“มันจะมากเกินไปแล้ว!”
ผู้ติดตามร้องตะโกน หยัดตัวลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นกุมใบหน้าบวมเป่ง จ้องมองบานประตูที่ปิดสนิท
“ไม่ให้พวกข้าไปอย่างนั้นหรือ หากวันหน้าเชิญพวกข้า พวกข้าก็ไม่มาเหยียบหรอก!”
เขาหันหลังเดินจากไปอย่างหงุดหงิด
ณ โรงเตี๊ยม เหล่าคนจากตระกูลหวังตกใจไม่น้อยที่เห็นผู้ติดตามเดินเข้ามาอย่างหงุดหงิดพร้อมกับใบหน้าบวมแดง
“กล้าตีคนเชียวหรือ!” ผู้ติดตามคนอื่นโมโหจนตะโกนออกมา
พวกเขาต่างเป็นบ่าวที่มีหน้ามีตาในตระกูล เหล่าลูกหลานในตระกูลพบเจอต่างก็ให้ความเคารพนับถือ นึกไม่ถึงเลยว่าตระกูลโจวจะกล้าตบหน้าเขาเช่นนี้
นี่ไม่เพียงแค่ตบหน้าพวกเขา แต่คือการตบหน้าตระกูลหวัง
“พวกเราไปหาพวกมันกัน!”
“เขียนจดหมายถึงนายใหญ่ด้วย!”
“กลับกันเถิด เรื่องงานแต่งงานก็ยกเลิกไปเสีย!”
ทุกคนพากันตะโกนโหวกเหวก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดแม้ในใจจะรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็ดีใจอยู่ไม่น้อย
“กู่ป๋อ โชคดีที่ท่านไม่ยอมให้ข้าไป ตระกูลโจวช่างป่าเถื่อนยิ่งนัก” เขาเอ่ย “ท่านคงไม่รู้ ตอนที่พวกท่านยังมาไม่ถึง ข้ากับท่านชายเฉิงสี่ไปเยี่ยมบ้านตระกูลโจว พวกเขาเกือบจะจับพวกข้ามัดด้วยซ้ำ”
เหล่าผู้ติดตามตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
“ยามนี้พวกเรายังกลับไปไม่ได้” เขาเอ่ย
เหล่าบ่าวชะงักไปครู่หนึ่ง ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลับดูสุขใจยิ่งนัก
“ตามที่ท่านบอกเล่า บวกกับที่ตระกูลโจวเอาแต่ปิดบังเช่นนี้ ท่าทางอาการป่วยของแม่นางเฉิงคงหนักเอาการ” บ่าวชราเอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นพวกเรายังไม่ต้องรีบกลับไปอีกหรือ กลับไปบอกนายใหญ่ว่าให้ยกเลิกเรื่องงานแต่งงานเสีย” บ่าวคนหนึ่งเอ่ย
“เรื่องนั้นยังไม่ต้องรีบร้อน อาการป่วยอย่างไรก็คงปกปิดไม่ได้ รอให้ถึงวันที่เข้าเรือนมาค่อยยกเลิกก็ได้ย่อมได้ ไม่ต้องกังวลไป” บ่าวชราเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “เพียงแต่พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกชอบกลหรือ”
แปลกอย่างนั้นหรือ
“ก็ไม่เห็นแปลกนี่ แม่นางตระกูลเฉิงผู้นี้เดิมทีก็เป็นเด็กสติไม่สมประกอบ ไม่มีผู้ใดมาสู่ขอ พอโชคดีมีคนมาขอหมั้นหมาย แต่กลับล้มป่วยเสียได้ การหมั่นหมายย่อมไม่สำเร็จ จึงจำต้องปิดบังเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้พวกเรารู้อย่างไรเล่า” บ่าวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
บ่าวชราส่งเสียงถุยออกมา
“เรื่องนี้ไม่แปลกหรอก” เขาเอ่ยพลางมองไปที่บ่าวที่ถูกตบหน้า “เจ้าบอกว่านางป่วย แต่เหตุใดคนถึงมาเยี่ยมไข้มากมายถึงเพียงนั้น แถมยังเชิญหมอหลวงมาอีก เช่นนี้ไม่แปลกหรือ”
