ภาคที่ 2 บทที่ 5 ตาข่าย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 5 ตาข่าย

 

 

เมื่อจบชั้นเรียนยันต์พลังต้นกำเนิด ต่อไปก็เป็นวิชาปรุงยา ตามมาด้วยวิชาทักษะการดูดซับเบื้องต้น วิชาธาตุพลังต้นกำเนิด วิชาสมุนไพร และวิชาอื่น ๆ

 

 

ซูเฉินตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นนักปรุงยา ดังนั้นจึงเริ่มเรียนตามแนวทางนั้นอย่างดุเดือด

 

 

เขาเข้าเรียนหลากหลายวิชานับไม่ถ้วนในแต่ละวัน ดูดซับข้อมูลทุกอย่างราวกับฟองน้ำแห้งเจอน้ำ พอตกกลางคืนเด็กหนุ่มก็กลับห้องตนเอง ฝึกบ่มเพาะพลังต้นกำเนิดและศึกษาวิชาโบราณอาร์คาน่าเพิ่มเติม

 

 

สถาบันมังกรซ่อนเร้นมีตำราวิชาโบราณอาร์คาน่าอยู่มากมาย แต่กลับไม่เปิดสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งยังมีข้อมูลของเผ่านี้อยู่น้อยมาก เรื่องเช่นนี้ไม่น่าแปลกใจมากนัก อย่างไรวิชาโบราณที่ไม่มีใครใช้ก็กลายเป็นสิ่งไม่สำคัญไปแล้ว

 

 

แม้จะไม่อาจทำงานที่ได้รับมาทั้งหมด หากแต่ซูเฉินก็ยังได้ทำการทดลองมากมายนับไม่ถ้วน

 

 

เขาทำการทดลองยาและทดลองสายเลือดมากมายโดยใช้กฎแห่งบรูคเพื่อสร้างทักษะต้นกำเนิดใหม่ออกมา

 

 

เพื่อให้มีเวลามากขึ้น ตอนกลางวันซูเฉินจึงหยุดการบ่มเพาะพลังไป

 

 

การทำเช่นนี้ส่งผลให้พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของซูเฉินหยุดชะงัก แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ

 

 

ด้วยนัยน์ตาที่สามารถเห็นพลังต้นกำเนิดได้ เขาสามารถเร่งเอาเวลาตรงนั้นกลับมาด้วยการสังหารเหล่าอสูรร้ายได้ ส่วนข้อมูลล้ำค่าที่ตอนนี้มีอยู่รอบกายนั้นสำคัญกับเขามากกว่านัก

 

 

เวลาสามเดือนแรกของซูเฉินในสถาบันมังกรซ่อนเร้นผ่านไปอย่างสงบสุข เขาใช้เวลาที่มีทั้งหมดไปกับการตั้งใจศึกษาและค้นคว้า

 

 

เป็นช่วงเวลาที่เขายุ่งวุ่นวายมากที่สุดแต่ก็มีคุณค่าที่สุดเช่นกัน เขาจมอยู่กับการศึกษาค้นคว้า บ่มเพาะพลัง และการทดลองต่าง ๆ ชีวิตเขาดูเรียบง่ายน่าเบื่อ แต่เขากลับมีความสุขมาก

 

 

ความตื่นเต้นนี้ได้มาจากข้อมูลอันมีค่าต่าง ๆ ที่เขาได้เรียนรู้ ซึ่งสามารถนำมาใช้เสริมความแข็งแกร่งของตนเองได้

 

 

วันนี้ก็เป็นเหมือนกับวันอื่น ๆ หลังจากเลิกเรียนแล้ว ซูเฉินก็กลับมาที่ห้อง เริ่มนั่งสรุปข้อมูลจากกฎแห่งบรูค

 

 

เขาใช้ตำรากฎแห่งบรูคเพื่อคำนวณหาวิธีรวมเศษยันต์พลังต้นกำเนิด

 

 

กฎแห่งบรูคนั้นทรงพลังมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันสามารถทำได้ทุกอย่าง เพราะเด็กหนุ่มไม่อาจใช้กฎนี้สร้างทักษะต้นกำเนิดที่ต้องการขึ้นมาได้ แท้จริงแล้วกฎนี้เป็นเหมือนกับเครื่องคิดคำนวณที่ทำให้สามารถคำนวณปฏิกิริยาและผลที่เกิดจากการรวมเศษยันต์พลังต้นกำเนิดต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วเท่านั้น

 

 

