ถูกขังอยู่ในนั้นจนตายอย่างนั้นหรือ

จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้พูดอะไร

ภายในห้องปกคลุมด้วยความเงียบอยู่นาน ความมืดมิดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา แต่ก็ไม่มีใครลุกไปจุดตะเกียง

“ฝ่าบาท”

เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านนอก

“ฝ่าบาทควรกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลี่จุดตะเกียงบนโต๊ะ พลางยื่นขวดลายครามใบหนึ่งให้เขา

ในเมื่อมาหาหมอหลวง ก็ไม่ควรกลับไปมือเปล่า

จิ้นอันจวิ้นอ๋องยื่นมือออกไปรับแล้วหันหลังเดินออกไป

ยามราตรีในเดือนที่สองของเทศกาลไหว้พระจันทร์ ลมหนาวเริ่มโบกโชยพัดมา ยามเดินไปตามทางท่ามกลางตำหนักสูงใหญ่ ยิ่งทำให้รู้สึกเงียบเหงามากขึ้นเป็นเท่าตัว

‘นางเจอเรื่องสะเทือนใจ สติแตก ลมปราณติดขัด’

‘ฟังดูเหมือนจะเหลวไหล แต่ป่วยใจเช่นนี้รักษายากนัก แม้จะกินยาก็ไม่หาย’

‘นางเอาแต่ถามว่าข้าคือใครซ้ำไปซ้ำมา แสดงว่าสติสัมปชัญญะถูกหน่วงเหนี่ยว เหมือนกับคนถูกขังอยู่ในห้อง แม้จะรู้ตัวว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ออกไปไหนไม่ได้…’

จิ้นอันจวิ้นอ๋องพลันชะงักฝีเท้าลง

ขันทีที่อยู่ด้านหลังหยุดฝีเท้าตามอย่างสงสัย

“ข้ารู้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้น

“ฝ่าบาทรู้อะไรหรือ” ขันทีถามด้วยความสงสัย

จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับไม่สนใจเขาแล้วหัวเราะออกมา

“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้น กุมมือด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ พูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา “ข้ารู้แล้ว”

ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว ข้ารู้ว่าจะช่วยนางได้อย่างไรแล้ว!

เขาก้าวเท้าเดินไป เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นวิ่ง เสื้อคลุมโบกสะบัดตามจังหวะการวิ่งท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ราวกับนกยักษ์ที่กำลังกระพือปีกบิน

แม่นางตระกูลเฉิงแห่งสะพานอวี้ไต้ล้มป่วยลง สำหรับเมืองหลวงแล้วก็เหมือนกับการโยนหินก้อนหนึ่งลงน้ำ เงียบสงัดไร้เสียงใด

ภายในเรือนไท่ผิง ยังคงมีแขกไปใครมาดังเดิม เต้าหู้ไท่ผิงที่ต้องส่งไปยังวัดผู่ซิวเพิ่งจะขนขึ้นรถเสร็จ

“ดูแล้วที่นายหญิงไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องภายในร้าน ช่างมองการณ์ไกลนัก” สาวใช้เอ่ยขึ้น “ไม่อยู่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นต่อให้ยามนี้ไม่อยู่ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

“แม่นางปั้นฉินวางใจได้ ภายในร้านมีหลักมีเกณฑ์ ทุกอย่างราบรื่นดี” ผู้ดูแลอู๋เอ่ย “แม้ข้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก็ยังมีหลี่ต้าเสา ซ้ำผู้ดูแลคนใหม่ก็เป็นคนที่ข้าไว้ใจ”

สาวใช้พยักหน้า

ด้านนอกมีคนเคาะประตูขึ้นเบาๆ คนที่เปิดประตูเข้ามาคือผู้ดูแลคนปัจจุบันของเรือนไท่ผิง

“นี่คือบัญชีของเดือนนี้ แม่นางตรวจดูเถิด” ผู้ดูแลยิ้มเอ่ยด้วยท่าทางเคารพนบนอบ เขายื่นสมุดบัญชีให้นาง

