“นางเป็นอย่างไรบ้าง”

พอเห็นหมอเดินออกมาจากห้อง ฮูหยินฉินที่อยู่กลางห้องโถงก็เอ่ยถามทันที

“ฮูหยิน ข้าหมดหนทางแล้วจริงๆ” หมอชราผมขาวส่ายหน้าพลางเอ่ย

“เหตุใดถึงหมดหนทางเล่า” ฮูหยินฉินถาม

“ร่างกายของแม่นางน้อยไม่ได้ป่วยไข้อันใด เพียงแต่หมดสติไม่ยอมฟื้น เช่นนี้เรียกว่าป่วยใจ หากป่วยใจก็ต้องรักษาด้วยยาใจ” หมอชราผมขาวเอ่ยพลางทำไม้ทำมือ

“ป่วยใจคืออันใดกัน ป่วยก็บอกว่าป่วยสิ หากไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็อย่าอ้างฟ้าอ้างดิน อ้างป่วยใจ” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางโบกพัดไปมา

หมอชราผู้นี้ก็เลื่องชื่อในเมืองหลวงไม่น้อย พอได้ยินคำพูดของนางเช่นนั้นก็ไม่นึกเกรงใจเช่นกัน

“ฮูหยิน เอาเป็นว่าข้ารักษาไม่ได้ พวกท่านไปเชิญหมอที่เก่งกาจท่านอื่นเถิด” เขาสะพายกล่องยาก่อนจะขอตัวลา

เหล่าสายใช้และแม่นมร้องตะโกนรั้งไว้

“ช่างเถิด ปล่อยเขาไป” ฮูหยินฉินโบกมือพลางเอ่ย

เสียงของสาวใช้ดังขึ้นแผ่วเบาหลังม่าน ฮูหยินฉินจึงรีบหันหลังเดินกลับเข้าไปทันที

ท่านชายฉินสิบสามนั่งคุกเข่าอยู่อีกฝั่ง จ้องมองเฉิงเจียวเหนียงที่นอนอยู่บนเตียง

“เป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินฉินถาม “ฟื้นแล้วหรือ”

ปั้นฉินที่อยู่ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นก่อนส่ายหัว

“แค่พูดพึมพำเท่านั้นเจ้าค่ะ” นางตอบน้ำตาก็พลันไหลออกมา

ฮูหยินฉินก้าวเข้าไปใกล้แล้วคุกเข่าลงที่ข้างเตียง

ใบหน้าของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงยังคงเหมือนเดิม นอนทอดกายดวงตาปิดสนิท ทว่าไม่ได้นิ่งทื่อเหมือนขอนไม้ดังแต่ก่อน

ริมฝีปากของนางขยับไหวบ้างเป็นบางครา คงอยากจะพูดว่าเจ้าคือใคร ข้าคือใคร เหมือนที่สาวใช้เล่าให้ฟังกระมัง

เพียงแค่เจ้าคือใครประโยคเดียว จะให้คนคนหนึ่งกลายเป็นเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ

“หากอยากรู้ว่าตนคือใคร หรือว่าอยากถามว่าตนเองคือใคร แสดงว่ายังมีหัวใจอยู่” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน “หากยังมีหัวใจ ก็ยังมีทางรักษา ข้าจะตามหมอมาอีก”

ปั้นฉินโขกหัวคำนับกับพื้นให้แก่นาง

“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ ช่างเป็นพระคุณเหลือเกิน” นางเอ่ยทั้งน้ำตา โขกหัวกับพื้นไม่หยุด “ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ ช่างเป็นพระคุณเหลือเกิน”

“ไม่ได้เป็นบุญคุณอันใดหรอก ข้ามาตอบแทนบุญคุณเสียมากกว่า เจ้าดูแลนายหญิงของเจ้าให้ดีเถิด” นางเอ่ยก่อนจะมองไปทางเฉิงเจียวเหนียงที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้งแล้วก้าวเท้าออกไป พอเดินมาถึงท่านชายฉินสิบสาม ก็หยุดฝีเท้าลงแล้วจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง

ไม่รอให้นางเอ่ยคำใด ท่านชายฉินสิบสามลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกไปก่อน

“เจ้าไปอ่านตำราเถอะ อย่าได้เสียเวลาเรียน” ฮูหยินฉินที่เดินตามมาเอ่ยขึ้น

ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้า

“ท่านแม่โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำให้เสียเวลาเรียนขอรับ” เขาเอ่ยแล้วเหลียวหลังมายิ้มให้ “ข้าจะตั้งใจเรียนขอรับ”