เมื่อมีตัวช่วยคำนวณเช่นนี้ แต่ไร้ตัวอย่าง เขาจึงต้องทำการทดสอบที่แสนซับซ้อนมากมายนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อสร้างทักษะต้นกำเนิดขึ้นมา

 

 

หลังจากมุมานะค้นคว้ามาถึงสองเดือน ซูเฉินก็เริ่มมีความหวังจากการคำนวณด้วยกฎแห่งบรูค

 

 

นิ้วมือเขาขยับไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังดีดสายกู่ฉินล่องหน ริ้วแสงสีแดงดีดออกมาจากมือ เป็นริ้วแสงที่แผ่ไอความร้อนออกมา ปรากฏเป็นตาข่ายเพลิงยักษ์อยู่บนอากาศ

 

 

เขาลองหยิบทองคำบริสุทธิ์ก้อนหนึ่งโยนใส่ตาข่ายเพลิง ทองคำก้อนนั้นทะลุผ่านไปราวกับไม่มีสิ่งใดอยู่ตรงนั้น

 

 

แต่หลังจากมันผ่านตาข่ายเพลิงไปแล้ว ทองคำก็แยกส่วนออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะร่วงลงสู่พื้น แต่ละชิ้นตรงขอบละลายไปเล็กน้อย

 

 

ตาข่ายเพลิงสั่นสะท้าน ก่อนที่มันจะจางหายไป

 

 

“นี่คือทักษะต้นกำเนิดใหม่ที่เจ้าสร้างขึ้นจากฝ่ามือกรีดกรายฉินหรือ?” น้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง

 

 

ซูเฉินตกใจตัวโยน เขาหันมา พบว่าจีหานเยี่ยนยืนอยู่ในห้องตน

 

 

“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ?” ซูเฉินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

 

 

ห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวของเขา ทางสถาบันได้วางเวทจำกัดไว้ แล้วสตรีผู้นี้บุกเข้ามาได้อย่างไร ?

 

 

“ลืมไปแล้วหรือว่าอาจารย์ส่วนตัวของข้าเป็นใคร ?” จีหานเยี่ยนตอบอย่างไม่ใส่ใจ นางก้มลงหยิบเศษทองบนพื้นขึ้นมาตรวจสอบโดยละเอียด

 

 

ซูเฉินรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง

 

 

มีคนไม่มากนักที่จะใช้อำนาจในมือตนไปกับเรื่องผิดเช่นนี้ได้เท่านาง ใครจะไปรู้ว่าอาจารย์ส่วนตัวของนางกลับทนนางได้

 

 

จีหานเยี่ยนเอ่ย “เจ้าทำงานเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก แต่นี่ดูไม่เหมือนระเบิดเพลิงปักษาแล้วกระมัง ?”

 

 

“ถูกต้อง อย่างไรฝ่ามือกรีดกรายฉินก็ไม่ใช่ฝ่ามือดอกไม้บิน ข้าทดสอบดูหลายครั้งแล้ว แต่ผลยังออกมาไม่เป็นที่พึงพอใจนัก…… เรียกได้ว่าล้มเหลวทั้งหมด จากนั้นข้าก็คิดว่าหากไม่ได้ใช้ฝ่ามือดอกไม้บินแล้ว จะรั้นสร้างสิ่งที่เหมือนกับระเบิดเพลิงปักษาขึ้นมาอีกทำไม ? องค์ประกอบของทักษะต้นกำเนิดก็เหมือนความรัก ความเข้ากันได้คือสิ่งสำคัญที่สุด ข้าลองทำตามแนวคิดหลากหลายอย่าง ดังนั้นจึงล้มเลิกที่จะสร้างระเบิดเพลิงปักษา เปลี่ยนเป็นตาข่ายแทน หวังว่าเจ้าจะไม่ใส่ใจ”

 

 

ซูเฉินมีความคิดสร้างตาข่ายเพลิงมาจากการต่อสู้กับจินหลิงเอ้อร์ ในตอนนั้น เขาถูกบีบให้ล่าถอยอยู่ตลอด ต้องใช้ดาบอัสนีบาตสร้างเสียงฟ้าคำรามและใช้มันลอบโจมตีอีกฝ่าย โชคไม่ดีที่ดาบอัสนีบาตยังอ่อนแอนัก พลังโจมตีจำกัด หากเขาสามารถใช้ตาข่ายเพลิงได้ละก็ หากคู่ต่อสู้พุ่งเข้าใส่เขาแบบไม่คิดก็คงเหมือนกับเอาชีวิตมาทิ้ง

