ใช่ เขาพูดถูก

ใบหน้าของสาวใช้ซีดขาว ผู้ดูแลอู๋ที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจด้วยความจนปัญญา

ใช่ ตามหลักขนบธรรมเนียมของคนเราแล้ว แม่นางเฉิงเป็นคนของตระกูลโจว ถ้าหากนางไม่อยู่แล้ว ญาติของนางก็มีสิทธิ์ดูแลทรัพย์สินของนางโดยตรง

นางรู้อยู่แล้วว่าหลังจากนายหญิงล้มป่วยจะต้องเผชิญกับเรื่องยุ่งยากมากมาย แต่นางนึกไม่ถึงว่าเรื่องวุ่นวายแรกจะเป็นเรื่องที่คนตระกูลโจวจะมาแย่งชิงสมบัติ

มาแย่งชิงด้วยเหตุผลอันชอบธรรม จนมิอาจโต้แย้งได้…

สมบัติของนายหญิง… กิจการที่นายหญิงลงทุนลงแรงสร้างขึ้นมา…

นางจะปกปักรักษาแทนไม่ได้เลยหรือ

เมื่อไม่มีนายหญิงแล้ว นางจะทำอะไรไม่ได้เลยหรือ

สาวใช้มองไปยังนายใหญ่โจวที่กำลังยิ้มอย่างพอใจ สูดหายใจเข้าลึกแล้วก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับคำนับ

“นายใหญ่เจ้าคะ” นางพูดด้วยรอยยิ้มบาง “ท่านพูดเช่นนั้นไม่ถูก”

นายใหญ่โจวสีหน้าเคร่งเครียด มองไปที่สาวใช้

“นายหญิงข้าแซ่เฉิง ไม่ได้แซ่โจวเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดด้วยรอยยิ้ม “หากจะดูสมุดบัญชี ข้าก็ให้ได้แต่คนตระกูลเฉิงเท่านั้น”

สามหาว!

สมกับเป็นคนของตระกูลเฉิงเสียจริง!

นายใหญ่ลุกขึ้นยืนอย่างเกรี้ยวโกรธ เขาระงับอารมณ์ในทันใด ก่อนจะยิ้มบางให้

“ตระกูลเฉิงอยู่ห่างไกลนัก ข้าขอดูก่อน พวกเขามาค่อยว่ากันอีกที” เขาพูดพลางยื่นมือออกไป “เอาสมุดบัญชีมาให้ข้า”

สาวใช้ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม

“นายใหญ่ คนของตระกูลเฉิงอยู่ไม่ไกลนะเจ้าคะ” นางเอ่ย

ไม่ไกลรึ

นายใหญ่โจวท่าทางตกใจ เขานึกอะไรบางอย่างออก!

“ท่านชายสี่ของตระกูลเฉิงอยู่ในเมืองหลวงเจ้าค่ะ” ขณะนี้สาวใช้พูดด้วยรอยยิ้ม

“เด็กน้อยเยี่ยงเขาจะรู้อะไร! ” นายใหญ่โจวขมวดคิ้ว

“นายใหญ่เจ้าคะ นายหญิงข้าก็ยังเด็กเช่นกัน” สาวใช้ยิ้มและผายมือออก “สมบัติเหล่านี้ก็ไม่ได้พึ่งพาใครทั้งนั้น”

“นางคือเจียวเหนียง! ” นายใหญ่โจวกลั้นโมโหพลางเอ่ยขึ้น

“ท่านชายสี่เป็นพี่ชายของนายหญิง และท่านทั้งสองล้วนแซ่เฉิง คงไม่ต่างกันมากเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดสวนทันใด

แซ่เฉิงเหมือนกันจึงไม่ต่างกันมากอย่างนั้นหรือ!

นางไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนใจหลังจากเอ่ยคำน่ารังเกียจเช่นนั้นออกมาเลยหรือ!