แปลกหรือ
ทุกคนมองเขาอย่างตกตะลึง
“คนที่สติไม่สมประกอบตั้งแต่เด็กอย่างนาง ไม่มีผู้ใดต้องการ ยามอยู่ตระกูลเฉิงก็ถูกทอดทิ้ง เอาไปปล่อยไว้ที่วัดเต๋าแม้แต่ประตูเรือนก็ยังมิได้ย่างเข้าไป ยามอยู่ตระกูลโจวก็ไม่มีผู้ใดเอาใส่ใจ หมายจะฮุบสินเดิมของนางเพียงอย่างเดียว จากที่เจ้าพูดมา เหตุใดถึงได้มีคนเทียวเข้าออกเรือนมากมายแถมยังเชิญหมอหลวงมาได้อีก” บ่าวชราเอ่ย “ลูกสาวสติไม่สมประกอบที่ใครต่างก็ทอดทิ้ง เหตุใดพวกเขาถึงดูแลนางดีขนาดนี้ พวกเจ้าว่าไม่แปลกหรือ”
ทุกคนเข้าใจในทันที ก่อนจะพากันพยักหน้าอย่างจริงจัง
แปลก แปลก แปลกจริงๆ
“อีกอย่าง ตระกูลโจวถึงขนาดสามารถตั้งกระโจมชมงานโคมไฟริมถนนได้ ต่างจากที่นายใหญ่ตระกูลเฉิงบอกเล่าลิบลับ” บ่าวชราพูดต่อ
“ช่างหัวตระกูลโจวปะไร ขอเพียงแค่อย่าได้ยัดเยียดเด็กบ้าขี้โรคผู้นั้นเข้าตระกูลเราก็พอ” ผู้ติดตามอีกคนเอ่ยขึ้น “ถึงเขาจะตำแหน่งใหญ่โตสักเพียงใด ตระกูลหวังของเราก็จะไม่ขอข้องเกี่ยว แล้วก็คิดเกรงกลัวด้วย”
ใช่แล้ว ใช่แล้ว ฝ่ายหนึ่งอยู่ทางเหนือ ฝ่ายหนึ่งอยู่ทางใต้ ฝ่ายหนึ่งเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ฝ่ายหนึ่งเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ เดิมทีก็ไม่มีเหตุอันใดให้ข้องเกี่ยวกันอยู่แล้ว
“ย่อมไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอยู่แล้ว” บ่าวชราพยักหน้า “เพียงแต่ หากรู้เขารู้เราก็ย่อมดีกว่ามิใช่หรือ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา เตรียมการไว้ล่วงหน้าย่อมดีกว่า เพราะเช่นนั้นพวกเราจึงกลับไปตอนนี้ไม่ได้ ยังต้องคอยดูอีกสักระยะ ไปสืบดูว่าตระกูลโจวกำลังทำการใดอยู่กันแน่ และแม่นางเฉิงป่วยเป็นอะไร จากนั้นค่อยเขียนจดหมายกลับไปส่งข่าวทางตระกูลให้ละเอียด”
การมาเยือนเมืองหลวงครานี้มีเขาเป็นคนต้นคิด แน่นอนว่าเขาย่อมต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“ท่านชาย ท่านเห็นว่าอย่างไร” บ่าวชราหันไปถามท่านชายหวังสิบเจ็ดอีกครั้ง
“อย่างไรก็ได้ทั้งนั้น หากไม่ได้ป่วยก็แต่งกับนางเสีย หากป่วยก็ยกเลิกเสีย มิใช่เรื่องใหญ่อันใด” เขาเอ่ยพลางโบกมือ คนงามมีอยู่ถมเถไป
โดยเฉพาะหลังจากได้มาเยือนเมืองหลวงแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าหญิงงามนั้นมีมากมายนัก
หญิงงามที่เหมือนดั่งวาดภาพผู้นี้ ความจริงมาคิดๆ ดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีดีอะไร…
ท่านชายหวังสิบเจ็ดยู่ปาก หากบอกว่าจะไม่แต่งแล้วล่ะ…
‘เจ้าต้องเชื่อฟังข้า’
หญิงสาวผู้นั้นยิ้มบางอยู่ตรงหน้า ก้มหน้าลงอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง จ้องมองเขาโดยไม่เอ่ยคำใด
