เอง !

การจะได้คะแนนอุทิศที่สูงที่สุดมาได้นั้น เขาจำต้องผ่านประตูให้ได้เร็วที่สุด อีกทั้งยังต้องผ่านให้ได้ภายในจำนวนครั้งที่น้อยที่สุด เช่นนี้ทำให้เหล่าศิษย์ไม่เพียงต้องมีพลังกล้าแข็ง แต่ยังต้องสามารถประเมินกำลังตนเองได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

การเข้าใจและสามารถประเมินกำลังตนเองได้นั้นเป็นทักษะการเอาตัวรอดที่สำคัญมาก ไม่เช่นนั้นหากเขาเอาแต่พุ่งเข้าต่อสู้กับอีกฝ่ายโดยไม่รู้ว่าตนจะต้องเจอกับสิ่งใดก็เท่ากับรนหาที่ตาย !

ทางสถาบันตั้งกฎไว้เช่นนี้เพื่อให้เหล่าศิษย์สามารถประเมินพลังของตนเองได้อย่างแม่นยำ

ที่นี่ถูกเรียกว่าห้อง ‘กลั่นร้อยวิชา’ แต่ยิ่งฝึกปรือฝีมือกลับยิ่งได้คะแนนน้อยลง หากต้องเข้าห้องนั้นถึงร้อยครั้งถึงจะสามารถผ่านประตูบานแรกได้ก็คงจะเป็นคนไร้ค่ายิ่งนัก

“แน่ใจหรือว่าจะเข้าไปเลย ? ปกติแล้วที่นี่จะยุ่งวุ่นวายช่วงใกล้จบภาคเรียน เพราะเป็นช่วงสุดท้ายที่จะสามารถผ่านบานประตูภายในปีแรกได้ อีกทั้งยังต้องเสียคะแนนอุทิศในการเข้าห้องอีก”

มีช่องโหว่ให้หาประโยชน์น้อยเหลือเกิน

แต่โชคดีที่ซูเฉินไม่ได้มาที่นี่เพื่อหวังจะหาประโยชน์จากช่องโหว่อันใด

เขาหัวเราะ “ข้าจะเข้าไปตอนนี้เลย”

“ดีมาก ! ข้าชอบคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ !” ผู้ช่วยศิษย์เอ่ยชม “วางป้ายประจำตัวไว้บนบานประตูแล้วเจ้าจะสามารถเข้าไปได้”

ซูเฉินพบว่าบนบานประตูมีช่องเล็ก ๆ อยู่ช่องหนึ่ง

เขาเดินเข้าไปวางป้ายประจำตัวในช่องนั้น ก่อนที่บานประตูจะเปิดออก

เด็กหนุ่มเดินเข้าไป เขามองไม่เห็นสิ่งใด ก่อนที่พริบตาต่อมาจะพบว่าตนยืนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุแห่งหนึ่ง

แม้เขาจะรู้ว่านี่เป็นเพียงภาพมายาที่สร้างขึ้นจากค่ายกล แต่ซูเฉินก็ยังสัมผัสถึงความร้อนระอุที่แผ่เข้าร่างมาอย่างไรเหตุผล

พริบตานั้นเอง ริ้วแสงหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากใต้เท้าทั้งสองข้าง หมายจะตะครุบเขาไว้

เป็นการโจมตีที่ฉับพลันและรุนแรง หากแต่ซูเฉินหลบเลี่ยงมันได้อย่างง่ายดาย เงาดำนั้นโจมตีพลาด มันพลิกตัวกลางอากาศก่อนจะหันมาตะครุบใส่ซูเฉินอีกครา ส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ คือแมวป่าเงาลวง ! อสูรร้ายตนแรกที่ซูเฉินคอยประมือด้วยคือแมวป่าเงาลวง น่าแปลกที่มันเป็นอสูรร้ายตัวแรกที่ซูเฉินได้ประมือที่สถาบันแห่งนี้เช่นกัน

แมวป่าเงาลวงอาศัยอยู่ในป่าทึบไม่ใช่ในทะเลทราย แต่ในเมื่อมันเป็นเพียงภาพมายา ซูเฉินจึงไม่ใส่ใจรายละเอียดเหล่านี้มากนัก

ด้วยกำลังของซูเฉินในตอนนี้ สามารถจัดการแมวป่าเงาลวงได้ไม่ยาก หากแต่เขาเดินทางมาที่นี่เพื่อต้องการลองพลังของทักษะต้นกำเนิดใหม่ในการต่อสู้จริง ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงสร้างตาข่ายลมขึ้นมา

แมวป่าเงาลวงพุ่งเข้ามาราวกับสายฟ้าแลบ ! มันพุ่งผ่านตาข่ายเข้ามาหาเขาอย่างดุดัน !!