“ได้ เจ้าไปทำงานเถิด” ผู้ดูแลอู๋พยักหน้าอมยิ้มเอ่ยตอบ

ผู้ดูแลคำนับลา

“แม่นางปั้นฉินดูเถิด” ผู้ดูแลอู๋ยื่นสมุดบัญชีให้สาวใช้

สาวใช้มองสมุดบัญชีตรงหน้า เมื่อก่อนนางเคยดูแต่โคลงกลอนกับนายใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้ตรวจสมุดบัญชี

“แม่นางปั้นฉิน ข้าจะสอนเจ้าให้ดู” ผู้ดูแลอู๋เอ่ยบอก

สาวใช้พยักหน้ายื่นมือไปหยิบสมุดบัญชี

แค่เรียนรู้เท่านั้น จะกลัวอะไร ตอนแรกนางไม่รู้กระทั่งหนังสือเลยไม่ใช่หรือ ต่อมาจึงได้ค่อยๆ อ่านออก

“วันนี้นางเป็นเช่นไรบ้าง”

นายใหญ่โจวก้าวเข้าห้องโถงมาพลางเอ่ยถามฮูหยินโจวที่นั่งดื่มชาอยู่

“พวกนางกลับมาแล้ว บอกว่ายังเหมือนเดิม” ฮูหยินโจวเอ่ยตอบ

นายใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“พวกนางอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่ได้ไปอีกแล้วหรือ” เขาถามพลางนั่งลง

สาวใช้ยกชามาให้

“อย่างไรเสียก็ยังเหมือนเดิม ข้าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” ฮูหยินโจวเอ่ยอย่างเกียจคร้าน

นายใหญ่โจวทอดถอนใจ

“นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว” เขาเอ่ย “เหตุใดจึงไม่มีหมอสักคนหาวิธีช่วยได้กัน”

“แต่ก็ไม่แปลกอะไร เดิมทีก็สติไม่สมประกอบมาโดยกำเนิด ไหนเลยจะหายได้อย่างใจนึก” ฮูหยินโจวเอ่ยพลางดื่มชาอย่างช้าๆ

“เช่นนี้หมายความว่าจะกลายเป็นคนบ้าอีกแล้วหรือ” นายใหญ่โจวเอ่ยถาม ยกชาขึ้นมา แต่ไม่มีอารมณ์จะดื่มจึงวางลงเช่นเดิม

“ตอนนี้ท่าทางน่าจะเป็นเช่นนั้น” ฮูหยินโจวเอ่ย “หมอหลวงหลี่ที่ฮูหยินเฉินเชิญมาก็บอกว่ารักษาไม่ได้”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน! บ้าเสียตั้งหลายปี พวกเราต่างพลอยเหนื่อยตามไปด้วย จู่ๆ พอหายดีก็ไปก่อเรื่องใส่ตัว ยังไม่ทันได้เบาใจก็มาบ้าอีก!” นายใหญ่โจวตบเข่าดังฉาดพลางเอ่ย “สวรรค์คงชังตระกูลโจวของเรากระมัง!”

“ข้าบอกแล้วว่านางเป็นตัวซวย” ฮูหยินโจวเอ่ย พลันนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบวางถ้วยชาลง “เจียวเหนียงมาล้มป่วยลง พวกเรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้า ไหนจะร้านขายยาอีก เจ้าควรจะสนใจเรื่องพวกนี้”

เรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้า ร้านขายยา!

จริงด้วย ยังมีทรัพย์สินพวกนี้นี่นา!

รวยเละแล้ว!