นายใหญ่โจวจ้องตาเขม็ง

ณ สำนักบัณฑิต บัณฑิตที่กำลังท่องตำราถูกขัดจังหวะกะทันหัน ทุกคนต่างมองไปทางประตู

เด็กน้อยคนหนึ่งก้มหน้าเดินเข้ามาอย่างเก้อเขิน

ท่านอาจารย์เจียงโจวยามสอนหนังสือนั้นเข้มงวดนัก ทั้งยังเกลียดการถูกขัดจังหวะเป็นที่สุด

เขาหันไปมองเด็กน้อยผู้นั้นอย่างขุ่นเคือง

บัณฑิตในห้องประหม่าเล็กน้อย รอให้ท่านอาจารย์คลายโมโหเสียก่อน

เด็กชายกัดฟันเดินไปข้างหน้า ก่อนจะกระซิบข้างหูท่านอาจารย์เจียงโจวสองสามคำ

ภายในห้องเงียบสงบจนเกือบได้ยินเสียงนั้น

“เฉิงเหวินอวี๋”

เสียงของอาจารย์เจียงโจวดังขึ้น

บัณฑิตทั้งหลายโน้มตัวไปด้านหลังเพื่อหลบหลีกตามสัญชาตญาณ ทว่ากลับพากันชะงักครู่หนึ่ง

เฉิงเหวินอวี๋หรือ ไม่ได้เอ็ดเด็กน้อยผู้นั้นหรอกหรือ

ท่านชายเฉิงสี่ที่นั่งอยู่ด้านหลังสุดกำลังเหม่อลอย

“เจียงโจวเฉิงเหวินอวี๋” ท่านอาจารย์เจียงโจวขึ้นเสียงอีกครั้ง

ท่านชายเฉิงสี่ได้สติจึงลุกขึ้นยืน

“ขอรับ” เขาขานตอบอย่างตื่นตระหนก

“ไปเถิด” ท่านอาจารย์เจียงโจวพูด

ท่านชายเฉิงสี่ตกใจยิ่งนัก

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ศิษย์ทำผิดอะไรหรือขอรับ เหตุใดถึงต้องไล่ศิษย์ด้วย…” เขาพูดเสียงสั่น

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันนัก ท่านชายเฉิงสี่ร้อนรน ดวงตาเริ่มแดงก่ำ

พอเห็นท่าทางของเขา อาจารย์เจียงโจวยังคงสีหน้าเรียบเฉย

“มีคนมาหาเจ้า รีบออกไปซะ! ”

ในที่สุดความเกรี้ยวโกรธของท่านอาจารย์เจียงโจวก็ระบายออกมาอย่างที่ทุกคนคาดไว้

ท่านชายเฉิงสี่วิ่งออกไปอย่างน่าสงสาร ก่อนจะหยุดยืนอยู่ด้านนอกด้วยความสับสน

ใครมาหาข้าหรือ

“ท่านชายสี่ ท่านชายสี่” สาวใช้กวักมือเรียก

ท่านชายเฉิงสี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นหน้านาง ที่แท้คือนางนี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่ให้เด็กน้อยเรียกตนได้ แถมยังไม่กลัวว่าอาจารย์เจียงโจวจะโมโห ส่วนอาจารย์เจียงโจวก็มิได้โกรธเคืองอันใดเสียด้วย

เขารีบก้าวออกไป

“น้องสาวมาหรือ” เขาถามพลางมองไปรอบๆ

นายหญิงมาไม่ได้…

หัวใจของสาวใช้รู้สึกปวดร้าวขึ้นมา แต่กลับต้องเก็บกลั้นความรู้สึกนั้นทันที

“ไม่เจ้าค่ะ นายหญิงมาไม่ได้เจ้าค่ะ” นางตอบ

แน่นอนว่าหญิงสาวไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ตามใจ การส่งข่าวผ่านสาวใช้จึงเป็นเรื่องปกตินัก ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้า

“วันนี้มาเพราะมีเรื่องจะขอให้ท่านชายสี่ช่วยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย

