ส่วนที่ 8 ภาคตำนานแม่พระแห่งวังหลัง ตอนที่ 18 ตำนานแม่พระวังหลัง

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

การที่ซูหว่านออกมาจากหอแรงงาน ถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเหยียนอวี่นั่ว แต่สิ่งที่เหยียนอวี่นั่วคิดไม่ถึงก็คือ การที่ซูหว่านกลับไปที่กองพระภูษาเพียงแค่มาเอาของใช้ส่วนตัวของนางเท่านั้น เพราะว่านางได้ถูกฝ่าบาทแต่งตั้งให้เป็นนางกำนัลส่วนพระองค์ของเหยียนเหม่ยเหรินแล้ว

 

 

“แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันในอนาคต แต่ว่าพวกเจ้าสามารถไปเยี่ยมฉันที่จิ่นฟังไจได้บ่อยๆ นะ เหยียนเหม่ยเหรินเองก็ยินดีต้อนรับพวกเจามาก ๆ เช่นกัน”

 

 

ซูหว่านอยู่ในห้องเก็บข้าวของไปพลาง และยิ้มอ่อน ๆ ให้กับเหยียนอวี่นั่ว

 

 

เพียงแค่คืนเดียว ก็เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ ซูหว่านออกมาจากหอแรงงาน และเหยียนอวี่ชิงที่เป็นแค่นางกำนัลก็เปลี่ยนจากนางกำนัลกลายเป็นนายหญิง

 

 

ในวังหลังก็เป็นเช่นนี้ มีตำนานและเรื่องเล่าเช่นนี้ทุกวัน

 

 

เหยียนเหม่ยเหรินรึ

 

 

สำหรับการเรียกขานแบบนี้ เหยียนอวี่นั่วยังรู้สึกไม่เคยชิน แต่กฎในวังหลังนั้นเข้มงวด หลังจากนี้ ถ้านางไปได้พบเหยียนอวี่ชิงก็ต้องเรียกขานนางเช่นนั้นแล้ว

 

 

ในเวลานี้ ใจของสวีปิงเย่ว์นั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก นางรู้สึกมานานแล้วว่าเหยียนอวี่ชิงมีความทะเยอทยานสูงมาก ไม่เหมือนเหยียนอวี่นั่วและซูหว่านที่โกหกหลอกลวงง่าย เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่าเด็กสาวนั้นจะเหยียบเจ้านายของนางเองขึ้นไปเป็นนายหญิง เพียงคืนเดียวก็สามารถบินขึ้นเหนือหัวได้แล้ว

 

 

ยังนับว่านางมีความสามารถกระมัง

 

 

อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาทมีสตรีอยู่มากมาย นางได้รับความโปรดปรานในขณะนี้ แล้วจะได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ตลอดไปหรือไม่

 

 

อีกอย่างฝ่าบาท …

 

 

มีหน้าตาเป็นอย่างไร สวีปิงเย่ว์ก็ยังไม่เคยเห็นเลย อย่างไรก็ตามสวีปิงเย่ว์อดรู้สึกหวานชื่นไม่ได้เมื่อนึกถึงเสิ่นเฉิงเป่ยที่ปรากฏตัวขึ้นในใจ บนโลกนี้ไม่มีใครที่จะเหมือนพี่เสิ่นที่ทั้งรูปงามและห้าวหาญแบบนั้นอีกแล้ว

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาสวมเครื่องแบบทหารที่เหมือนวีรบุรุษที่เขียนไว้ในหนังสือภาพวาดที่นางเคยอ่านสมัยเด็ก ๆ

 

 

แต่น่าเสียดาย…

 

 

สวีปิงเย่ว์หรุบตากวาดสายตาซับซ้อนมองไปที่ร่างของซูหว่าน วีรบุรุษในใจของตนคือว่าที่คู่หมั้นของนาง โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมจริง ๆ

 

 

“ปิงเยว์ ปิงเย่ว์?”

 

 

เสียงของซูหว่านขัดจังหวะความคิดของสวีปิงเย่ว์ ที่แท้นางคิดมากเกินไป การจ้องมองซูหว่านนานเกินไป ทำให้ซูหว่านเกิดความสนใจขึ้นมาได้

 

 

“ปิงเย่ว์ เจ้ากำลังมองอะไรหรือ”

 

 

“โอ้ ข้ากำลัง…ข้ากำลังดูจี้หยกแขวนของท่านน่ะ!”สวีปิงเย่ว์ยกมือชี้ไปยังจี้หยกที่ซูหว่านแขวนอยู่ที่เอวของเธอ วันนั้นนางเคยแอบอ่านจดหมายที่เสิ่นเฉิงเป่ยตอบกลับซูหว่าน ย่อมรู้แน่นอนว่าจี้หยกนั่นเป็นของแทนใจหมั่นหมายของพวกเขาสองคน