ทั้งรูปงามทั้งแสนเชื่อฟัง แถมไม่ใช่เชื่อฟังแบบที่พบเจอได้ทั่วไป ทว่าเป็นแบบ…
เอาเป็นว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแบบไหน แต่ถ้าหากทิ้งไป ก็น่าเสียดายไม่น้อย
“พวกเราก็ไปเชิญหมอมารักษานางด้วยสิ” เขาเอ่ย
ยามที่สาวใช้กลับมา ฮูหยินเฉินก็พาหมอหลวงหลี่กลับไปแล้ว
“หมอบอกว่าอย่างไรบ้าง” นางถามจินเกอร์
“ก็ไม่บอกว่าเป็นอะไร พูดเพียงแค่ว่าจับชีพจรดูแล้ว สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ข้าว่าพวกเขาก็คงรักษาไม่ได้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงคุยโวโอ้อวดไปแล้ว แต่คราวนี้ไม่ให้แม้แต่ยา” จินเกอร์เบ้ปากเอ่ย “หมอหลวงหลี่บอกว่าจะกลับไปดูตำราแพทย์”
สาวใช้ถอนหายใจ
“ไปเถิด เฝ้าประตูให้ดี” นางเอ่ยกับจินเกอร์
จินเกอร์พยักหน้ารัว กำสลักกลอนประตูในมือแน่น
สาวใช้เดินเข้ามาในห้อง ภายในยังคงเงียบดังเดิม เพียงแต่ไม่มีนายหญิงที่นั่งอ่านหนังสือย่างสงบเหมือนเคย
นางแหวกม่านเดินเข้าไปในห้องนอน ปั้นฉินกำลังพลิกตัวให้เฉิงเจียวเหนียง
“นางหญิงเจ้าคะ ได้เวลาคัดอักษรแล้วนะเจ้าคะ ข้าจะไปฝนหมึกให้ นายหญิงรีบตื่นขึ้นมาเถิดเจ้าค่ะ…” นางเอ่ยพึมพำในลำคอ
สาวใช้รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
“เขียนหนังสือไม่ได้ เช่นนั้นข้าอ่านหนังสือให้แม่นางฟังก็แล้วกัน” นางเอ่ย
“ท่านพี่ ยังไม่ถึงเวลาอ่านหนังสือเลย ท่านไปทำงานเถิด ทั้งสามร้านยังต้องการคน” ปั้นฉินแหงนหน้ามองนาง “ข้าพูดไม่เก่ง หัวก็ไม่ดี งานนอกเรือนคงต้องพึ่งพี่แล้วละ เรื่องดูแลนายหญิงข้าจัดการให้เอง”
สาวใช้ยกมือขึ้นขยี้จมูกพลางพยักหน้า
“ได้ เรื่องที่ร้านข้าจัดการเอง เจ้าก็ดูแลนายหญิง อย่าได้กังวลใจ” นางเอ่ย พูดจบก็หันหลังออกไปล้างหน้าล้างตา ผัดแป้งใหม่อีกครั้งพร้อมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า
“จินเกอร์ เฝ้าประตูให้ดี”
นางเอ่ย
จินเกอร์พยักหน้าอย่างขึงขัง
สาวใช้สูดหายใจลึกก่อนจะก้าวเท้าออกประตูไป
ณ ห้องหนังสือของสำนักหมอหลวง หมอหลวงหลี่พลิกเปิดตำรามานานกว่าครึ่งค่อนวัน จนตำรากระจัดกระจายเต็มห้องไปหมด
“อาจารย์ปู่ ท่านลองดูนี่สิขอรับ”
เด็กชายเหยียบบนกองหนังสือ เขย่งเท้าเพื่อหยิบตำราเล่มหนึ่งที่อยู่บนชั้นก่อนจะหันมาถามอย่างดีใจ
หมอหลวงหลี่ที่นั่งอยู่กลางกองตำรา กำลังก้มหน้าเปิดหนังสือ พอได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา
“อ่านสิ” เขาเอ่ย
“ตำรารวมโรคของหลี่เจิน…” เด็กชายอ่าน
“โยนมา” หมอหลวงหลี่พูด
เด็กชายขานรับแล้วยกแขนขึ้นก่อนจะโยนออกไป ตำราเล่มนั้นตกลงบนกองหนังสือริมเท้าของหมอหลวงหลี่ จากนั้นเด็กน้อยก็เขย่งเท้าพลิกหาตำราต่อ
จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสียามพลบค่ำ ภายในห้องเริ่มมืดสลัว หมอหลวงหลี่ถึงได้เงยหน้าขึ้นมาจากกองหนังสือ