“ไม่ต้องขอหรอก มีอะไรก็พูดมาได้เลย” ท่านชายเฉิงสี่พูดพลางรีบปลดถุงเงิน หลังจากนึกบางอย่างออก “ข้ายังมีเงินติดตัวอยู่…”

สาวใช้ยกมือขึ้นเพื่อหยุดเขาแล้วส่ายศีรษะ

“ท่านชายสี่ พวกเราไม่ได้ขาดเงิน” นางพูด “ตอนนี้พวกเราขาดคนเจ้าค่ะ”

ขาดคนหรือ

ท่านชายเฉิงสี่ตอบรับด้วยความงุนงง

รถม้าแล่นออกไปอย่างเร็วก่อนจะหยุดจอดตรงหน้าร้านเรือนไท่ผิงในทันที

“แม่นางปั้นฉิน เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไมหรือ” ท่านชายเฉิงสี่ถามพลางมองไปรอบๆ

ธงของเรือนไท่ผิงโบกสะบัดตามสายลม

ยามนี้เป็นเวลามื้อค่ำ จึงมีรถม้าผ่านไปมามากมาย บ่าวทั้งหลายต่างรับส่งแขกอย่างคึกคัก

“ท่านชายสี่รู้จักร้านนี้หรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ถาม

ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้า

“ข้าเคยได้ยินสหายร่วมสำนักพูดว่าที่นี่มีอาหารชื่อสามสหาย เป็นที่เลื่องชื่อในเมืองหลวง” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้ายังไม่เคยมาที่นี่มาก่อน”

เพราะหนึ่งคือไม่มีเวลา และสองคืออยู่ไกลบ้านจึงไม่กล้าใช้จ่ายสิ้นเปลือง

“ท่านชายสี่ทางนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย

สาวใช้ผู้นี้จะกินข้าวที่ร้านนี้หรือ ท่านชายเฉิงสี่ลังเลชั่วครู่ แต่ก็ก้าวเท้าเดินตามไป

“นี่คือตัวอักษรของกวีนิรนามนี่” เขายืนเอ่ยด้วยความตื่นเต้นอยู่หน้าประตู เงยหน้ามองพลางชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าเคยเห็นแต่ฉบับคัดลอก แต่วันนี้ได้เห็นต้นฉบับรู้สึกดีนัก”

สาวใช้หันกลับมามองแล้วยิ้ม

“ท่านชายสี่รีบเข้ามาก่อนเถิดเจ้าค่ะ ตัวอักษรนี้จะอ่านเมื่อไหร่ก็ย่อมได้” นางเอ่ย

จะอ่านเมื่อไหร่ก็ย่อมได้อย่างนั้นหรือ

“เจ้ารู้ว่าใครเป็นคนเขียนหรือ” ท่านชายเฉิงสี่ถาม

สาวใช้ไม่ตอบพลางเดินตรงเข้าไปด้านใน

ท่านชายเฉิงสี่รีบเดินตาม

โดยไม่เข้าไปในห้องหรือที่นั่งด้านนอก แต่สาวใช้กลับพาเขาเดินเลี้ยวซอกแซกไปมา

เหล่าคนงานที่เดินผ่านมองเห็นสาวใช้จึงทักทายด้วยรอยยิ้ม สาวใช้พยักหน้าตอบทีละคน

“แม่นางปั้นฉิน” ท่านชายเฉิงสี่ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “นี่เจ้า…”

“ข้าอยากให้ท่านชายสี่มาดูที่นี่เจ้าคะ” สาวใช้พูด

ดูหรือ

ท่านชายเฉิงสี่ยิ่งงุนงงมากขึ้นกว่าเดิม เขาอยากจะซักไซร้สาวใช้ แต่นางกลับพาเขาเดินออกไป

รถม้าโคลงเคลงแล่นเข้ามายังเมืองหลวงอย่างรีบเร่ง

“แล้วที่แห่งนี้คือ…” ท่านชายเฉิงสี่ลงจากรถ มองไปที่ร้านตรงหน้า

อี๋ชุนถัง

ที่นี่คือร้านยา

แม้จะดูไม่โดดเด่น แต่มีคนเข้าออกไม่น้อย

สาวใช้ก้าวเท้าเดินเข้าไป ท่านชายเฉิงสี่แม้จะยังงุนงง แต่ก็เดินตามเข้าไป

“ยังไม่มียาของแม่นางเฉิงอีกหรือ…”