 

 

“พี่เสี่ยวหว่าน ป้ายหยกของพี่สวยมากเลย ปิงเยว่ก็ชอบมันมาก พี่ซื้อมันมาจากไหนบอกข้าหน่อยได้ไหม ข้าก็อยากซื้อไว้อันหนึ่ง”

 

 

แววตาเปล่งประกายของสวีปิงเย่ว์ที่จ้องไปที่ป้ายหยกของซูหว่าน สวีปิง นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ

 

 

“ยหยกนี่หรือ”

 

 

แววตาของซูหว่านอ่อนลงเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าพกติดตัวมาตั้งแต่เด็ก เป็นของที่เป็นหลักฐานยืนยัน…ที่สำคัญมาก”

 

 

“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง! ในเมื่อมันทั้งแพงและสำคัญแบบนี้ พี่เสี่ยวหว่านต้องรักษามันไว้ให้ดีเล่า!”

 

 

สวีปิงเย่ว์จ้องไปที่ป้ายหยกของซูหว่านอีกครั้ง จดจำรูปร่างของป้ายหยกแขวนไว้ในใจ นางรู้ว่านางไม่สามารถเร่งรีบได้ ต่อให้ซูหว่านกลับมาแล้ว แต่นางยังอยู่วังหลัง ก็ไม่สามารถแต่งงานกับเสิ่นเฉิงเป่ยได้ ตนยังมีเวลาในการเตรียมตัวอีกเยอะและยังมีโอกาสอีกมาก

 

 

ซูหว่านที่อยู่ด้านข้างแสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาของสวีปิงเย่ว์ และเธอลูบป้ายหยกของตนเองและยิ้มด้วยความอ่อนโยน แต่รอยยิ้มนี้กลับทำให้สวีปิงเย่ว์รู้สึกบาดตามาก …

 

 

 

 

จิ่นฟังไจ

 

 

เมื่อซูหว่านเอาของใช้ของตนมาที่จินฟางไจ นางกำนัลและขันทีในอุทยานหลวงกำลังทำความสะอาดอยู่ตรงลานของอุทยาน

 

 

“พี่ซู!”

 

 

ทันทีที่ซูหว่านก้าวเข้ามาในประตู นางกำนัลและขันทีต่างเข้ามาทำความเคารพและก้าวทักทาย คนในจิ่นฟังไจได้ยินเรื่องนี้มานานแล้วว่า นางกำนัลคนสนิทของนายหญิงของพวกเขามีชื่อว่าซูหว่าน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเจอซูหว่านมาก่อน แต่ซูหว่านที่อยู่ชุดนางกำนัลสีน้ำเงินที่ใส่อยู่ในตอนนี้เป็นสัญลักษณ์ของนางกำนัลอันทรงเกียรติ ซึ่งย้ำเตือนคนอื่นให้ตระหนักถึงตำแหน่งฐานะของเธอในเวลานี้

 

 

“ทุกคนลำบากแล้ว”

 

 

ซูหว่านพยักหน้าให้ผู้คนในลาน แล้วถามเบาๆ ว่า “นายหญิงเล่า กำลังพักผ่อนอยู่หรือ”

 

 

“เรียนพี่ซู นายหญิงกำลังเล่นหมากรุกอยู่ในตำหนักเจ้าค่ะ”

 

 

หือ?

 

 

ซูหว่านพยักหน้าและสั่งให้นางกำนัลเอาข้าวของเธอไปเก็บ แล้วเธอก็รีบเดินไปที่ประตูจินฟางไจ๋

 

 

ณ เวลานี้ เหยียนอวี่ชิงที่สวมชุดกงจวง สีแดงเข้ม ที่กำลังเล่นหมากรุกกับนางกำนัลน้อยอยู่

 

 

“ซูหว่านขอถวายความเคารพแก่นายหญิง”

 

 

ซูหว่านเดินเข้าไปในห้องโถงข้างในและโค้งคำนับให้กับเหยียนอวี่ชิง

 

 

เมื่อได้ยินเสียงของซูหว่าน เหยียนอวี่ชิงก็ชะงักไป เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความสุขและพูดว่า “เสี่ยวหว่าน ในที่สุดเจ้าก็มาสักที มามามา รีบมาเล่นหมากรุกกับข้า เล่นกับพวกนางเบื่อจะตายแล้ว ไม่มีใครกล้าเอาชนะข้าเลย”

 

 

“นั่นหมายถึงนายหญิงมีทักษะในการเล่นหมากรุกที่ยอดเยี่ยมและทุกคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านเจ้าค่ะ”

 

 