เด็กน้อยนั่งอยู่บนพื้นเอนหลังพักชั้นหนังสือ นอนหลับจนน้ำลายไหล
“ท่าทาง คราวนี้คงสิ้นหนทางจริงๆ” หมอหลวงหลี่พึมพำกับตัวเองอย่างอดไม่ได้
เขาพูดจบก็เหลียวซ้ายแลขวาตามสัญชาตญาณ ราวกับกลัวว่าใครจะได้ยินเข้า
พอสังเกตเห็นอาการของตัวเองแล้ว หมอหลวงก็อดส่งเสียงฮึดฮัดออกมาไม่ได้
ตั้งแต่แม่นางเฉิงปรากฏตัวขึ้น ผู้คนมากมายเชิญหมอหลวงหลี่ผู้นี้ไปถึงเรือน ไม่ใช่เพื่อรักษาอาการป่วย แต่เพื่อให้เขาช่วยยืนยันว่ารักษาไม่ได้ จนทุกครั้งที่ตรวจโรคไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสเพียงใดเขาก็ไม่กล้าเอ่ยคำนั้นออกมา
หากใครได้ยินเขาพูดคำนั้นออกไป คงดีอกดีใจจนหามคนป่วยออกไปหาแม่นางเฉิงทันทีเลยกระมัง
เพียงแต่คราวนี้ คนที่ถูกหามคือแม่นางเฉิงเสียเอง…
เช่นนี้เรียกว่าทีใครทีมันหรือเปล่านะ…
แต่ก่อนใครใช้ให้นางจองหองไม่เห็นหัวเขาเล่า!
หมอหลวงหลี่ถอนหายใจ แต่สีหน้ากลับไร้อารมณ์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ทว่าดูเคร่งเครียดนัก
คนอื่นรักษาไม่หาย นางรักษาถึงจะรักษาให้ หากนางรักษาไม่หาย จะไปหาผู้ใดกัน
พอพูดขึ้นมาเช่นนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
“หมอหลวงหลี่ หมอหลวงหลี่”
เสียงตะโกนก้องกังวาลดังมาจากนอกประตู พร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักที่กำลังก้าวเดิน
หมอหลวงหลี่ไม่ได้ยืนขึ้น จากนั้นข้างกายก็มีเสียงผัวะดังขึ้น
“อาจารย์ปู่อย่าตีข้า!” เด็กชายโห่ร้องพลางยกมือขึ้นกุมหัว
หมอหลวงหลี่ทั้งโมโหทั้งนึกขำ ก่อนจะเอ็ดเขาให้เก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย จากนั้นตนเองจึงเดินออกไปก่อน
ภายในสำนักมีขันทีมากมายกำลังเดินตามจิ้นอันจวิ้นอ๋องเข้ามาเป็นพรวน
“ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดถึงได้มาหาข้า” หมอหลวงหลี่ถาม พลางส่งเสียงฮึดฮัด “ไม่ใช่ว่ามีของดี จนไม่ต้องกินยาที่ข้าจัดให้แล้วหรอกหรือ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ ก่อนจะยกมือไปตบแขนหมอหลวงหลี่เบาๆ
“ดูซิดู มาพบท่านต้องป่วยเสียทุกครั้งหรือย่างไร ข้าจะคิดถึงท่านไม่ได้เลยหรือ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หมอหลวงหลี่ส่งเสียงเย้ยหยัน
เมื่อพวกเขาเข้ามานั่งในห้องโถง เหล่าขันทีจึงพากันออกไปนั่งรอหน้าประตู
“แม่นางเฉิงอาการเป็นอย่างไรบ้าง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถามอย่างตรงไปตรงมา
หมอหลวงหลี่ชะงักไปครู่หนึ่ง มองเขาตาเบิกโพลง
“องค์ชายทราบด้วยหรือ แม่นางเฉิงผู้นั้นชื่อเสียงโด่งดังขนาดนั้นเชียวหรือ” เขาถาม