นายใหญ่โจวลนลานรีบลุกขึ้น แต่ไม่ทันระวังจึงทำถ้วยชาตรงหน้าแตก

สาวใช้รีบเข้าไปเช็ด ขณะที่นายใหญ่โจวก็สะบัดแขนเสื้อขึ้น

“ใช่ ใช่ นั่นล้วนเป็นทรัพย์สินของนาง” เขาเอ่ย “มัวแต่ไปห่วงอาการป่วยของนางจนลืมเรื่องพวกนี้ไปเสียได้ ตอนนี้ไม่มีใครดูแล อย่าให้คนในร้านฮุบเงินหนีไปได้! ข้าจะไปดูเดี๋ยวนี้!”

เขาพูดจบก็รีบเดินออกไปทันที

“เสื้อผ้า เสื้อผ้า” ฮูหยินโจวรีบตะโกนไล่หลังมา

นายใหญ่โจวจึงได้สติหันหลังกลับไป ฮูหยินโจวรีบเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เขาก่อนจะส่งเขาออกจากบ้านไป

สาวใช้ถือสมุดบัญชีหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่ง

“ดูไม่เข้าใจอีกแล้วหรือ” ปั้นฉินหันไปถาม

สาวใช้พยักหน้า ยกปากกาขึ้นวงหลายดวง

“เฮ้อ ก็ยังไม่ได้อยู่ดี คงต้องไปรบกวนผู้ดูแลอู๋ให้มาสอนอีกรอบแล้ว” นางเอ่ยพลางยิ้มบาง มองไปยังเตียง “นายหญิงจะดูบัญชีเป็นหรือไม่นะ”

หญิงสาวนอนนิ่งอยู่บนเตียง เสื้อผ้าบนตัวนางปั้นฉินเพิ่งเป็นคนผลัดให้ ยามนี้กำลังถูกปั้นฉินจับพลิกตัวอย่างระมัดระวัง

“นายหญิงต้องดูเป็นแน่” ปั้นฉินเอ่ยขึ้น สีหน้าภาคภูมิใจ

“นั่นสิ นายหญิงบอกไว้ว่านอกจากให้แต่งกลอนแล้ว ไม่ว่าอะไรนางก็ทำได้ทั้งนั้น” สาวใช้เอ่ยพลางมองไปยังเฉิงเจียวเหนียง “แต่ว่า ไม่มีนายหญิงคอยสอน ข้าก็เรียนรู้ได้”

นางเอ่ยพลางนึกอะไรขึ้นได้จึงยิ้มอย่างมีความสุข

“นี่ ปั้นฉิน พอนายหญิงฟื้นขึ้นแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งบอกนางว่าข้าดูบัญชีเป็นนะ ถึงเวลานั้นข้าจะทำให้นางตกใจ”

ปั้นฉินหลุดขำพลางหวีผมให้เฉิงเจียวเหนียง

“เจ้าคิดว่าจะทำนายหญิงตกใจได้หรือ” นางเอ่ยถาม

บนโลกใบนี้มีอะไรที่สามารถทำให้นายหญิงตกใจได้บ้าง

สีหน้าเรียบเฉยของเฉิงเจียวเหนียงปรากฏขึ้นตรงหน้าของทั้งคู่

คาดว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมานางก็คงส่งเสียงอ้อออกมาคำหนึ่งเท่านั้นกระมัง

ทั้งคู่ต่างมองไปยังเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังนอนอยู่บนเตียง หญิงสาวที่นอนหลับตาอยู่ในยามนี้ ใบหน้ากลับอ่อนโยนมากขึ้น

สาวใช้หยิบสมุดบัญชีแล้วลุกขึ้นออกไปข้างนอก

ปั้นฉินรู้ดีว่านางจะออกไปร้องไห้ นางก้มหน้าน้ำตาไหล สูดหายใจลึก แล้วลงมือหวีผมต่อ

เสียงตะโกนของจินเกอร์ดังขึ้นภายในเรือน

“พี่ปั้นฉิน พี่ปั้นฉิน ผู้ดูแลอู๋ให้ข้ารีบมาตาม มีคนก่อเรื่องที่ร้าน”