ซูหว่านยิ้มให้เหยียนอวี่ชิง ถ้าหากพูดถึงเหยียนอวี่ชิงก็เป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง แม้ว่านางจะเป็นลูอนุที่ไม่เป็นที่โปรดปรานมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็มีความเชี่ยวชาญในด้านกู่ฉิน หมากล้อม การเขียนอักษรและภาพวาดจีน แต่น่าเสียดาย ไม่ว่านางจะเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีวันเข้าสายตาเถ้าแก่เหยียนได้

 

 

“ซูหว่าน ที่นี่ไม่มีคนนอก ดังนั้นเจ้ากับข้าไม่ต้องทำเป็นคนนอกเช่นนี้”

 

 

เมื่อเห็นมารยาทการทำความเคารพของซูหว่านที่มีต่อตนเอง แท้จริงแล้วในใจของเหยียนอวี่ชิงก็พอใจเป็นอย่างมาก แต่ปากก็บอกว่าไม่ให้ซูหว่านทำตัวเป็นนอก มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะแสดงถึงว่านางเป็นคนเข้าถึงได้ง่าย!

 

 

“นายกับบ่าวมีฐานะต่างกัน ซูหว่านมิบังอาจ อีกอย่างนายหญิงช่วยข้าออกจากหอแรงงาน ชาตินี้ข้ายอมเป็นวัวเป็นม้าให้นายหญิง รับใช้นายหญิงไปตลอดชีวิต ถึงตายก็ไม่เสียใจเจ้าค่ะ”

 

 

ซูหว่านก็สามารถเปิดปากพูดคำพูดที่จริงใจออกมาได้เมื่อควบคู่กับท่าทางความจริงใจของเธอในตอนนี้ เหยียนอวี่ชิงไม่มีข้อสงสัยใดๆ ในตัวซูหว่านอย่างแน่นอน

 

 

หลังจากที่ซูหว่านมาถึงจิ่นฟังไจได้ไม่นาน วังกงกงก็พาคนในวังกลุ่มหนึ่งมาประทานของรางวัลจากฝ่าบาทมาให้กับเหยียนเหม่ยเหริน ก่อนที่จะออกไปพูดอย่างคลุมเครือว่าฝ่าบาทจะมาที่จิ่นฟังไจเพื่อรับประทานอาหารค่ำ

 

 

เมื่อเหยียนอวี่ชิงได้รับข่าวนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เพราะตอนนี้ตัวนางยังไม่มีผู้สืบเชื้อสายหลัก ข้างกายมีแค่ซูหว่านเท่านั้นที่นางจะไว้ใจได้ ดังนั้นเหยียนอวี่ชิงจึงอดไม่ได้ที่จะศึกษากับซูหว่านว่าจะเตรียมต้อนรับฝ่าบาทอย่างไร

 

 

“นายหญิง ตอนที่ข้าน้อยอยู่ที่กองพระภูษาเคยได้ยินคนพูดว่าฝ่าบาทชอบเสวยอาหารรสจัด มิสู้ให้ข้าน้อยสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารประเภทนี้อีกสักสองสามจานดีไหมเจ้าคะ”

 

 

อาหารรสจัดงั้นหรือ?

 

 

เหยียนอวี่ชิงขมวดคิ้ว ปกติแล้วนางกลัวการกินอาหารรสจัดที่สุดในชีวิต แต่ในเมื่อฝ่าบาทชอบมัน…

 

 

“อื้อ เรื่องนี้ก็มอบให้ซูหว่าน เจ้าเป็นคนจัดการละกัน เจ้าจัดการข้ายอมวางใจ”

 

 

เพื่อที่จะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท เหยียนอวี่ชิงก็พยายามอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่ทำให้นางทั้งเจ็บปวดทั้งมีความสุขก็คือ ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่ในคืนนี้จริงๆ และอย่างที่ซูหว่านว่าไว้ ฝ่าบาททรงโปรดอาหารรสจัดจริงๆ

 

 

“อาหารจานนี้ทำได้อร่อยมาก”

 

 

เมื่อซูรุ่ยเข้าจิ่นฟังไจก็ทำหน้าเย็นชา จนกระทั่งซูหว่านที่อยู่ข้างๆ คีบไก่เผ็ดมาให้เขาตรงหน้าของซูรุ่ยถึงจะค่อยๆ ยิ้มออกและพูดว่า “อวี่ชิง เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่า ข้าชอบอาหารรสจัด”

 

 

สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดในวังหลังก็คือการสอบถามเกี่ยวกับความชอบของฝ่าบาท เหยียนอวี่ชิงมองไปที่ซูรุ่ยด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและพูดเบาๆ ว่า “ที่แท้ฝ่าบาทก็ชอบทานอาหารรสจัดหรือ ที่จริงหม่อนฉันไม่เคยรู้มาก่อน อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่หม่อนฉันชอบทานเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงคิดว่าฝ่าบาทอาจจะมา หม่อนฉันเลยสั่งให้บ่าวจัดเตรียมอาหารที่ตนเองชอบ อยากจะแบ่งปันอาหารที่ข้าชอบกับฝ่าบาทเพคะ”