 

 

หากแต่จีหานเยี่ยนมีวิถีการต่อสู้ที่ดุดันยิ่งนัก บอกได้ยากว่านางจะชอบวิชาที่เหมาะกับการใช้ตั้งรับเช่นนี้หรือไม่

 

 

จีหานเยี่ยนเอ่ย “ที่ข้าชื่นชอบการโจมตี เป็นเพราะไม่มีใครที่สามารถบีบให้ข้าต้องตั้งรับได้มาก่อน”

 

 

“……” เป็นคำตอบที่เหลือเกินจริง ๆ

 

 

“แต่ที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นมีคนที่แข็งแกร่งกว่าข้าอยู่อีกมาก อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังมีอยู่ ข้าชอบมาก” ประโยคต่อมาของจีหานเยี่ยนทำให้ซูเฉินถอนหายใจโล่งอกออกมา

 

 

เขาพูด “เช่นนั้นก็ดี แต่ตอนนี้ตาข่ายเพลิงยังไม่มั่นคงมากพอ ข้ากำลังพยายามเสริมความทนทานของมันอยู่ เพราะตอนนี้ท่าฝ่ามือท่าเดียวก็สามารถทำลายวิชานี้ลงได้ อย่างที่เจ้าเห็น เป็นเพราะเส้นสายมันบางนัก ดังนั้นจึงเพิ่มความต้านทานได้ยาก”

 

 

เส้นแสงบาง ๆ ที่สานต่อกันเป็นตาข่ายเพลิงจำต้องมีความบางมากพอเพื่อคงความแหลมคมดั่งใบมีดและความสามารถในการตัดขาดอย่างฉับพลันไว้

 

 

แต่อีกด้านหนึ่ง หากบางเกินไป ย่อมขาดความทนทาน

 

 

ความคมและความทนทานเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม ซูเฉินพยายามมาโดยตลอด หากแต่กลับหาจุดที่เหมาะได้ยากนัก

 

 

หลังจากฟังปัญหาของซูเฉินแล้ว จีหานเยี่ยนก็ก้มหน้าครุ่นคิด “เจ้าอาจปรับวิธีได้”

 

 

“ข้าควรใช้วิธีใด ?”

 

 

“ทำให้เส้นสายล่องหนเสีย”

 

 

“ทำให้ตาข่ายล่องหนหรือ ?” ซูเฉินประหลาดใจ จากนั้นสีหน้าตื่นเต้นก็บังเกิดขึ้น “ความคิดดี ในเมื่อไม่สามารถเพิ่มความทนทานได้ ก็ยังมีทางอื่นที่สามารถทำให้วิชามีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมได้ เช่นการทำให้ล่องหน แต่หากเป็นเช่นนั้นก็จำเป็นต้องใส่ทักษะต้นกำเนิดใหม่เข้าไปอีก”

 

 

คำว่า ‘ยิ่งมากยิ่งดี’ ไม่อาจใช้ได้กับทักษะต้นกำเนิด

 

 

ยิ่งใช้ทักษะต้นกำเนิดรวมกันมากเท่าไหร่ ความซับซ้อนก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ไม่เพียงต้องเสียเวลาในการคำนวณและทำการทดลองเพิ่มมากขึ้น แต่การจะใช้วิชายังต้องละเอียดรอบคอบ หากนำมาใช้ในการต่อสู้จริงจังคงไม่ง่ายนัก

 

 

วิชาตาข่ายเพลงนี้มีทักษะต้นกำเนิดอยู่ถึงสามอย่างแล้ว หากเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งย่อมทำให้ไม่อาจนำไปใช้ได้จริงได้อย่างสะดวกสบายนัก

 

 

“แล้วเหตุใดต้องเป็นไฟ ?” จีหานเยี่ยนถาม

 

 

“หือ ?” ซูเฉินชะงัก “เป็นเพราะ……”

 

 

“เพราะเจ้าต้องการสร้างระเบิดเพลิงปักษาขึ้นมาใหม่ใช่หรือไม่ ? แต่ตอนนี้เราไม่ได้ต้องการระเบิดเพลิงปักษาอีกต่อไป ทักษะต้นกำเนิดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับระเบิดเพลิงปักษาแม้แต่น้อย เหตุใดจึงรั้นใช้รูปร่างพลังต้นกำเนิดเพลิงเป็นพื้นฐานวิชาด้วยเล่า ? หรือเจ้ารู้จักอยู่เพียงเท่านี้ ?”