ทว่าซูเฉินไม่แม้แต่หลบเจ้าแมวป่า เขาปล่อยให้กรงเล็บแหลมคมเอื้อมเกือบถึงลำคอ หากแต่ทันใดนั้นเอง ร่างของเจ้าแมวป่าก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง และในที่สุดมันก็ร่วงลงกับพื้น

หลังจากแมวป่าสลายหายไปแล้ว กองทหารหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

แม้จะเป็นเพียงทหารที่มีขั้นพลังด่านหลอมกายา แต่ทุกคนล้วนแต่สวมเกราะรบ ในมือมีดาบคม อีกทั้งยังมีกลยุทธ์กลุ่มอีกด้วย

แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะซูเฉินไปได้

เด็กหนุ่มเพียงสร้างตาข่ายลมขึ้นมา และปล่อยให้เหล่าทหารพวกนั้นพุ่งเข้ามาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวคนแล้วคนเล่า

แต่ครั้งนี้ตาข่ายลมไม่ได้ผลดีเช่นครั้งก่อน เกราะเหล็กทำให้คมตาข่ายไม่อาจทำอันตรายใดได้ อีกทั้งน้ำหนักของทหารเหล่านั้นยังกดดันตาข่ายลมเป็นอย่างมาก ดังนั้นมันจึงสลายไปก่อนที่จะทันได้จัดการศัตรู

แต่ถึงกระนั้น เหล่าทหารก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

ซูเฉินถอยออกมา สร้างตาข่ายลมขึ้นอีกครั้ง

ทหารมายาเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้งไม่เกรงกลัวความตาย พวกเขาพุ่งเข้าใส่ตาข่ายลมครั้งแล้วครั้งเล่า

ตาข่ายลมถูกสร้างขึ้นอีก เหล่าทหารเองก็พุ่งเข้ามาอีก

ซูเฉินต้องสร้างตาข่ายลมขึ้นถึง 5 ครั้งจนสามารถจัดการทหารได้ทั้งหมด

และหลังจากเหล่าทหารหายไป นกฝูงใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้น

เมื่อซูเฉินเห็นนกพวกนั้น เขาก็ยินดียิ่ง

ตาข่ายลมใช้ต่อกรกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ได้ดีที่สุด

ซูเฉินใช้ตาข่ายลมเพียงครั้งเดียวก็สามารถจัดการพวกนกทั้งหมดได้ เขาลองทักษะต้นกำเนิดใหม่ ใช้มันกับศัตรูหลากหลายและในสถานการณ์ที่หลากหลาย

ต้องมีการทดลองใช้หลายรอบจึงจะถือได้ว่าทักษะต้นกำเนิดนั้นดีหรือไม่ ในระหว่างนี้ ซูเฉินก็รับรู้ได้ถึงข้อด้อยข้อหนึ่งที่ทำให้รู้ว่าเขานั้นไม่อาจใช้วิชานี้ได้ในทันที หากแต่ต้องรอจังหวะที่พอเหมาะพอควรจึงใช้ออก

เด็กหนุ่มจดจำผลทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดต่อไป

ไม่มีทักษะต้นกำเนิดใดที่แข็งแกร่งจนไม่อาจทำลายลงได้ และไม่มีทักษะต้นกำเนิดใดที่ไม่สามารถพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นได้เช่นเดียวกัน

จะมีก็แต่ความไม่พอใจที่จะสามารถนำพาไปสู่การพัฒนาให้ดีขึ้นไปได้เท่านั้น !

หลังจากลองวิชามาระยะหนึ่งแล้ว ซูเฉินก็พบว่าไม่มีคู่ต่อสู้ใดปรากฏตัวขึ้นมาอีก

เขาจึงรู้ว่าเขาผ่านประตูบานแรกมาได้แล้ว !