ตั้งใจเรียนเพื่อวันหน้าจะได้รับราชการ เช่นนั้นแล้วถึงจะอยู่เหนือผู้คน เช่นนั้นแล้วถึงจะปกป้องคนที่ดูเหมือนร้ายกาจทว่าแสนอ้างว้างอย่างนางได้

สองแม่ลูกเดินออกประตูไปก็เห็นบ่าวคนหนึ่งกำลังถกเถียงกับจินเกอร์ที่หน้าประตู “ป่วยเป็นโรคอะไรหนักหนาถึงพบเจอผู้คนไม่ได้กันเชียว เหตุใดถึงไม่ให้ข้าเข้าไป”

“นายหญิงของข้าไม่ได้เป็นโรคที่พบเจอคนไม่ได้ นางเพียงแค่ป่วย อย่าได้รบกวนนาง”

“เจ้าหมอนี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด”

“แล้วเจ้าคือผู้ใดกัน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถาม

พอหันไปเห็นชายหนุ่มและฮูหยินที่มาพร้อมกับบ่าวและสาวใช้เป็นพรวน ผู้ติดตามก็นึกขึ้นได้จึงคำนับให้

“ท่านคือฮูหยินตระกูลโจวหรือ” เขาถาม สายตาพลางหยุดอยู่ที่ชายหนุ่ม “ข้ามาจากตระกูลหวังตระกูลคู่หมั้นของแม่นางเฉิง ได้ข่าวว่าแม่นางเฉิงป่วย จึงได้มาเยี่ยม”

ท่านชายรูปงามผู้นี้ หากผู้ใดได้เห็นก็คงลืมไม่ลง คราวก่อนที่เห็นเดินเคียงข้างนางบนถนนก็คือท่านชายผู้นี้ ท่านชายบอกว่าเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของแม่นางเฉิง ท่านชายจากตระกูลโจว

แม่นางเฉิงล้มป่วย ครอบครัวฝั่งท่านลุงย่อมมาเยี่ยมไข้ก็ถูกต้องแล้ว ฮูหยินผู้นี้ก็คงเป็นฮูหยินโจวกระมัง

นางมีคู่หมั้นแล้วหรือ

ฮูหยินฉินตกใจไม่น้อยก่อนจะมองเขาหัวจรดเท้า

“นางป่วยอยู่ ขอบใจพวกเจ้ามาก” นางเอ่ย “อย่าได้เข้าไปเยี่ยมเลย”

ผู้ติดตามยืนหลังเหยียดตรง

“ขอถามฮูหยินได้หรือไม่ แม่นางเฉินป่วยเป็นโรคอันใดหรือ” เขาถาม

“ไม่ได้ป่วยหนักอันใด พักผ่อนสักสองสามวันก็หายดี” ฉินฮูหยินเอ่ย คร้านจะสนใจก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไป

ผู้ติดตามขวางเอาไว้

“ฮูหยิน นางป่วยเป็นอันใดก็อย่าได้ปิดบังพวกข้าเลย หากท่านปิดปังโรคร้าย พวกข้าจำต้องยกเลิกการแต่งงาน” เขาเอ่ย

เขายังไม่ได้พูดจบ ฮูหยินฉินก็โมโหขึ้นมาในทันที

“ตบปาก” นางตะโกนลั่น

แม่นมข้างกายก้าวเข้าไปยกมือตบทันที

ผู้ติดตามไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนตบจนเซถอยไปหลายก้าว สีหน้าราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

“ฮูหยินโจว ท่านทำอะไรของท่าน” เขาตะโกน “ข้าเป็นถึงคนของตระกูลหวัง…”

“เป็นอะไรก็ช่าง กล้าดีอย่างไรมาขวางทางฮูหยินของข้า!” แม่นมชี้หน้าด่า “ไสหัวไป!”

ผู้ติดตามที่ถูกก่นด่าเซถอยหลังไปอีกครั้ง มองดูฮูหยินขึ้นรถม้าไปโดยมีแม่นมคอยช่วยพยุง ส่วนท่านชายผู้นั้นไม่แลตามองเขาเลยแม้แต่นิด ราวกับว่าเขาไร้ตัวตนมิปาน จากนั้นรถม้าก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว

จองหองนักตระกูลโจว! จองหองนักตระกูลโจว! ผู้ติดตามโมโหจนสบถออกมา หยาบคายไร้มารยาทอย่างที่ตระกูลเฉิงบอกไว้ไม่มีผิด!

เขาเหลียวกลับไปมองเรือนของเฉิงเจียวเหนียง

เอาแต่หลบเลี่ยงไม่ยอมให้พบหน้าแบบนี้ ต้องป่วยเป็นโรคร้ายจนสู้หน้าคนไม่ได้เป็นแน่!