 

 

อดพูดไม่ได้ว่า เหยียนอวี่ชิงเป็นคนฉลาดพูด คนตายแล้วยังสามารถพูดให้มีชีวิตได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่หยียนอวี่นั่วในโลกเดิมจะถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

 

เมื่อได้ยินคำอธิบายที่สมเหตุสมผลของเหยียนอวี่ชิง ซูรุ่ยก็ยิ้มบางๆ และยกมือขึ้นคีบเนื้อสองสามชิ้นให้เหยียนอวี่ชิงและพูดว่า “ในเมื่อเจ้าชอบก็กินเยอะๆ หน่อยสิ อือ ถือว่าข้าให้รางวัลเจ้าจานนี้ กินให้หมดนะ”

 

 

เหยียนอวี่ชิง “…”

 

 

อะไรที่เรียกว่า แกว่งเท้าหาเสี้ยน วันนี้เหยียนอวี่ชิงนับว่าเข้าใจแล้ว

 

 

เมื่อเห็นเหยียนอวี่ชิง ‘ได้รับความโปรดปรานและดีใจมาก’ ที่กินเนื้อเผ็ดทั้งจานจนหมด ซูรุ่ยก็ทำยิ้มอย่างพอใจ

 

 

เรื่องเล็กน้อย ความเผ็ดไม่ทำให้เจ้าตายหรอก

 

 

เมื่อเห็นฝ่าบาทจ้องมองตนเองทานและยิ้มอยากพอใจให้ตนตลอด เหยียนอวี่ชิงก็ไม่กล้าที่จะแสดงให้เห็นว่านางเผ็ดมาก นางได้แต่ร้องไห้อยู่ในใจและแสร้งทำเป็นว่าตนทานอย่างมีความสุข ทานหมดแล้วก็ยังไม่พอต่อหน้าซูรุ่ย

 

 

ไม่ง่ายเลยที่จะทนความเจ็บปวดในลำคอและความรู้สึกไม่สบายในท้องจนในที่สุดก็ทานอาหารจนหมด เหยียนอวี่ชิงยังไม่ได้มาแสดงต่อหน้าฝ่าบาท แต่ซูรุยที่อยู่ข้างๆ กลับแย่งเปิดปากพูดขึ้นเสียก่อนว่า “ดูเหมือนว่าจะเหยียนเหม่ยเหรินจะกินเก่งจริงๆ ทานอาหารรสจัดเช่นนี้ได้ ข้ายังรู้สึกละอายใจเลย!”

 

 

เมื่อได้ยินคำชมของซูรุ่ย เหยียนอวี่ชิงก็ยิ้มเขินๆ ทันทีทันใด “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”

 

 

แท้จริงข้าทานอาหารที่รสจัดแม้แต่นิดเดียวไม่ได้เลยเพคะ

 

 

ในที่สุดนางก็สามารถทานอาหารมื้อนี้เสร็จจนได้ เหยียนอวี่ชิงแอบสาบานในใจ ครั้งหน้าจะไม่เตรียมอาหารเหล่านี้อีกแล้ว ก่อนที่นางจะกล่าวคำปฏิญาณในใจเสร็จ ก็ได้ยินซูรุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ นางเปิดปากเอ่ยอีกครั้งว่า “ในเมื่อรสชาติอาหารที่เหยียนเหม่ยเหรินชอบคล้ายกับข้า หลังจากนี้อาหารของจิ่นฟังไจก็ไปรับที่ห้องเครื่องละกัน ข้าจะบอกให้คนเตรียมของที่เจ้าชอบ เหม่ยเหรินเจ้าจะต้องชอบมากแน่ๆ !”

 

 

เอ่อ…

 

 

เหยียนอวี่ชิงน้ำตาคลอหน่วยมองไปที่ซูรุ่ยและพูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่หม่อมฉันดูข้าเพคะ หม่อนฉันรู้สึกตื่นตันใจอย่างหาที่สุดมิไดด้เพคะ”

 

 

ที่แท้การคอยรับใช้กษัตริย์ก็เหมือนรับใช้เสือ เมื่อคิดว่าต่อไปต้องทานอาหารเผ็ดแบบนี้ทุกวัน แล้วยังต้องซาบซึ้งในพระกรุณณานี้อย่างยิ่งยวด เหยียนอวี่ชิงก็รู้สึกได้ทันทีว่าการเป็นนางสนมก็เป็นเรื่องยากและลำบากมาก