“ไม่มีก็ไม่มี ถ้าอย่างนั้นหมอช่วยดูอาการและสั่งยาให้ข้าที”

“ร้านยาของแม่นางเฉิง แม้ว่านางจะไม่ได้รักษาด้วยตัวเอง แต่ก็ดีกว่าร้านอื่นๆ ”

แขกในร้านเจ็ดแปดคนกระซิบกัน ไม่นานก็พากันตั้งแถวตรงหน้าโต๊ะหมอเพื่อรอการวินิจฉัยโรค

สาวใช้พยักหน้า สายตากวาดมองภายในห้อง

“ยายังมีครบไหม” นางถาม

บ่าวพยักหน้าตอบ

นี่มาสั่งยาหรอกรึ ท่านชายเฉิงสี่มองไปที่สาวใช้แล้วพูดในใจ แต่กลับเห็นนางเดินวนรอบแล้วเดินออกไป

เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด…

ท่านชายเฉิงสี่ส่ายหน้า ทำได้เพียงเดินตามออกไป

เมื่อรถม้าหยุดจอดที่หน้าเรือนนางฟ้า ท่านชายเฉิงสี่ไม่ได้เอ่ยถามใดๆ พลางเดินตามสาวใช้เข้าไป แต่หลังจากเดินวนไปได้หนึ่งรอบ พวกเขากลับเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว

ท่านชายเฉิงสี่เงยหน้าขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ

“ท่านชายสี่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” สาวใช้ถาม

“ดี ข้าเคยได้ยินพวกเขาพูดว่าอาหารของที่นี่แพงนัก” ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มเอ่ยพลางพยักหน้า “ดูท่าทางแล้วก็สมแล้วที่ราคาแพง”

สาวใช้ยิ้มบาง

“แม่นางปั้นฉิน มาที่นี่บ่อยหรือ” ท่านชายเฉิงสี่ถาม

เมื่อเห็นนางคุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้ราวกับสามารถหลับตาเดินได้ หรือว่าตระกูลโจวมักจะพาน้องสาวมากินข้าวที่นี่บ่อยๆ

ร้านนี้แพงมาก…

ทว่าหลายสิ่งบนโลกนี้ที่ราคาแพงก็เพื่อบ่งบอกสถานะและความตั้งใจจริง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเรือนนางฟ้าถึงไม่ปิดตัวลง แต่นับวันกลับยิ่งมีแขกมาเยือนเพิ่มมากขึ้น

ตระกูลโจวให้ความสำคัญกับน้องสาวมากขนาดนี้เชียวหรือ

สาวใช้นิ่งเงียบ ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับม้วนหนังสือสามเล่มในมือ

“ผู้ดูแลอู๋ ท่านนี่คือท่านชายสี่” สาวใช้แนะนำ

ผู้ดูแลอู๋นั่งคุกเข่าด้วยรอยยิ้มแล้วโค้งคำนับให้กับท่านชายเฉิงสี่

“คารวะท่านชายสี่” เขาเอ่ย

ท่านชายเฉิงสี่รีบคารวะตอบด้วยความมึนงง

“นี่คือผู้ดูแลอู๋ เป็นผู้ดูแลหลักของเรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้า รวมถึงอี๋ชุนถังด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้แนะนำ

ท่านชายเฉิงสี่ตะลึง

“ท่านชายสี่ นี่คือสมุดบัญชีของทั้งสามร้านขอรับ” ผู้ดูแลอู๋พูดพร้อมกับยื่นสมุดทั้งสามเล่มให้