แม้จะเอ่ยชื่อปั้นฉิน แต่ปั้นฉินรู้ดีว่าเขาไม่ได้เรียกนาง

เสียงเท้าเดินดังขึ้นบนระเบียง ข้างห้องมีเสียงแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าของสาวใช้ดังขึ้น ทว่ากลับไม่รีบไม่ร้อน

ทั้งยังคงจังหวะเนิบช้าดังเดิม

“จินเกอร์ เฝ้าบ้านให้ดี”

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของสาวใช้ก็ดังขึ้นนอกประตู ตามขึ้นด้วยเสียงตอบรับของจินเกอร์ เสียงฝีเท้าค่อยๆ ไกลออกไป

ปั้นฉินก้มหน้า วางหวีลง เริ่มบีบนวดร่างกายของเฉิงเจียวเหนียง

นี่คือสิ่งที่หมอหลวงหลี่กำชับเอาไว้ คนที่นอนติดเตียงจะเป็นแผลกดทับได้ง่าย ต้องรีบพลิกตัวนวดให้

นางทำเรื่องอื่นไม่ได้ ที่ทำได้ก็มีแต่คอยปรนนิบัติรับใช้นายหญิงแล้วนางก็ต้องทำให้ดี

“เจ้าถามว่าข้าเป็นใครหรือ เจ้าแสร้งมึนงงอะไร!”

เรือนนางฟ้าที่เงียบสงบมาโดยตลอดพลันมีเสียงบุรุษดังขึ้น ทำเอาคนในโถงใหญ่มองมาอย่างอดไม่ได้ ขนาดมีห้องเล็กๆ กั้นไว้เสียงยังดังถึงเพียงนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่กำลังพูดอยู่ในห้องนั้นจะเสียงดังเพียงใด

“นายใหญ่โจว”

สาวใช้ปิดประตูห้องลง มองนายใหญ่โจวที่กำลังเดือดดาลอยู่ภายใน

“ดี เจ้ามาแล้วก็ดี มา เจ้าบอกเขาไปว่าข้าคือใคร” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางมองผู้ดูแลอู๋ “อ้อ พอเจ้ารู้แล้วก็ไสหัวไปด้วยล่ะ”

“นายใหญ่โจว ท่านมาทำอันใดที่นี่เจ้าคะ” สาวใช้ไม่ได้ตอบเขาแต่กลับย้อนถาม

“ก็มาดูร้านน่ะสิ” นายใหญ่โจวขมวดคิ้วบอกพลางตบขา “เจ้าไปเอาบัญชีมา เจียวเจียวร์ล้มป่วยตั้งหลายวันแล้ว ในร้านวุ่นวายหรือไม่”

กล่าวจบก็หันไปมองคนมีอายุคนหนึ่ง

“อีกเดี๋ยวเจ้าไปเอาบัญชีมาให้ข้าดู”

ชายชราผู้นั้นรีบพยักหน้ารับคำ

“นายใหญ่โจว ท่านดูบัญชีไม่ได้เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยขึ้น

“เหตุใดจึงดูไม่ได้” นายใหญ่โจวมองสาวใช้แล้วเอ่ยถาม

“นี่เป็นของนายหญิงข้า” สาวใช้ตอบ

นายใหญ่โจวพยักหน้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“ใช่ เป็นของนายหญิงเจ้า” เขาเอ่ย “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่านายหญิงของเจ้าเป็นคนของตระกูลใด”

สีหน้าสาวใช้พลันเปลี่ยน นางไม่เอ่ยตอบ

นายใหญ่โจวตบโต๊ะ

“อยู่ตระกูลข้า!” เขาตะหวาดพลางขมวดคิ้วมองนาง “ลูกสาวตระกูลข้าล้มป่วย กระทั่งกิจการของลูกสาวข้า ข้าก็ไม่มีสิทธิ์ดู ซ้ำยังถูกคนใช้อย่างพวกเจ้ายึดกุมไว้ เจ้าคิดจะทำอันใด บ่าวเลวแย่งสมบัตินายหรือ ช่างบังอาจนัก!”