เขาก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงรถม้าดังขึ้นอีกครั้ง ยังไม่ทันได้หันไปมองรถม้าก็พุ่งตัวเข้ามาใกล้เสียแล้ว

“ถอยไป ถอยไป!” พลขับตะโกนลั่นพลางสะบัดแส้ม้า ก่อนจะเฉี่ยวผ่านผู้ติดตามไป

ผู้ติดตามก้าวถอยหลัง ตกใจจนเหงื่อเย็นซึมไปทั่วกาย

เหตุใดคนเมืองหลวงถึงได้หยาบคายไร้มารยาทไปเสียหมดเช่นนี้!

“ไม่มีตาหรือ อยากตายหรืออย่างไร!”

ราวกับกำลังตอกย้ำความคิดของเขา พลขับรถเหลียวกลับมาตะโกนด่าเขา

รถม้าหยุดอยู่ที่หน้าประตู ฮูหยินสูงศักดิ์ผู้หนึ่งลงมาจากรถ ไม่รอให้สาวใช้มาพยุงก็เดินจ้ำเข้าไป

บ่าวหนุ่มน้อยที่ฉวยโอกาสวิ่งหนีไปปิดประตูยามที่เขาโดนตบปากมือครู่ก็วิ่งออกมาเปิดประตูทันทีโดยไม่ต้องตะโกนเรียก

ผู้ใดอีกเล่า

ผู้ติดตามชะงักไปครู่หนึ่ง

“หมอหลวงหลี่ หมอหลวงหลี่ เร็วเข้าเถิด” ฮูหยินผู้นั้นหันไปเอ่ยเร่งเร้า

หมอหลวงหรือ!

ผู้ติดตามเบิกตาโพลงอย่างอดไม่ได้ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นว่ามีผู้เฒ่าคนหนึ่งลงมาจากรถม้าคันด้านหลังจริงๆ เสียด้วย เขาสวมชุดขุนนาง มีเด็กชายหิ้วกล่องยาตามหลัง บนนั้นมีตราของหมอหลวงอยู่

เชิญหมอหลวงมาได้เชียวหรือ!

ไม่ใช่ว่าทั้งตระกูลโจวทั้งตระกูลเฉิงต่างก็ไม่แยแสมิใช่หรือ

ล้มป่วยเพียงแค่นี้ถึงขนาดเชิญหมอหลวงมาได้เลยหรือ!

ว่าแต่ฮูหยินผู้นั้นคือใครกัน

“นี่ เจ้าทำอะไรน่ะ” จินเกอร์ยืดแขนออกมาขวางผู้ติดตามที่เดินเข้ามาพลางตะโกนใส่ “ออกไป ออกไป”

“เหตุใดข้าต้องไปด้วย พ่อหนุ่ม ข้าเป็นคนของตระกูลหวัง แม่นางน้อยป่วย จะไม่ให้ข้าเข้าไปเยี่ยมได้อย่างไร” ผู้ติดตามเอ่ยขึ้นในทันใด “พวกเจ้ากำลังปิดบังอันใดอยู่กันแน่ มีเรื่องอันใดถึงสู้หน้าคนไม่ได้ คิดว่าปิดบังหลบเลี่ยงเช่นนี้แล้วจะแต่งเข้าเรือนตระกูลของพวกข้าได้อย่างนั้นหรือ ข้าจะบอกอะไรให้พวกเจ้าฟังนะ หากไม่ยอมให้เยี่ยม เรื่องงานแต่งก็อย่าได้พูดกันอีกเลย!”

เรื่องงานแต่งงานนายหญิงเป็นคนรับปากเอง พอพวกเขายกเรื่องงานแต่งมาข่มขู่ จินเกอร์ก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“เจ้าคือใคร” ฮูหยินเฉินเหลียวหลังมาม

ผู้ติดตามใช้โอกาสนี้เดินเข้ามาในลานบ้าน

“เรียนฮูหยิน บ่าวมาจากตระกูลของคู่หมั้นของแม่นางเฉิง ตระกูลหวังขอรับ” เขาเอ่ยพลางคำนับ “ข้าได้ข่าวว่าแม่นางป่วย ท่านชายจึงสั่งให้ข้ามาเยี่ยม”

ฮูหยินเฉินร้องอ๋อ สีหน้าดูซับซ้อนไม่น้อยพลางมองเขาหัวจรดเท้า

ปากบอกว่ามาเยี่ยม แต่ความจริงมาดูว่าอาการป่วยเป็นอย่างไร เพื่อจะได้ตัดสินใจว่าควรแต่งงานด้วยหรือไม่สินะ