ท่านชายเฉิงสี่ตกใจพลางมองลงไปที่สมุดทั้งสามเล่ม

นี่มันหมายความว่าอย่างไร

“ท่านชายสี่ ผู้ดูแลอู๋เป็นผู้ดูแลหลักของทั้งสามร้าน นายหญิงของข้าคือเถ้าแก่ของทั้งสามร้านนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้พูด

ผู้ใดนะ

ท่านชายเฉิงสี่มองไปที่สาวใช้ด้วยความประหลาดใจ

ผู้ใดนะ

เขาพูดโพล่งออกมา

“นายหญิงของข้า น้องสาวของท่าน เฉิงเจียวเหนียง ร้านทั้งสามนี้เป็นของนายหญิงเจ้าค่ะ” สาวใช้พูด

นี่ล้อเล่นใช่หรือไม่

ท่านชายเฉิงสี่ตะลึงจนพูดไม่ออก

ถึงว่านางถึงได้พาตนไปยังสถานที่เหล่านี้ ถึงว่าทุกคนดูคุ้นเคยกับนางนัก

ที่แท้เป็นของพวกนางนี่เอง!

คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นของพวกนางจริงๆ !

เงิน…เงินทองมากมาย ร้านชื่อดังเช่นนี้เป็นของนางเองหรอกหรือ …

ท่านชายเฉิงสี่มองลงไปที่ถุงเงินของเขาอย่างอดไม่ได้

ไม่แปลกใจที่สาวใช้บอกว่าไม่ขาดเงิน…

ถึงว่ายามที่มอบเงินให้แก่เฉิงเจียวเหนียง สีหน้าของนางถึงได้ดูเรียบเฉย ไร้ความรู้สึกนัก…

ในสายตาของนางเงินของตนคงไร้ค่าสินะ

“ส่วนเรื่องที่ว่ายามนี้เกิดอะไรขึ้น ท่านชายสี่ไม่จำเป็นต้องทราบรายละเอียด เอาเป็นว่าร้านทั้งสามนี้เป็นของนายหญิง” สาวใช้พูดพร้อมกับมองไปที่ท่านชายเฉิงสี่ “ยามนี้ขอรบกวนท่านชายสี่เป็นผู้ดูแลเจ้าค่ะ”

ท่านชายเฉิงสี่เงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ

“ข้ารึ” เขาถาม

“เจ้าค่ะ” สาวใช้พูดพลางมองไปยังท่านชายเฉิงสี่ “นายหญิงของข้าล้มป่วย ท่านเป็นพี่ชายของนายหญิง ดังนั้น ร้านเหล่านี้ต้องรบกวนท่านแล้ว”

หลังจากนางพูดจบ ก็ยื่นสมุดบัญชีไปไว้ด้านหน้าของท่านชายเฉิงสี่อีกครั้ง สีหน้าของนางดูจริงจังปนไปด้วยความประหม่าเล็กน้อย

ท่านชายเฉิงสี่ยืนขึ้นในทันใด

“น้องสาวไม่สบายหรือ” เขาตะโกน เมื่อเทียบกับสีหน้าตกใจก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับดูตื่นตระหนก “นางป่วยเป็นอะไร เหตุใดถึงป่วย ป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้านี่ เหตุใดถึงไม่พูดตั้งแต่แรก พาข้าไปโน้นไปนี้แล้วพูดพล่ามเรื่องพวกนี้ทำไม เหตุใดถึงไม่บอกเรื่องนี้ก่อน! ”

ท่วงท่าของเขาช่างเกรี้ยวกราด เขาเดินก้าวไปข้างหน้าพอเท้าย่ำโดนสมุดบัญชีก็พลันเตะออกไปอีกทาง ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป

สาวใช้มองดูสมุดบัญชีที่ถูกเตะไปด้านข้าง ก็รู้สึกเหนื่อยล้าราวกับเรี่ยวแรงถูกกลืนหายไปจนเสียหมดสิ้น น้ำตาก็พลันไหลออกมา

ยังดี ยังดี แม้ว่าเรื่องโลกนี้จะอยู่อยากนัก แต่ก็ยังไม่สิ้นหวัง