“นางก็เหมือนกับท่าน เคยช่วยชีวิตข้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองเขาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หมอหลวงหลี่ตกตะลึง
“เมื่อใดกัน” เขาลุกขึ้นยืนตะโกนเสียงหลง “เหตุใดข้าถึงไม่รู้เลย”
เขาป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายอาการปางตายตั้งแต่เมื่อใด
เรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดถึงได้ปิดบังกัน
“ไม่ใช่ที่นี่ เมื่อปีก่อนตอนขากลับจากไปไหว้ศพท่านพ่อ” จิ้นอันอวิ้นอ๋องเอ่ย
คนนอกประตูเป็นคนของเขา จึงไม่กลัวว่าหากพูดออกไปแล้วจะถูกแพร่งพราย จึงได้เล่าเรื่องราวให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ
หมอหลวงหลี่สีหน้าเคร่งขรึมยามได้ฟัง
“เป็นฝีมือของพวกตระกูลเกาแน่นอน! พวกนั้นกล้าดีถึงขนาดนี้เชียวหรือ!” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม
“แยบยลยิ่งนัก ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ว่าเขาจะสมรู้ร่วมคิดด้วย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แล้วอย่างไรเล่า คนดีหรือจะสู้คนดวงดี”
พูดถึงเพียงเท่านี้เขาก็หัวเราะออกมา
ใครใช้ให้เขาดวงดีได้พบเจอนางเล่า
ทว่ายามนี้นางกลับ…
มุมปากของจิ้นอันจวิ้นอ๋องคว่ำลง เขาเงยหน้าขึ้นมองหมอหลวงหลี่
“ท่านไปดูอาการนางวันนี้ นางเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม
หมอหลวงหลี่ถอนหายใจ
“ข้าเองก็จนปัญญาแล้ว” เขาเอ่ย
แม้จะคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าคงเป็นเช่นนี้ แต่พอได้รับคำยืนยันจากปากหมอหลวงหลี่ ในใจของจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็รู้สึกวูบโหวงไม่น้อย
“เหตุใดถึงจนปัญญา ป่วยเป็นโรคอันใด” เขาถาม
“ป่วยเป็นโรคประหลาด” หมอหลวงหลี่ขยี้ดวงตาอันอ่อนล้า ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ตอนไปหนุ่มเคยได้ยินจากอาจารย์มาบ้าง เมื่อครู่เปิดตำราแพทย์ดู ก็มีเขียนถึงอยู่เหมือนกัน”
“โรคอะไรหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องขยับนั่งตัวตรงก่อนจะถามขึ้น
“วิญญาณออกจากร่าง” หมอหลวงหลี่ตอบ
วิญญาณออกจากร่างอย่างนั้นหรือ
“นางเจอเรื่องสะเทือนใจ สติแตก ลมปราณติดขัด” หมอหลวงหลี่กล่าว “ฟังดูเหมือนจะเหลวไหล แต่ป่วยใจเช่นนี้รักษายากนัก แม้จะกินยาก็ไม่หาย หากป่วยเพราะใจก็ต้องรักษาด้วยยาใจ นางเอาแต่ถามว่าข้าคือใครซ้ำไปซ้ำมา แสดงว่าสติสัมปชัญญะถูกหน่วงเหนี่ยว เหมือนกับคนถูกขังอยู่ในห้อง แม้จะรู้ตัวว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ออกไปไหนไม่ได้ จนกระทั่ง…”
หมอหลวงหลี่พูดถึงเพียงเท่านั้นก็หันไปมองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง แล้วยกมือทำท่าทาง
“ถูกขังอยู่ในนั้นจนตาย”