แม้ตระกูลหวังจะชื่อเสียงไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่พอนึกถึงเรื่องที่แม่นางเฉินสิบแปดบอกว่าเฉิงเจียวเหนียงยอมรับคู่หมั้นคนนี้แล้ว แถมดูท่าทางจะชอบพอมากเสียด้วย งานแต่งงานในครานี้นางเป็นผู้ยินยอมเอง

แต่พอได้ยินคำพูดของผู้ติดตามเมื่อครู่ แสดงว่าหากนางป่วยจริงๆ งานแต่งงานครั้งนี้ก็จำต้องยกเลิกไป

อันที่จริงที่ผู้ติดตามพูดก็ไม่แปลกอันใด ในเมื่อทั้งสองฝั่งตกลงหมั้นหมายกันแล้ว หากฝ่ายหญิงป่วยขึ้นมาย่อมต้องถอดหมั้น

“นางเป็นหญิงสาวอาศัยตัวคนเดียว หากจะให้เจ้าเข้าไปเยี่ยมคงไม่เหมาะสมนัก เช่นนั้นเจ้าไปเรือนตระกูลโจวไม่ดีกว่าหรือ อาการป่วยเป็นเช่นไร ให้พวกเขาอธิบายให้ฟังอย่างถี่ถ้วน” ฮูหยินเฉินเอ่ยเสียงอ่อนโยน

ฮูหยินผู้นี้พูดจาเป็นมิตรกว่าฮูหยินตระกูลโจวเมื่อครู่นัก ไม่รู้ว่านางเป็นใคร เป็นเครือญาติของตระกูลโจวอย่างนั้นหรือ มาเยี่ยมแม่นางเฉิงเพื่อเอาอกเอาใจตระกูลโจวกระมัง หรือว่าตระกูลโจววานให้มาดูแลแทนอย่างนั้นหรือ

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน อย่างไรเสียก็ดีกว่าตระกูลโจว…

“เหตุใดถึงต้องวุ่นวายเช่นนั้น หมอก็อยู่ที่นี่ พอตรวจอาการได้ความอย่างไรข้าก็จะได้รู้เลยทันที” ผู้ติดตามยืดตัวตรงพลางเอ่ย “หากฟังจากคำที่บอกเล่าต่อๆ กันมา ผู้ใดจะรู้ว่าผิดเพี้ยนไปสักแค่ไหน”

ฮูหยินเฉินมองเขาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง

“แม้จะมาจากตระกูลคู่หมั้น แต่ก็ยังไม่ได้แต่งงาน หญิงสาวอยู่ตัวคนเดียว หากญาติผู้ใหญ่ไม่อนุญาต เจ้ามาถึงเรือนนางเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ!” นางเอ่ย

“เรื่องงานแต่งงานตระกูลเฉิงกับตระกูลของข้าตกลงกันแล้ว ทั้งยังให้พวกเราพาแม่นางเฉิงกลับเจียงโจวอีกด้วย จะพูดว่าผู้ใหญ่ไม่อนุญาตได้อย่างไร พวกท่านต่างหากที่เอาแต่ขวาง กำลังปิดบังอันใดอยู่กันแน่ พวกท่านทำเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรืออย่างไร!” ผู้ติดตามเอ่ยเย้ยหยัน

พูดยังไม่ทันจบ ฮูหยินที่อยู่เบื้องหน้าก็ขมวดคิ้วตะโกนลั่นขึ้นมา

“สามหาว!” นางตะคอก “ตบปาก!”

ผู้ติดตามชะงักไป ยังไม่ทันได้สติ เสียงฝ่ามือก็ดังก้องไปทั่วลานบ้าน

ผู้ติดตามถดถอยหลังอย่างไม่เชื่อสายตา นี่เขาถูกตบอีกแล้วหรือ

“ไสหัวออกไป! กล้าดีอย่างไรถึงได้พูดจากับข้าเช่นนี้ หากยังกล้ามาเหยียบที่เรือนอีกละก็ ข้าจะจับไปที่ศาลาว่าการเมืองจิงเจ้า!”

ท่ามกลางเสียงก่นด่า ผู้ติดตามก็ถูกแม่นมร่างท้วมผลักออกไป ก่อนประตูจะปิดลงดังปัง

ผู้ติดตามที่ถูกตบไปถึงสองคราเวียนหัวจดทรุดลงกับพื้น นานกว่าจะได้สติคืนมา

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เขาทำอันใดลงไป

เหตุใดถึงโดนตบฉาดเข้าที่แก้มถึงสองคราจนหูอื้อไปหมดเช่นนี้!

เหตุใดเขาถึงจะไม่กล้าเอ่ยคำเหล่านั้นกับพวกนาง ไม่ใช่แค่ตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊ต่ำต้อยหรอกหรือ ในเมืองหลวงก็ถมเถไป เหตุใดต้องเกรงกลัวด้วย!