 

 

ซูเฉินครุ่นคิด

 

 

จีหานเยี่ยนเอ่ยต่อ “จุดประสงค์ของตาข่ายนี่ มีไว้เพื่อกีดขวางและทำให้ศัตรูได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงควรมีความสามารถในการซุกซ่อนตัววิชาและพลังโจมตี แม้การเพิ่มพลังไฟเข้าไปจะทำให้ดูว่าตัววิชาสามารถใช้โจมตีคนได้ แต่ข้อจำกัดมีมากเกินไป ไร้ประโยชน์นัก เหตุใดไม่ลองใช้ทักษะต้นกำเนิดอื่นดูเล่า ?”

 

 

เด็กหนุ่มพลันตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว ! เช่นนั้นก็จะง่ายขึ้นมาก บัดซบ เหตุใดข้าจึงไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน !”

 

 

ซูเฉินหงุดหงิดกับตนเองยิ่งนัก

 

 

วันนั้นทั้งวัน ทั้งสองคนถกถึงเรื่องทิศทางของทักษะต้นกำเนิดที่จะสร้างขึ้นใหม่ จนกระทั่งตัดสินใจได้

 

 

ครั้งนี้ซูเฉินได้บทเรียนครั้งใหม่ หากต้องการลงมือทำบางสิ่งบางอย่างให้ดีแล้ว สำคัญคือไม่เพียงใช้วิธีที่ถูกต้อง แต่ต้องเป็นแนวทางที่ถูกต้องอีกด้วย หากก้าวเดินผิดทางไปสักก้าว ไม่ว่าวิธีที่ใช้จะเลิศเลอเพียงไรก็ไม่อาจทำให้สำเร็จได้

 

 

การพูดคุยในวันนี้ ทำให้จีหานเยี่ยนพบว่าแท้จริงแล้วซูเฉินนั้นฉลาดนัก

 

 

การรวมทักษะต้นกำเนิดที่แตกต่างกันฟังเหมือนเป็นเรื่องง่ายดาย หากแต่ต้องใช้การคำนวณและต้องรอบคอบนัก คนบางคน จนตายก็ไม่อาจสร้างทักษะต้นกำเนิดของตนเองขึ้นมาได้ หากแต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการสร้างทักษะต้นกำเนิดต้นแบบขึ้นมา

 

 

อีกทั้งยังสร้างขึ้นมาในขณะที่ตนเองต้องเข้าเรียนวิชาหลากหลายวิชาอีกด้วย

 

 

การรวมครั้งใหม่นี้หมายถึงความเป็นไปได้อีกมากมาย ซูเฉินจำต้องทำการคำนวณอีกนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อหาทักษะต้นกำเนิดที่ออกมาเหมาะสมที่สุด

 

 

เช่นนี้คือต้องหาทักษะต้นกำเนิดมาเพิ่ม ซึ่งส่วนตรงนี้จะเป็นจีหานเยี่ยนที่เป็นคนลงมือ

 

 

นางเองก็เป็นดังเช่นผู้ลงทุนคนอื่น ๆ หากมองแล้วว่าลงทุนไปแล้วเห็นผลย่อมมีใจลงทุนเพิ่มอีก

 

 

จีหานเยี่ยนมองซูเฉินในทางที่ดีขึ้นมาก ทักษะต้นกำเนิดเพียงไม่กี่วิชาย่อมไม่สำคัญต่อนางนัก

 

 

ในคืนนั้น จีหานเยี่ยนช่วยซูเฉินหาทักษะต้นกำเนิดอยู่หลากหลายวิชา

 

 

หลังจากค้นหาอยู่นาน สุดท้ายซูเฉินก็เลือกวิชาคมวายุและวิชาเบือนแสงมา

 

 

วิชาคมวายุสามารถสร้างริ้วแสงที่มีความเฉียบคมได้ ในขณะที่วิชาเบือนแสงสามารถทำให้ริ้วแสงเหล่านั้นล่องหน

 

 

ที่สำคัญที่สุดคือยันต์ทักษะต้นกำเนิดและชิ้นส่วนรูปแบบพลังต้นกำเนิดของทั้งสองวิชามีความเข้ากันได้

 

 

ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามที่ซูเฉินว่าไว้ การรวมทักษะต้นกำเนิดนั้นเสมือนความรัก ความเข้ากันได้คือสิ่งสำคัญที่สุด

 

 

และในทักษะต้นกำเนิดที่แตกต่างกันสามวิชานี้ มันก็มีความรักเชื่อมพวกมันไว้อยู่